บทที่ 1
http://pantip.com/topic/35066153
บทที่ 2
http://pantip.com/topic/35070172
บทที่ 3
ภาพมายา
กริ่งสัญญาณบอกเวลาเลิกเรียนดังลั่น เสียงฝีเท้าเดินแกมวิ่งของกลุ่มนักเรียนที่กรูกันออกจากห้องและส่งเสียงพูดคุยไปตามระเบียงทางเดินท่ามกลางเสียงบ่นของบรรดาอาจารย์ซึ่งกำราบพวกเด็กได้เพียงต่อหน้า แต่เมื่อคล้อยหลังพวกเขาก็เริ่มวิ่งแข่งกันลงบันไดเพื่อแย่งกันออกจากโรงเรียนด้วยความสนุกสนาน
อากีระจัดแจงเก็บสมุดและหนังสือลงกระเป๋า เขาหันไปทางคิยูกิซึ่งกำลังเดินยิ้มเข้ามาหาแต่ต้องหยุดชะงักเมื่อ นิโนมิยะลุกพรวดขึ้น
“ฉันเพิ่งย้ายมาอยู่ที่นี่ได้ไม่กี่วัน เลยยังไม่ค่อยคุ้นกับเส้นทางดี นายช่วยแนะนำให้ฉันหน่อยจะได้ไหม”
“แล้วฉันจะรู้ได้ยังไงว่านายพักอยู่ตรงไหน”
“อพาทเม้นท์ถัดจากร้านนายไปด้านในสองล็อค” ชายหนุ่มตอบและหรี่ตาลงข้างหนึ่งเมื่อเห็นคิยูกิกำลังยืนชักสีหน้าไม่พอใจ “จะให้สาวน้อยนั่นเดินไปด้วยก็ได้นะ”
“ของมันแน่อยู่แล้ว” คิยูกิแหวขึ้นมาในทันที “ฉันกับอากีระเดินกลับบ้านด้วยกันทุกวัน เรื่องอะไรจะให้คนหน้าใหม่อย่างนายมาแย่งเขาไป”
นิโนมิยะมองหน้าเด็กสาวแล้วหัวเราะเสียงดัง
“ฉันแค่ขอให้เขาเดินไปเป็นเพื่อนแค่วันสองวันนี้เท่านั้น ไม่ได้คิดจะแย่งคนรักของเธอสักหน่อย”
“เลิกพูดอะไรที่ฟังแล้วน่าขนลุกแบบนั้นกันเสียทีจะได้ไหม!” อากีระโพล่งขึ้นอย่างเหลืออดก่อนหันไปทางคิยูกิ “ไปกันเถอะ”
“ใจคอจะทิ้งให้ฉันเดินหลงทางคนเดียวหรือไง” ชายหนุ่มผมดำแกล้งตัดพ้อโดยเจตนาให้อีกฝ่ายได้ยิน อากีระหันกลับมามองและตอบเสียงเรียบ
“ขานายยาวออกขนาดนั้น คงตามเราสองคนทัน”
พูดจบก็เดินนำหน้าออกไปอย่างเร็ว คิยูกิหันมาค้อนนิโนมิยะวงโตก่อนจะสะบัดบ๊อบใส่
“ตัวยุ่ง”
เธอกระแทกเสียงและก้าวพรวดออกจากห้องทันที ชายหนุ่มส่งยิ้มอย่างขบขันก่อนจะสาวเท้ายาวๆเดินตามคนทั้งสองไป
*/*/*/*/*/*
อากีระเดินนำหน้าคิยูกิไปเรื่อยๆ เขาพยักหน้าเป็นบางครั้งคล้ายแสดงให้เห็นว่ากำลังฟังเด็กสาวซึ่งพูดไม่ยอมหยุดระหว่างทางกลับบ้านโดยมี นิโนมิยะเดินตามหลังไม่ห่างนัก
“นี่อากีระ รู้ไหมว่าวงเดธโซนออกอัลบั้มใหม่แล้วน่ะ”
คิยูกิพูดเสียงใสใบหน้าเบิกบานส่วนนัยน์ตาทอแสงอ่อนๆของสาวน้อยนักฝัน แต่อารมณ์สุนทรีย์ของเธอต้องสะดุดเมื่อเด็กหนุ่มสั่นศีรษะแถมยังทำหน้าเหมือนไม่รู้จัก
“อะไร! อย่าบอกนะว่าเธอไม่เคยฟังเพลงของพวกเขา”
“อื้อ”
“เหลือเชื่อเลย” เด็กสาวบ่น “วงนี้ดังออกจะตายไป เธอน่าจะลองหามาฟังดูบ้างนะ นี่เห็นว่าพวกเขาจะไปจัดคอนเสิร์ตที่โตเกียวโดมด้วย....”
