วันดับสูญ...
...ผู้ที่ถูกเลือก
เมฆฝนสีแดงราวอสูรกายกำลังแผ่ขยายอาณาเขตปกคลุมฟ้าที่มืดมิด แสงสีขาวพาดผ่านลงเบื้องล่างพร้อมเสียงคำรามกึกก้อง ทั้งหมดเป็นสัญญาณเตือนว่าพายุฝนกำลังจะมาเยือนในไม่ช้า
อาจเป็นเรื่องแปลกประหลาดในสมัยก่อน แต่สำหรับตอนนี้นี่กลายเป็นเรื่องปกติไปเลียแล้ว
“ฮ่าๆๆๆๆ...”
ชายชราระเบิดเสียงหัวเราะแข่งกับเสียงบ้าคลั่งกึกก้องของธรรมชาติ
อีกแล้ว เสียงหัวเราะถากถางแบบที่เคยได้ยิน เสียงเยาะเย้ยที่แสนจะเกลียดและไม่เคยลืมเลือนมาตลอดระยะเวลาห้าปีที่ผ่านมา และเขาเอาก็ไม่อยากจะได้ยินอะไรแบบนี้อีกต่อไป
สมชายตาขวาง ขบกรามแน่น รู้สึกว่าเส้นเลือดบนขมับกำลังเต้นตุ้บๆ
“ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมมากด๊อกเตอร์ ไม่เสียแรงจริงๆ ที่ผมอุตส่าห์ดั้นด้นมาหาคุณในวันนี้ ผมได้เห็นพลังในการวิเคราะห์อย่างเป็นเหตุเป็นผล การมองสถานการณ์รอบด้านเพื่อชี้ชัดถึงปัญหาที่แท้จริง ความกล้าที่จะแสดงสิ่งที่ขัดแย้งกับผู้อื่น”
ชายชรายิ้มอย่างพึงใจกล่าวชมไม่ขาดปาก
“และที่สำคัญ เมื่อสักครู่คุณได้แสดงความกล้าที่จะยอมรับขีดความสามารถของตนเองออกมา คุณยอมรับตรงๆ ว่าคุณสามารถทำอะไรได้และทำอะไรไม่ได้ คุณสมบัติเหล่านี้ของคุณจำเป็นอย่างยิ่งต่อพวกเรา ไม่สิ ต่อมวลมนุษยชาติในอนาคตต่างหาก”
สมชายนิ่ง อารมณ์ขุ่นมัวเมื่อสักครู่แปรเปลี่ยนไป แต่เป็นความรู้สึกใดเขาเองก็ยังไม่แน่ใจ ราวกับเหตุการณ์ทั้งหมดเมื่อสักครู่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว มันกลับตาลปัตรจนเขาจับต้นชนปลายไม่ถูก
ชายชราลุกขึ้นเดินเข้ามาใกล้ สีหน้ายิ้มแย้มผิดกับเมื่อสักครู่ราวคนละคน
“ผมขออนุญาตแนะนำตัวกับคุณใหม่อีกครั้งนะครับ และผมต้องขออภัยเป็นอย่างสูงที่เมื่อสักครู่ได้ทำอะไรบางอย่างที่ดูจะเสียมารยาทกับคุณไป ผม ดร. โทมัส จิลเวล ผู้อำนวยการองค์กรการบินและสำรวจอวกาศ...”
ชายชรากล่าว ยิ้มยืดอกอย่างภูมิใจ
“และผมก็เป็นผู้รับผิดชอบโครงการอพยพสิ่งมีชีวิตบนโลกไปสู่ดินแดนใหม่”
“หมายความว่ายังไงกันแน่ คุณกำลังพูดอะไร ผมงงไปหมดแล้ว”
สมชายสารภาพอย่างไม่ปิดบังว่าจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่สามารถจับต้นชนปลายใดๆ ได้
“หรืออันที่จริงแล้วคุณรู้เรื่องพวกนี้อยู่แล้ว คุณรู้เรื่องที่ถามผมไปเมื่อสักครู่อยู่แล้วใช่มั้ย”
ในใจของชายหนุ่มระคนไปด้วยความรู้สึกขัดแย้ง ใจหนึ่งก็รู้สึกดีใจที่มีคนที่มีความคิดเช่นเดียวกับเขา และนั่นทำให้เขารู้สึกว่าตนเองไม่ได้บ้าไปเองคนเดียว แต่ถึงอย่างนั้นอีกใจหนึ่งก็อดรู้สึกโมโหไม่ได้ เขารู้สึกว่าตนเองกำลังโดนปั่นหัวและถูกลองภูมิ
“คุณจะพูดแบบนั้นก็ไม่ผิด แต่มันก็ไม่ถูกไปเสียทีเดียว มันถูกที่ผมรู้เรื่องพวกนั้นอยู่แล้วก่อนมาหาคุณ...”
