เรื่องเล่าจากโรงเรียนหลังเขาตอน"เด็กชายผู้รอดชีวิต"

กระทู้สนทนา
ด.ช.นรินทร์  มาเยอะ “มาครับ”  ด.ช.ธีรศักดิ์  อายิ “มาครับ” ด.ญ.อายัง  โบแซะ “มาค่ะ” ด.ญ.อาโบ่  เยเสาะ “มาค่ะ” ด.ช.อาผ่า  มาเยอะ “.....” เงียบ ไม่มีเสียงตอบจาก ด.ช.อาผ่า จนข้าพเจ้าต้องถามย้ำอีกรอบ “ใครรู้บ้างว่าวันนี้ อาผ่า หายไปไหน “ไม่รู้ค่ะ” ด.ญ.นารี ตอบ ผมรู้ครับ ด.ช.เปาลู เพื่อนสนิทของอาผ่าตอบ “ก่อนมาโรงเรียนผมแวะไปหาอาผ่า พ่อเขาบอกว่าไม่สบายครับ” อ้อ...ไม่สบายนั่นเอง นั่นคือข้อมูลที่ข้าพเจ้าทราบเบื้องต้น และด้วยความวุ่นวายของเช้าวันใหม่หลังจากที่นักเรียนมาโรงเรียนเพราะต้องทำการเรียนการสอนให้กับนักเรียนจำนวนเกือบ 20 คน ของวันนั้น ทำให้ข้าพเจ้าลืมเรื่องของอาผ่าไม่สบายไป จนกระทั่งเช้าวันใหม่เป็นปรกติที่ข้าพเจ้าต้องทำการเช็คชื่อนักเรียนก่อนที่จะทำกิจกรรมอื่น ๆ พอเรียกชื่ออาผ่าก็ไม่มาโรงเรียนอีกตามเคย ข้าพเจ้าก็คิดว่าเป็นไข้หวัดธรรมดา ซึ่งโดยปรกติการรักษาของชาวเขา ส่วนมากก็จะใช้ยาสมุนไพร หรือปล่อยให้หายไปเอง หรือว่าถ้าเป็นหนักก็จะมาเรียกครูไปดู หรือไปโรงพยาบาลซึ่งส่วนมากมักจะเป็นทางเลือกสุดท้ายเพราะชาวบ้านและนักเรียนที่นี่ยังมีฐานะยากจน อีกเหตุผลหนึ่งที่สำคัญคือบางครอบครัวยังไม่ได้สัญชาติไทย การที่จะไปรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลของรัฐยังต้องเสียค่าใช้จ่ายจึงทำให้ชาวบ้านที่นี่ต้องรักษาลูกหลานของตนเองตามมีตามเกิด ดีที่สุดก็คือการมาขอยาพาราที่ครู ซึ่งข้าพเจ้าก็ต้องคอยสอบถามว่าเป็นอะไร เพราะยาพาราชาวบ้านคิดว่าเป็นยาวิเศษ ปวดหัว ก็พารา ปวดฟันก็พารา เผลอ ๆ ปวดท้องด้วยโรคกระเพาะ ก็ยาพาราแต่ก็แปลกบางครั้งก็หายจริง ๆ
“ครูครับวันนี้ผมมาโรงเรียนไม่ได้นะครับ เพราะผมต้องไปดูวัวที่ไร่ พ่อไม่อยู่ครับ” บางครั้งอาผ่ามักจะมาขออนุญาตข้าพเจ้าไปช่วยพ่อเลี้ยงวัวที่คนจีนบ้านเทอดไทยซื้อมาจ้างเลี้ยง โดยค่าจ้างคือการแบ่งลูกวัวกัน ถ้าหากแม่วัวเกิดลูกขึ้นมา อาผ่าเป็นเด็กนิสัยดี ขยันช่วยพ่อแม่ทำงาน ตัวเล็กนิดเดียวแต่ข้อเสียของอาผ่าก็มีอยู่บ้าง คือขี้เกียจทำการบ้าน บางครั้งก็ต้องโดนข้าพเจ้าดุและทำโทษ แต่นั่นก็เป็นเรื่องธรรมดาของเด็กซึ่งเราก็ต้องคอยชี้แนะเพื่อให้พวกเขาเป็นอนาคตที่ดีของประเทศชาติ และเมื่อเราพูดย้ำบ่อย ๆ จะช่วยกระตุ้นให้เขารู้ถึงความสำคัญของการเรียนมากขึ้น ข้าพเจ้าเคยสงสัยว่าการสอนเด็กชาวเขาบนดอยทำไม มันถึงได้ยากเย็นแสนเข็ญกว่าพวกเด็ก ๆ จะเข้าใจอะไรซักหนึ่งเรื่อง