“ถนนนั่นไปไหนน่ะ” เสียงทุ้มถามขัดคำพูดเจื้อยแจ้วของคิยูกิ เธอหันมาถลึงตาใส่เขา
“มันเป็นถนนสายหลักที่พาเข้าเมือง” เด็กสาวตอบเสียงห้วนและหันไปทางอากีระอีกครั้งจากนั้นจึงเริ่มชวนเขาคุย “นี่อากีระ วันอาทิตย์นี้ว่างไหม....”
“แล้วนั่นศาลเจ้าอะไร” ยูโพล่งขึ้นมาอีก คิยูกิกำมือตัวเองแน่นก่อนหันมาตอบเสียงดัง
“ศาลเจ้า โคะเซะคิ! ถ้านายสงสัยนักก็ข้ามถนนไปดูเดี๋ยวนี้เลยไป!”
“ศาลเจ้าแห่งความแห้งแล้งหรือ เป็นศาลที่มีชื่อแปลกดีนะ” ชายหนุ่มพูดเรื่อยๆ เด็กสาวเม้มปากแน่นเพื่อข่มใจตัวเองไม่ให้หันไปแหวใส่เจ้าคนตัวโต ผู้อธิบายจึงเป็นอากีระ
“เมื่อก่อนที่นี่เป็นหมู่บ้านยากจน ชาวบ้านอดอยากข้นแค้นเพราะผืนดินแห้งแล้งราวกับทะเลทราย แต่แล้ววันหนึ่งเกิดมีเมฆฝนขนาดใหญ่พัดผ่านมา หลังจากตกอย่างหนักติดต่อกันสามวันสามคืนจึงได้เกิดทะเลสาบขึ้น ชาวนาปลูกข้าวได้ผลดีกันถ้วนหน้า พวกเขาเชื่อว่าพายุฝนในครั้งนั้นเกิดจากพลังแห่งเทพมังกรที่ประทานมาให้”
“ถ้าอย่างนั้นก็น่าจะสร้างศาลเจ้ามังกรมากกว่า” ยูมองหน้าเด็กหนุ่ม “ตลกดีนะที่ทำศาลแห่งความแร้นแค้นแบบนี้ขึ้นมาบูชา”
“พวกเขาต้องการให้ชนรุ่นหลังได้รำลึกถึงความยากลำบากในอดีตต่างหาก ส่วนศาลเจ้าบูชาเทพมังกรอยู่เลยขึ้นไปในวัดบนเขาโน่น นายจะไปก็ได้ถ้าอยากเห็นจริงๆ”
“น่าสนใจ” ชายหนุ่มยิ้มมุมปาก “แต่จะดีกว่านั้นถ้านายเป็นคนพาไป”
“อากีระไม่ว่างถึงขนาดนั้นหรอกย่ะ” เสียงคิยูกิแทรกขึ้นมาอย่างไม่พอใจ “เขาต้องช่วยคุณมาโฮที่ร้านทุกเย็น และทุกวันหยุดด้วย”
“น่าเสียดาย” รอยยิ้มที่ส่งมาอย่างปราศจากความรู้สึกคลายลง อากีระรู้สึกเย็นสันหลังวาบเมื่อเห็นประกายแปลกๆเต้นอยู่ในดวงตาสีดำสนิท “เอาไว้วันหลังก็แล้วกัน”
“วันไหนก็ไม่ได้ทั้งนั้น!” เด็กสาวหันไปประจันหน้ากับนิโนมิยะและเงยหน้าขึ้นจ้องตาเขา “นายไปหาคนอื่นนำเที่ยวดีกว่า ตาโย่ง!”