ชายชรายิ้ม
“อันที่จริง โครงการนี้เพิ่งถูกตั้งขึ้นเมื่อห้าปีที่แล้วเท่านั้นเองครับ”
ชายชราตั้งใจพูดประโยคสุดท้ายออกมา และก็เป็นไปตามคาดที่ประโยคนั้นทำให้ชายหนุ่มสะกิดใจได้อย่างไม่ยากเย็น
“ถูกต้องแล้วครับ เป็นอย่างที่คุณคิด โครงการอพยพสิ่งมีชีวิตบนโลกไปสู่ดินแดนใหม่ถูกตั้งขึ้นมาหลังจากการนำเสนอผลงานวิจัยของคุณเมื่อห้าปีก่อน คุณอาจจะไม่รู้ว่าผมเองก็เป็นหนึ่งในผู้เข้าฟังในวันนั้น”
ในตอนนั้นยังมีคนที่สนใจงานวิจัยของเขา หัวใจสูบฉีดแรง ร่างกายค่อยๆ อุ่นขึ้น กำแพงที่เคยปิดกั้นใจเขากับโลกภายนอกค่อยๆ กะเทาะ แสงสว่างเล็ดรอดออกมาจากรอยปริแตกนั้น
“ดร. สมชาย หากวันนั้นคุณไม่หนีหายไปเสียก่อน เราคงจะมีเวลาคุยอะไรๆ กันได้มากกว่านี้ และทางเราเองก็คงไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยแทบล้มประดาตายกันขนาดนี้ตลอดระยะเวลาห้าปีที่ผ่านมา”
“หรือว่า ที่คุณมาหาผมในวันนี้ เพราะ...”
สมชายตาเบิกโพลง ใจเต้นรัวเร็วขึ้นอีกเมื่อคาดการณ์ได้ถึงสิ่งที่ชายชราจะพูดต่อจากนี้
“ถูกต้องแล้วครับ หลังจากวันนั้น ทางเราก็เลยจัดตั้งโครงการนี้ขึ้น เราหาทุกข้อมูล ตรวจสอบทุกร่องรอยจากสิ่งที่คุณนำเสนอค้างไว้ และเราก็พบว่ามันเป็นอย่างเดียวกันกับสิ่งที่คุณได้บอกไว้”
ในน้ำเสียงของชายชราเต็มไปด้วยความชื่นชมอย่างไร้การเสแสร้ง
“ผมอยากจะรู้จริงๆ ว่าคุณทำได้ยังไง ด้วยวิทยาการและเทคโนโลยีที่คุณมี มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่คุณจะสามารถคำนวณและวิเคราะห์สาเหตุได้อย่างถูกต้องแม่นยำ แต่คุณก็พิสูจน์ให้พวกเราเห็นแล้วว่าคุณทำได้ สิ่งที่คุณพูดในวันนั้นมันถูกต้อง”
ผ่านไปแล้วห้าปี แต่ในที่สุดผู้ที่ยอมรับในผลงานที่เขาทุ่มกายเทใจก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า สมชายรู้สึกว่าใจอันกลวงโบ๋ได้ถูกเติมเต็มอีกครั้ง เขายินดีกับคำชื่นชมที่ได้ยิน รู้สึกเป็นสุขอย่างบอกไม่ถูก
“คุณรู้รึเปล่า เราต้องใช้งบประมาณไปมหาศาลขนาดไหนกับโครงการนี้ ตั้งแต่การวิจัยเรื่องผลกระทบต่างๆ วันเวลาที่จะเกิด รวมถึงการหาทางออกทุกทางที่น่าจะเป็นไปได้”
ในเวลานั้นเมื่อห้าปีที่แล้ว สมชายอาจจะใจร้อนเกินไปจริงๆ เขาเป็นนักเรียนชั้นแนวหน้าที่ได้คะแนนสูงสุดมาตลอด เพราะใครๆ ก็สนอกสนใจ เพราะใครๆ ต่างก็ต้องฟังสิ่งที่เขาพูด เขามั่นใจในตัวเองมากและไม่เคยรู้สึกอับอายแบบในวันนั้นมาก่อน
เสียงหัวเราะถากถางทำให้เขาเสียความเป็นตัวเองไป ไม่มองแม้กระทั่งคนที่ให้ความสนใจและพร้อมจะสานต่อแนวคิดของเขา
“คุณไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดหรอกนะครับด๊อกเตอร์ เพราะอย่างน้อยๆ สิ่งที่คุณพยายามบอกเมื่อห้าปีก่อนก็ทำให้องค์กรของเราเตรียมการอะไรบางอย่างได้อย่างทันท่วงที”
ชายชราล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อสูท
“และนี่ครับ สำหรับคุณ”
เขายื่นสิ่งที่หยิบออกมาให้ชายหนุ่ม
มันเป็นอุปกรณ์ที่มีลักษณะคล้ายนาฬิกาข้อมือ หน้าปัดเรืองแสงปราศจากตัวเลขหรือสัญลักษณ์ใดๆ ด้านล่างของหน้าปัดมมีปุ่มกดสำหรับใช้ทำอะไรบางอย่าง
“นี่คือ...”