ต้องเสียน้ำลายเป็นปี๊บ ไขมันในเส้นเลือดพุ่งปรู๊ด ต้องระงับอารมณ์ไม่ให้โมโหและใจเย็น ๆ ถ้ามีคนรู้ซัก 1-2  คนก็เริ่มดีขึ้นเพราะให้เพื่อนที่พอเข้าใจอธิบายเป็นภาษาประจำเผ่าบางครั้งวิธีนี้ก็ได้ผลเหมือนกัน และสาเหตุที่เด็กไม่ค่อยทำการบ้านก็คือเวลาพวกเด็กกลับไปถึงบ้านแล้วไม่รู้จะไปปรึกษาใคร ไม่เหมือนกับเด็กข้างล่างที่พ่อ แม่พอรู้และแนะนำลูกได้บ้าง ข้างบนนี้แค่ผู้ปกครองของเด็ก ๆ พูดภาษาไทยได้ก็ถือว่าดีที่สุดแล้วหลังจากนั้นข้าพเจ้าก็ต้องมาปรับแผนการเรียนการสอนใหม่โดยการให้เด็กทำแบบฝึกหัดในห้องเรียนหากใครไม่เข้าใจก็ให้ถาม ส่วนการบ้านก็ยังคงมีอยู่คือการให้นักเรียนคัดไทย โดยการลอกจากหนังสือภาษาไทยหรือการที่ครูเขียนนำไว้ ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย บูสึ แม่บ้านที่อยู่ข้างบ้านของอาผ่าก็วิ่งกระหืดกระหอบมาหาข้าพเจ้า “อาคู้ (ครูคะ)  อาผ่า ......ฉอด ๆๆๆๆๆ” บูสึรัวกระหน่ำด้วยภาษาประจำเผ่าแต่ก็พอจับใจความได้บ้างว่าอาผ่าไม่สบาย ตัวร้อนมาก ข้าพเจ้าเรียกเด็กมาช่วยแปลก็เป็นอย่างที่ข้าพเจ้าคิดไม่ผิด วันนั้นไม่มีใครอยู่ช่วยข้าพเจ้าเพราะโรงเรียนแต่ละโรงเรียนบนดอยก็จะมีครูรับผิดชอบ 1 คนเท่านั้น อาหมื่อนักเรียนโตก็ไปไร่ ข้าพเจ้าจะทำอย่างไรดี ก็เลยรีบทำกับข้าวไว้และสั่งงาน มอบหมายให้หัวหน้าห้องดูแลเพื่อน ๆ และน้อง ๆ ไปก่อน ข้าพเจ้าก็รีบจ้ำเอ้าไปบ้านอาผ่า
เมื่อไปถึงบ้านอาผ่า ข้าพเจ้าเห็นหมี่พอ แม่ของอาผ่าร้องไห้และให้ข้าพเจ้าพาอาผ่าไปโรงพยาบาลแม่ฟ้าหลวงซึ่งก็อยู่ห่างจากโรงเรียนไปประมาณ 7 กิโลดอย (ไม่ต้องพูดถึงนะครับว่าจะไกลขนาดไหน) ข้าพเจ้าไม่มีเวลาพูดอะไรมากเพราะอาผ่าชักและพูดไม่รู้เรื่องแล้วตัวร้อนราวกับไฟ ข้าพเจ้าก็ให้นายลีกอง เพื่อนบ้านอีกคนอุ้มอาผ่าพาขึ้นรถมอเตอร์ไซด์ของข้าพเจ้าและอัด 3 กันไป เพราะกลัวอาผ่าจะล้มถ้าหากไม่มีใครช่วยพยุง จุดมุ่งหมายคือโรงพยาบาล ข้าพเจ้าขี่มอเตอร์ไซด์เร็วเท่าไหร่ไม่รู้ รีบพาอาผ่าไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด และพยายามชวนอาผ่าพูด ณ เวลานั้นใจคอข้าพเจ้าไม่ดีเลย เพราะอาผ่าแทบไม่ตอบสนองอะไรเลย ตาปรือ ๆ หัวพิงหลังข้าพเจ้าตลอด ทางก็แสนลำบาก กว่าจะไปถึงโรงพยาบาลก็ใช้เวลานานโขเพราะทางเป็นภูเขาตลอดเส้นทาง พอมาถึงตัวตำบลข้าพเจ้าเริ่มดีใจและรีบบึ่งไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด จนกระทั่งเห็นป้ายโรงพยาบาล ข้าพเจ้าดีใจเป็นที่สุดอย่างน้อยชีวิตของอาผ่าก็ใกล้ถึงมือหมอแล้ว