เธอหันกลับไปคว้าแขนของอากีระลากหนีออกห่างจากยูแทบจะทันที เด็กหนุ่มอดที่จะเหลือบตามองกลับไปยังเพื่อนคนใหม่ไม่ได้ แต่ต้องสะดุ้งเมื่อเห็นไอสีดำแผ่ออกมาจากตัวของนิโนมิยะ ดวงตาของเขาทอประกายวาวราวกับดวงตาของสัตว์ล่าเนื้อยามราตรี อากีระรีบเบือนหน้าหนีไปอีกด้านด้วยหัวใจที่เต้นระรัว
“เจ้านั่นเป็นใครกันแน่”
เด็กหนุ่มพึมพำกับตัวเอง ขณะเดียวกันก็อดย้อนนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนเช้าไม่ได้ ถึงนิโนมิยะจะปฏิเสธไม่รู้ไม่เห็นแต่อากีระกลับมั่นใจว่าเจ้าของเงาปริศนาก็คือเขา เสียงทุ้มต่ำที่เหมือนกันราวกับอัดไว้เป็นเครื่องยืนยันได้ดี
“อากีระ”
เสียงสดใสของคิยูกิเรียกเขาให้หลุดออกจากภวังค์ อากีระไหวตัวน้อยๆและหันไปมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงของเธอ
“ไม่เป็นอะไรนะ” เด็กสาวถามต่อด้วยความกังวล ขณะใช้สายตามองข้ามไหล่ของเขาไปทางด้านหลัง เธอนิ่วหน้า “ตาบ้านั่นยังตามมาอีก”
อากีระเอี้ยวตัวเล็กน้อย เขามองยูซึ่งกำลังยืนโบกมือให้แล้วขมวดคิ้ว
“เขาคงกลับบ้านไม่ถูกจริงๆ” เด็กหนุ่มพูด คิยูกิเม้มปากตัวเองแน่นและทำท่าจะบ่นแต่อากีระกลับรีบตัดบท
“เย็นมากแล้วรีบเข้าบ้านดีกว่านะ พรุ่งนี้เช้าฉันจะมารับ”
“อื้อ” เด็กสาวซึ่งดูเหมือนจะอารมณ์ดีขึ้นพยักหน้ารับ “แล้วอย่ามัวนอนตื่นสายจนลืมล่ะ”
เธอโบกมือและหันไปเปิดประตูบ้านโดยไม่ลืมที่จะหันมาส่งยิ้มให้กับเขาอีกครั้งก่อนจะปิดบานประตูลง อากีระถอนหายใจออกมาและเริ่มออกเดิน
“เฮ้! รอด้วยสิ” นิโนมิยะเร่งฝีเท้ามาเดินเคียงคู่กับเขา เด็กหนุ่มไม่ตอบอะไรนอกจากพยายามก้าวให้เร็วขึ้นจนเกือบจะกลายเป็นวิ่ง เสียงทุ้มหัวเราะเบาๆ
“นายไม่มีทางหนีฉันพ้นหรอก อากีระ”
เด็กหนุ่มหันขวับไปจ้องอีกฝ่ายทันที
“หมายความว่ายังไง”
ยูยักไหล่แล้วก้มตัวลงเล็กน้อย
“เพราะนายไม่เคยทำได้สำเร็จเลยสักครั้งน่ะสิ”
ก้อนเหนียวๆตีขึ้นมาในลำคอของอากีระ ลำพังรูปร่างของเจ้าคนตัวโตก็น่ากลัวพออยู่แล้ว ยิ่งประกอบกับสีหน้าและวิธีการพูดที่ฟังคล้ายกับพวกนักฆ่า ทำให้คนได้ยินถึงกับใจแป้ว เด็กหนุ่มยืนอึ้งไม่กล้าตอบอะไรไปชัวขณะก่อนย้อนถามเสียงห้วน
“พูดเรื่องอะไรกันน่ะ ฉันเคยรู้จักกับนายมาก่อนหรือไง”
“ก็ไม่เชิง” นิโนมิยะตอบด้วยสีหน้าสบายๆแต่อากีระกลับรู้สึกถึงความเหี้ยมเกรียมที่แฝงอยู่ในน้ำเสียง เหมือนรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังใจคอไม่ดีนิโนมิยะจึงเปลี่ยนเรื่องพูด
“จะไปกันต่อได้หรือยัง”
เด็กหนุ่มมองมือที่กำลังทำท่าผายไปข้างหน้าราวกับเชื้อเชิญ เขากัดปากตัวเองเหมือนชั่งใจว่าควรไปกับผู้ชายแปลกๆคนนี้ดีหรือไม่แต่พอคิดได้ว่าเวลานี้เป็นช่วงเย็น คนเดินไปมากันเยอะแยะ หากนิโนมิยะเป็นคนร้ายคงยังไม่กล้าลงมือทำอะไรประเจิดประเจ้อ คิดได้แบบนั้นแล้วเด็กหนุ่มจึงออกเดินนำแต่กลับรู้สึกอึดอัดเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มลึกของคนตัวสูงดังไล่หลัง เขาจึงแก้ปัญหาด้วยการชวนคุย
“นายบอกว่ามาจากไซตามะ”
“ก็ ทำนองนั้น” เขาเสยผมสีดำยาวประบ่าไปทางด้านหลัง “ฉันไปมาหลายที่จนขี้เกียจ
จะจำ”
“ย้ายตามงานของพ่อแม่หรือ”
“ย้ายเพราะหน้าที่ของฉันมากกว่า” ชายหนุ่มตอบ อากีระเหลือบตาดูเขาและอ้าปากเตรียมจะถามแต่อีกใจหนึ่งกลับบอกให้เขาเงียบ เด็กหนุ่มจึงเปลี่ยนใจ ท่าทางของเขาทำให้นิโนมิยะเลิกคิ้ว
“คิดว่านายจะถามเรื่องงานของฉัน”
“ก็ไม่ได้อยากรู้มากถึงขนาดนั้น” อากีระตอบด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด เขาไม่แน่ว่าความรู้สึกกดดันที่เพิ่มมากขึ้นนั้นเกิดจากการที่เขาคิดไปเองหรือมาจากบุคคลที่กำลังเดินมาด้วยกันแต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะล่วงรู้ในความคิด
“อึดอัดใช่ไหม”
เด็กหนุ่มหยุดเดินและหันขวับไปมองนิโนมิยะทันทีแต่กลับต้องเบิกตากว้างเมื่อพบว่าตนเองกำลังยืนอยู่ในทุ่งหญ้าโล่งแห่งหนึ่ง เงาเคลื่อนไหวของเด็กวัยเจ็ดแปดขวบกำลังวิ่งเล่นอยู่ไกลๆ
“ที่นี่มัน”
เขาเดินตรงไปยังเด็กกลุ่มนั้น เสียงร้องตะโกนที่ดังเซ็งแซ่ทำให้เด็กหนุ่มชะงักและได้รู้ว่าภาพที่เขาเห็นนั้นแท้จริงคือเด็กกลุ่มใหญ่กำลังวิ่งไล่ขว้างก้อนหินใส่เด็กชายผอมบางซึ่งพยายามวิ่งหนีจนสุดฝีเท้าโดยกอดหมอนหรืออะไรบางอย่างสีขาวเอาไว้แน่นแนบอก
“นี่พวกเธอเล่นอะไรกันแบบนั้น! หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” อากีระตะโกนห้าม เขาอ้าปากค้างเมื่อจู่ๆเด็กชายตัวเล็กหยุดวิ่งและหันขวับไปจ้องกลุ่มเด็กที่ตามมาด้วยดวงตาอาฆาต แม้ร่างกายจะเต็มไปด้วยบาดแผลแต่เด็กคนนั้นกลับไม่มีน้ำตาสักหยด เขาร้องคำรามลั่นด้วยความโกรธ
“ไปตายซะ!”
กลุ่มเด็กที่วิ่งตามมาพากันร้องอุทานเสียงดังก่อนจะเริ่มกรีดร้องโหยหวนและล้มลงนอนกลิ้งไปมาด้วยท่าทางเจ็บปวดทรมาน ร่างของพวกเขามีเลือดไหลทะลักออกมาราวกับท่อประปา อากีระเห็นเด็กชายตัวเล็กแสยะยิ้มขณะที่เดินย่ำไปบนร่างชุ่มเลือดของเด็กที่กำลังนอนโอดครวญ เสียงกระดูกแตกดังลั่น เขาหยุดยืนจ้องเด็กชายตัวโตคนหนึ่งซึ่งดูเหมือนจะเป็นหัวโจกที่พยายามยันตัวลุกขึ้นและยื่นก้อนฟูสีขาวออกไปข้างหน้า
“แกฆ่าแมวฉัน!” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเคียดแค้น “ชดใช้มาซะ!”
เท้าเล็กๆกดขยี้ลงไปบนกะโหลกของเด็กตัวโต เสียงร้องอึกอักคล้ายคนสำลักน้ำดังขึ้นสองสามครั้ง
โพละ!