ก่อนที่ข้าพเจ้าจะเลี้ยวเข้าโรงพยาบาลข้าพเจ้ารู้สึกว่าอาผ่าเริ่มกระตุก ลีกองก็เรียกชื่ออาผ่า ข้าพเจ้าก็ใช้มือตบขาอาผ่าในขณะที่อีกมือก็ต้องถือแฮนด์มอเตอร์ไซด์ และสิ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าตกใจและใจหายที่สุดนั่นก็คือมือของอาผ่าหย่อนลงถูกขา ข้าพเจ้าและห้อยต่องแต่งนั่นก็คืออาผ่าหมดสติหรือ....ข้าพเจ้าใจคอไม่ดีพอเข้าไปในเขตโรงพยาบาลก็รีบบึ่งรถขึ้นไปหาจุดคนไข้ฉุกเฉินโดยไม่ได้ขอทางยามเพราะกลัวไม่ทันเวลา ข้าพเจ้าเสียงดังรีบเรียกหมอและพยาบาลจนคนไข้และเจ้าหน้าที่หันมามอง ในที่สุดอาผ่าก็ถึงมือหมอแต่อาการของอาผ่าก็ไม่ดีขึ้นจึงต้องส่งไปรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ที่จังหวัดเชียงราย
ขอเชิญญาติของคนไข้อาผ่ามาพบคุณหมอด่วนค่ะ พยาบาลเรียก ข้าพเจ้าเดินตามไป “ผม...ต้องรีเฟอร์ (ส่งตัว) ด.ช.อาผ่าไปโรงพยาบาลที่เชียงรายนะครับเพราะเราตรวจพบว่าอาผ่าเป็นมาเลเรียขึ้นสมอง ดีนะครับที่พามาส่งทันเวลา ไม่งั้นผมคงไม่รับรองว่าอาผ่าจะพ้นขีดอันตราย” (เหมือนประโยคในหนังในละครเปี๊ยบเลย แต่นี่มันชีวิตจริงที่ข้าพเจ้าประสบ)  ข้าพเจ้าเริ่มใจชื้นขึ้น
3 วันผ่านไปข้าพเจ้ายังไม่ได้ข่าวอาผ่า อาโด่พ่อของอาผ่าก็ไปนอนเฝ้าลูกที่โรงพยาบาลจนกระทั่งถึงวันเสาร์ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจขี่มอเตอร์ไซด์ไปเยี่ยมอาผ่าที่โรงพยาบาล อาผ่านอนให้น้ำเกลือแต่ก็ยังมิวายยกมือไหว้สวัสดีข้าพเจ้า หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็สอบถามอาการ อาผ่าก็ดูดีขึ้นมาก อาโด่บอกว่าคงจะกลับบ้านได้ภายใน 2-3 วันนี้
ปัญหาที่ตามมาของอาผ่าหลังจากที่ออกจากโรงพยาบาลนั่นก็คือค่าใช้จ่ายเพราะอาผ่ายังเป็นบุคคลไร้สัญชาติจึงไม่สามารถใช้สิทธิ์รักษาพยาบาลเหมือนคนไทยได้ อาโด่นำบิลค่าใช้จ่ายรวมทั้งหมดประมาณ 4,000 บาท มาปรึกษาข้าพเจ้า ดูเหมือนจะไม่มากแต่ถ้าสำหรับครอบครัวของอาผ่าถือว่าเยอะมาก ข้าพเจ้าก็เลยรีบนำบิลไปหาคุณหมอเจ้าของคนไข้ของอาผ่าที่โรงพยาบาลแม่ฟ้าหลวงและอธิบายถึงฐานะความเป็นอยู่ของอาผ่าจนคุณหมอเซ็นต์รับรองว่าเป็นคนไข้ที่ไม่สามารถจ่ายค่ารักษาพยาลได้เพราะฐานะทางบ้านยากจน ซึ่งข้าพเจ้าก็ขอบคุณคุณหมอท่านนั้นที่ช่วยเหลือ อาโด่ก็ดีใจ รอยยิ้มและเสียงพูดจาแหลมหูที่คุ้นเคยของอาผ่า ที่พูดว่า “ขอบคุณครับครู”ยังติดหูของข้าพเจ้าจนถึงทุกวันนี้ ข้าพเจ้าดีใจที่ได้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันและข้าพเจ้าจะไม่มีวันให้อภัยตนเองหากวันนั้นอาผ่าเป็นอะไรไป เพราะข้าพเจ้าน่าจะไปเยี่ยมอาผ่าตั้งแต่รู้ว่าลูกศิษย์ของตนเองไม่สบายจะได้มีคำแนะนำเบื้องต้นให้กับพ่อแม่ของอาผ่า โดยเฉพาะการเช็ดตัวเพื่อระบายความร้อน