ทัณฑ์นักล่า อาญาลวง บทที่ 3 ภาพมายา
บทที่ 2 http://pantip.com/topic/35070172
บทที่ 3
ภาพมายา
กริ่งสัญญาณบอกเวลาเลิกเรียนดังลั่น เสียงฝีเท้าเดินแกมวิ่งของกลุ่มนักเรียนที่กรูกันออกจากห้องและส่งเสียงพูดคุยไปตามระเบียงทางเดินท่ามกลางเสียงบ่นของบรรดาอาจารย์ซึ่งกำราบพวกเด็กได้เพียงต่อหน้า แต่เมื่อคล้อยหลังพวกเขาก็เริ่มวิ่งแข่งกันลงบันไดเพื่อแย่งกันออกจากโรงเรียนด้วยความสนุกสนาน
อากีระจัดแจงเก็บสมุดและหนังสือลงกระเป๋า เขาหันไปทางคิยูกิซึ่งกำลังเดินยิ้มเข้ามาหาแต่ต้องหยุดชะงักเมื่อ นิโนมิยะลุกพรวดขึ้น
“ฉันเพิ่งย้ายมาอยู่ที่นี่ได้ไม่กี่วัน เลยยังไม่ค่อยคุ้นกับเส้นทางดี นายช่วยแนะนำให้ฉันหน่อยจะได้ไหม”
“แล้วฉันจะรู้ได้ยังไงว่านายพักอยู่ตรงไหน”
“อพาทเม้นท์ถัดจากร้านนายไปด้านในสองล็อค” ชายหนุ่มตอบและหรี่ตาลงข้างหนึ่งเมื่อเห็นคิยูกิกำลังยืนชักสีหน้าไม่พอใจ “จะให้สาวน้อยนั่นเดินไปด้วยก็ได้นะ”
“ของมันแน่อยู่แล้ว” คิยูกิแหวขึ้นมาในทันที “ฉันกับอากีระเดินกลับบ้านด้วยกันทุกวัน เรื่องอะไรจะให้คนหน้าใหม่อย่างนายมาแย่งเขาไป”
นิโนมิยะมองหน้าเด็กสาวแล้วหัวเราะเสียงดัง
“ฉันแค่ขอให้เขาเดินไปเป็นเพื่อนแค่วันสองวันนี้เท่านั้น ไม่ได้คิดจะแย่งคนรักของเธอสักหน่อย”
“เลิกพูดอะไรที่ฟังแล้วน่าขนลุกแบบนั้นกันเสียทีจะได้ไหม!” อากีระโพล่งขึ้นอย่างเหลืออดก่อนหันไปทางคิยูกิ “ไปกันเถอะ”
“ใจคอจะทิ้งให้ฉันเดินหลงทางคนเดียวหรือไง” ชายหนุ่มผมดำแกล้งตัดพ้อโดยเจตนาให้อีกฝ่ายได้ยิน อากีระหันกลับมามองและตอบเสียงเรียบ
“ขานายยาวออกขนาดนั้น คงตามเราสองคนทัน”
พูดจบก็เดินนำหน้าออกไปอย่างเร็ว คิยูกิหันมาค้อนนิโนมิยะวงโตก่อนจะสะบัดบ๊อบใส่
“ตัวยุ่ง”
เธอกระแทกเสียงและก้าวพรวดออกจากห้องทันที ชายหนุ่มส่งยิ้มอย่างขบขันก่อนจะสาวเท้ายาวๆเดินตามคนทั้งสองไป
*/*/*/*/*/*
อากีระเดินนำหน้าคิยูกิไปเรื่อยๆ เขาพยักหน้าเป็นบางครั้งคล้ายแสดงให้เห็นว่ากำลังฟังเด็กสาวซึ่งพูดไม่ยอมหยุดระหว่างทางกลับบ้านโดยมี นิโนมิยะเดินตามหลังไม่ห่างนัก
“นี่อากีระ รู้ไหมว่าวงเดธโซนออกอัลบั้มใหม่แล้วน่ะ”
คิยูกิพูดเสียงใสใบหน้าเบิกบานส่วนนัยน์ตาทอแสงอ่อนๆของสาวน้อยนักฝัน แต่อารมณ์สุนทรีย์ของเธอต้องสะดุดเมื่อเด็กหนุ่มสั่นศีรษะแถมยังทำหน้าเหมือนไม่รู้จัก
“อะไร! อย่าบอกนะว่าเธอไม่เคยฟังเพลงของพวกเขา”
“อื้อ”
“เหลือเชื่อเลย” เด็กสาวบ่น “วงนี้ดังออกจะตายไป เธอน่าจะลองหามาฟังดูบ้างนะ นี่เห็นว่าพวกเขาจะไปจัดคอนเสิร์ตที่โตเกียวโดมด้วย....”
“ถนนนั่นไปไหนน่ะ” เสียงทุ้มถามขัดคำพูดเจื้อยแจ้วของคิยูกิ เธอหันมาถลึงตาใส่เขา
“มันเป็นถนนสายหลักที่พาเข้าเมือง” เด็กสาวตอบเสียงห้วนและหันไปทางอากีระอีกครั้งจากนั้นจึงเริ่มชวนเขาคุย “นี่อากีระ วันอาทิตย์นี้ว่างไหม....”
“แล้วนั่นศาลเจ้าอะไร” ยูโพล่งขึ้นมาอีก คิยูกิกำมือตัวเองแน่นก่อนหันมาตอบเสียงดัง
“ศาลเจ้า โคะเซะคิ! ถ้านายสงสัยนักก็ข้ามถนนไปดูเดี๋ยวนี้เลยไป!”
“ศาลเจ้าแห่งความแห้งแล้งหรือ เป็นศาลที่มีชื่อแปลกดีนะ” ชายหนุ่มพูดเรื่อยๆ เด็กสาวเม้มปากแน่นเพื่อข่มใจตัวเองไม่ให้หันไปแหวใส่เจ้าคนตัวโต ผู้อธิบายจึงเป็นอากีระ
“เมื่อก่อนที่นี่เป็นหมู่บ้านยากจน ชาวบ้านอดอยากข้นแค้นเพราะผืนดินแห้งแล้งราวกับทะเลทราย แต่แล้ววันหนึ่งเกิดมีเมฆฝนขนาดใหญ่พัดผ่านมา หลังจากตกอย่างหนักติดต่อกันสามวันสามคืนจึงได้เกิดทะเลสาบขึ้น ชาวนาปลูกข้าวได้ผลดีกันถ้วนหน้า พวกเขาเชื่อว่าพายุฝนในครั้งนั้นเกิดจากพลังแห่งเทพมังกรที่ประทานมาให้”
“ถ้าอย่างนั้นก็น่าจะสร้างศาลเจ้ามังกรมากกว่า” ยูมองหน้าเด็กหนุ่ม “ตลกดีนะที่ทำศาลแห่งความแร้นแค้นแบบนี้ขึ้นมาบูชา”
“พวกเขาต้องการให้ชนรุ่นหลังได้รำลึกถึงความยากลำบากในอดีตต่างหาก ส่วนศาลเจ้าบูชาเทพมังกรอยู่เลยขึ้นไปในวัดบนเขาโน่น นายจะไปก็ได้ถ้าอยากเห็นจริงๆ”
“น่าสนใจ” ชายหนุ่มยิ้มมุมปาก “แต่จะดีกว่านั้นถ้านายเป็นคนพาไป”
“อากีระไม่ว่างถึงขนาดนั้นหรอกย่ะ” เสียงคิยูกิแทรกขึ้นมาอย่างไม่พอใจ “เขาต้องช่วยคุณมาโฮที่ร้านทุกเย็น และทุกวันหยุดด้วย”
“น่าเสียดาย” รอยยิ้มที่ส่งมาอย่างปราศจากความรู้สึกคลายลง อากีระรู้สึกเย็นสันหลังวาบเมื่อเห็นประกายแปลกๆเต้นอยู่ในดวงตาสีดำสนิท “เอาไว้วันหลังก็แล้วกัน”
“วันไหนก็ไม่ได้ทั้งนั้น!” เด็กสาวหันไปประจันหน้ากับนิโนมิยะและเงยหน้าขึ้นจ้องตาเขา “นายไปหาคนอื่นนำเที่ยวดีกว่า ตาโย่ง!”