“ครูครับเทอมหน้า ผมจะได้ไปเรียนที่โรงเรียนบ้านห้วยผึ้งครับ ผมบอกครูไว้ก่อน ผมจะไปอยู่หอพักนะครับ เพราะทางหอพักเขาจะช่วยเหลือเรื่องทุนการศึกษาทุกอย่าง”อาผ่าพูด ข้าพเจ้าพยักหน้า “ไปเรียนที่ไหนก็อย่าลืมถ้าปิดเทอมก็กลับมาเที่ยวหาครูนะ”  ข้าพเจ้าไม่เคยกีดกันที่ลูกศิษย์ของข้าพเจ้าในแต่ละรุ่นที่จบระดับชั้น ป.1 หรือ ป.2 ของข้าพเจ้าที่จะไปเรียนต่อที่อื่น หากมีใครยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเพราะจะทำให้เด็กมีความรู้มากขึ้น มีสังคม มีสื่อที่ทันสมัย ก้าวทันโลกโลกาภิวัฒน์  
จนกระทั่งถึงวันที่อาผ่าและเพื่อน ๆ อีกกลุ่มหนึ่งต้องไปเรียนต่อที่อื่น “ครูครับผมไม่มีอะไรจะให้ครู แต่ผมสัญญานะครับสิ่งที่ครูได้สั่งสอนมา ผมจะจำไว้ตลอด ผมจะเป็นเด็กดีครับ” พร้อมกันนั้นอาผ่าได้ยื่นกระดาษที่พับไว้เหมือนซองจดหมาย และหันมามองข้าพเจ้าด้วยความเขินอายนิด ๆ “ครูอย่าเพิ่งเปิดอ่านะครับ ถ้าผมยังไม่ไป คือผมอายครับ”  ข้าพเจ้าพยักหน้า จนกระทั่งงานอำลาเล็ก ๆ ที่ข้าพเจ้าจัดขึ้นเพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้เด็กๆ เสร็จสิ้นข้าพเจ้าก็มานั่งพิงใต้ต้นไม้หน้าโรงเรียนและหยิบกระดาษที่อาผ่าเขียนให้เปิดอ่าน ใจความในจดหมายด้วยลายมือที่โยกโย้และคุ้นเคยของอาผ่าว่า.......





สวัสดีครับครู...
ก่อนอื่นผมขอสวัสดีคุณครูที่แสง(แสน)ดีของผมนะครับ
ผมขอขอบคุณครูที่สอนความรู้ให้ผมต้าง (ตั้ง)หลายปี ถึงแม้ผมจะไม่ได้เรียนที่นี้อีก
แต่ผมจะไม่ลืมครู น้องมิวและครูมนตรี (บุตร และน้องชายของผม) และผมขอให้ครูมีความสุขกับครอบครัวของครู
แต่ผมไม่มีของขวัญอะไรให้ครูเลยครับ
และผมขอขอบคุณอีกหนึ่งอย่างตอนผมนอนอยู่โรงพยาบาล
ครูช่วยเหลือผมมาตลอดขอบคุณมากครับ
ผมจะไม่ลืมพระคุณของครูอีกเลยถึงผมไม่อยู่ที่นั้นผมจะเขียน
จดหมายมาหาครูครับ
ขอให้พระเจ้าอวยพรครู นะครับ
           จาก
              ด.ช.อาผ่า  มาเยอะ

ข้าพเจ้าอมยิ้ม พร้อมกับน้ำใส ๆ ที่รินออกตาโดยไม่รู้ตัว......
                                                                  
                                                     ครูมิตร

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่