เธอหันกลับไปคว้าแขนของอากีระลากหนีออกห่างจากยูแทบจะทันที เด็กหนุ่มอดที่จะเหลือบตามองกลับไปยังเพื่อนคนใหม่ไม่ได้ แต่ต้องสะดุ้งเมื่อเห็นไอสีดำแผ่ออกมาจากตัวของนิโนมิยะ ดวงตาของเขาทอประกายวาวราวกับดวงตาของสัตว์ล่าเนื้อยามราตรี อากีระรีบเบือนหน้าหนีไปอีกด้านด้วยหัวใจที่เต้นระรัว
“เจ้านั่นเป็นใครกันแน่”
เด็กหนุ่มพึมพำกับตัวเอง ขณะเดียวกันก็อดย้อนนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนเช้าไม่ได้ ถึงนิโนมิยะจะปฏิเสธไม่รู้ไม่เห็นแต่อากีระกลับมั่นใจว่าเจ้าของเงาปริศนาก็คือเขา เสียงทุ้มต่ำที่เหมือนกันราวกับอัดไว้เป็นเครื่องยืนยันได้ดี
“อากีระ”
เสียงสดใสของคิยูกิเรียกเขาให้หลุดออกจากภวังค์ อากีระไหวตัวน้อยๆและหันไปมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงของเธอ
“ไม่เป็นอะไรนะ” เด็กสาวถามต่อด้วยความกังวล ขณะใช้สายตามองข้ามไหล่ของเขาไปทางด้านหลัง เธอนิ่วหน้า “ตาบ้านั่นยังตามมาอีก”
อากีระเอี้ยวตัวเล็กน้อย เขามองยูซึ่งกำลังยืนโบกมือให้แล้วขมวดคิ้ว
“เขาคงกลับบ้านไม่ถูกจริงๆ” เด็กหนุ่มพูด คิยูกิเม้มปากตัวเองแน่นและทำท่าจะบ่นแต่อากีระกลับรีบตัดบท
“เย็นมากแล้วรีบเข้าบ้านดีกว่านะ พรุ่งนี้เช้าฉันจะมารับ”
“อื้อ” เด็กสาวซึ่งดูเหมือนจะอารมณ์ดีขึ้นพยักหน้ารับ “แล้วอย่ามัวนอนตื่นสายจนลืมล่ะ”
เธอโบกมือและหันไปเปิดประตูบ้านโดยไม่ลืมที่จะหันมาส่งยิ้มให้กับเขาอีกครั้งก่อนจะปิดบานประตูลง อากีระถอนหายใจออกมาและเริ่มออกเดิน
“เฮ้! รอด้วยสิ” นิโนมิยะเร่งฝีเท้ามาเดินเคียงคู่กับเขา เด็กหนุ่มไม่ตอบอะไรนอกจากพยายามก้าวให้เร็วขึ้นจนเกือบจะกลายเป็นวิ่ง เสียงทุ้มหัวเราะเบาๆ
“นายไม่มีทางหนีฉันพ้นหรอก อากีระ”
เด็กหนุ่มหันขวับไปจ้องอีกฝ่ายทันที
“หมายความว่ายังไง”
ยูยักไหล่แล้วก้มตัวลงเล็กน้อย
“เพราะนายไม่เคยทำได้สำเร็จเลยสักครั้งน่ะสิ”
ก้อนเหนียวๆตีขึ้นมาในลำคอของอากีระ ลำพังรูปร่างของเจ้าคนตัวโตก็น่ากลัวพออยู่แล้ว ยิ่งประกอบกับสีหน้าและวิธีการพูดที่ฟังคล้ายกับพวกนักฆ่า ทำให้คนได้ยินถึงกับใจแป้ว เด็กหนุ่มยืนอึ้งไม่กล้าตอบอะไรไปชัวขณะก่อนย้อนถามเสียงห้วน
“พูดเรื่องอะไรกันน่ะ ฉันเคยรู้จักกับนายมาก่อนหรือไง”
“ก็ไม่เชิง” นิโนมิยะตอบด้วยสีหน้าสบายๆแต่อากีระกลับรู้สึกถึงความเหี้ยมเกรียมที่แฝงอยู่ในน้ำเสียง เหมือนรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังใจคอไม่ดีนิโนมิยะจึงเปลี่ยนเรื่องพูด
“จะไปกันต่อได้หรือยัง”
เด็กหนุ่มมองมือที่กำลังทำท่าผายไปข้างหน้าราวกับเชื้อเชิญ เขากัดปากตัวเองเหมือนชั่งใจว่าควรไปกับผู้ชายแปลกๆคนนี้ดีหรือไม่แต่พอคิดได้ว่าเวลานี้เป็นช่วงเย็น คนเดินไปมากันเยอะแยะ หากนิโนมิยะเป็นคนร้ายคงยังไม่กล้าลงมือทำอะไรประเจิดประเจ้อ คิดได้แบบนั้นแล้วเด็กหนุ่มจึงออกเดินนำแต่กลับรู้สึกอึดอัดเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มลึกของคนตัวสูงดังไล่หลัง เขาจึงแก้ปัญหาด้วยการชวนคุย
“นายบอกว่ามาจากไซตามะ”
“ก็ ทำนองนั้น” เขาเสยผมสีดำยาวประบ่าไปทางด้านหลัง “ฉันไปมาหลายที่จนขี้เกียจ
จะจำ”
“ย้ายตามงานของพ่อแม่หรือ”
“ย้ายเพราะหน้าที่ของฉันมากกว่า” ชายหนุ่มตอบ อากีระเหลือบตาดูเขาและอ้าปากเตรียมจะถามแต่อีกใจหนึ่งกลับบอกให้เขาเงียบ เด็กหนุ่มจึงเปลี่ยนใจ ท่าทางของเขาทำให้นิโนมิยะเลิกคิ้ว
“คิดว่านายจะถามเรื่องงานของฉัน”
“ก็ไม่ได้อยากรู้มากถึงขนาดนั้น” อากีระตอบด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด เขาไม่แน่ว่าความรู้สึกกดดันที่เพิ่มมากขึ้นนั้นเกิดจากการที่เขาคิดไปเองหรือมาจากบุคคลที่กำลังเดินมาด้วยกันแต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะล่วงรู้ในความคิด
“อึดอัดใช่ไหม”
เด็กหนุ่มหยุดเดินและหันขวับไปมองนิโนมิยะทันทีแต่กลับต้องเบิกตากว้างเมื่อพบว่าตนเองกำลังยืนอยู่ในทุ่งหญ้าโล่งแห่งหนึ่ง เงาเคลื่อนไหวของเด็กวัยเจ็ดแปดขวบกำลังวิ่งเล่นอยู่ไกลๆ
“ที่นี่มัน”
เขาเดินตรงไปยังเด็กกลุ่มนั้น เสียงร้องตะโกนที่ดังเซ็งแซ่ทำให้เด็กหนุ่มชะงักและได้รู้ว่าภาพที่เขาเห็นนั้นแท้จริงคือเด็กกลุ่มใหญ่กำลังวิ่งไล่ขว้างก้อนหินใส่เด็กชายผอมบางซึ่งพยายามวิ่งหนีจนสุดฝีเท้าโดยกอดหมอนหรืออะไรบางอย่างสีขาวเอาไว้แน่นแนบอก
“นี่พวกเธอเล่นอะไรกันแบบนั้น! หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” อากีระตะโกนห้าม เขาอ้าปากค้างเมื่อจู่ๆเด็กชายตัวเล็กหยุดวิ่งและหันขวับไปจ้องกลุ่มเด็กที่ตามมาด้วยดวงตาอาฆาต แม้ร่างกายจะเต็มไปด้วยบาดแผลแต่เด็กคนนั้นกลับไม่มีน้ำตาสักหยด เขาร้องคำรามลั่นด้วยความโกรธ
“ไปตายซะ!”
กลุ่มเด็กที่วิ่งตามมาพากันร้องอุทานเสียงดังก่อนจะเริ่มกรีดร้องโหยหวนและล้มลงนอนกลิ้งไปมาด้วยท่าทางเจ็บปวดทรมาน ร่างของพวกเขามีเลือดไหลทะลักออกมาราวกับท่อประปา อากีระเห็นเด็กชายตัวเล็กแสยะยิ้มขณะที่เดินย่ำไปบนร่างชุ่มเลือดของเด็กที่กำลังนอนโอดครวญ เสียงกระดูกแตกดังลั่น เขาหยุดยืนจ้องเด็กชายตัวโตคนหนึ่งซึ่งดูเหมือนจะเป็นหัวโจกที่พยายามยันตัวลุกขึ้นและยื่นก้อนฟูสีขาวออกไปข้างหน้า
“แกฆ่าแมวฉัน!” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเคียดแค้น “ชดใช้มาซะ!”
เท้าเล็กๆกดขยี้ลงไปบนกะโหลกของเด็กตัวโต เสียงร้องอึกอักคล้ายคนสำลักน้ำดังขึ้นสองสามครั้ง
โพละ!