สมชายเปิดประโยคคำถาม ไม่มั่นใจในสิ่งที่คู่สนทนายื่นให้
“ตั๋วของคุณไงครับ คุณได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในผู้อพยพ หรือจะให้ถูก เป็นหนึ่งในผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์อีกหกเดือนข้างหน้า วันดับสูญของโลก”
“ทำไมต้องเป็นผม และเราจะทำยังไงถึงจะ...”
สมชายระดมยิงคำถามต่อแม้ชายชราจะคิดว่าได้ไขข้อข้องใจไปแล้ว
“เอาเถอะครับ ด๊อกเตอร์ แล้วทุกอย่างจะกระจ่างเองเมื่อถึงเวลา อีกสามเดือนข้างหน้าผมจะมารับคุณ แต่ในระหว่างนี้ผมขอให้คุณสวมอุปกรณ์ชิ้นนี้ไว้ตลอดเวลาก็แล้วกันนะครับ”
ชายชราพูดรวบรัดตัดบท
“แต่ก่อนที่จะให้ผมสวมอะไรที่ผมไม่แน่ใจ ผมจำเป็นต้องรู้ก่อนว่ามันคืออะไร”
สมชายยังคงถาม ชายชราแอบถอนหายใจ จนใจกับความหัวดื้อและช่างสงสัยของคู่สนทนา
“ตอนนี้ขอให้คุณรู้เพียงว่าเราจะติดต่อกับคุณผ่านทางอุปกรณ์ชิ้นนั้น ปุ่มที่อยู่ด้านล่างใช้สำหรับการพูดคุย จอภาพจะแสดงตัวคุณและพิกัดที่คุณอยู่ ซึ่งหมายความว่านับจากนี้ไปเราจะรู้ได้ตลอดเวลาว่าคุณอยู่ที่ไหน เผื่อเกิดเหตุอะไรขึ้นกับคุณเราจะได้เปลี่ยนแผนหรือหาทางออกอื่นๆ ได้ทันท่วงที”
ชายชราพยายามอธิบายอย่างย่อที่สุด ให้เข้าใจพอที่คิดว่าชายหนุ่มจะไม่ถามอีก
“และหากในกรณีที่เลวร้ายที่สุดเกิดขึ้นกับคุณ เข็มเล็กๆ จากช่องด้านหลังเครื่องจะทำการเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอ เซลล์ และเม็ดเลือดของคุณ และจะทำการแช่แข็งที่ด้านในตัวอุปกรณ์ และเราจะมาเก็บตัวอย่างนั้นจากพิกัดดาวเทียม”
“หวังว่าคุณคงเข้าใจ เวลาที่เหลืออยู่นี้พวกเราไม่ต้องการความผิดพลาดใดๆ อีก แม้แต่เหตุสุดวิสัยหรือเหตุการณ์ไม่คาดคิดเล็กๆ น้อยๆ ก็ต้องไม่เกิดขึ้น”
ดวงตาสีอ่อนของชายชราฉายแววมั่นใจเต็มเปี่ยม สมชายมองอุปกรณ์แปลกหน้าในมือราวกับมันเป็นอุปกรณ์ที่มาจากโลกอื่น
หลังสายฟ้าฟาดและเสียงคำรามกึกก้องสุดท้าย เมืองทั้งเมืองก็ถูกกลืนหายไปในสายฝนที่บ้าคลั่ง หมอกคงจะลงหนาเมื่อใกล้รุ่งสาง กลางวันคงจะร้อนอบอ้าว และช่วงพลบค่ำก็คงจะหนาวเหน็บเช่นเคย
วัฏจักรวิปริตผิดเพี้ยนเหล่านี้กำลังจะสิ้นสุดลงในอีกหกเดือนนับจากนี้
วันดับสูญ...ผู้ที่ถูกเลือก
...ผู้ที่ถูกเลือก
เมฆฝนสีแดงราวอสูรกายกำลังแผ่ขยายอาณาเขตปกคลุมฟ้าที่มืดมิด แสงสีขาวพาดผ่านลงเบื้องล่างพร้อมเสียงคำรามกึกก้อง ทั้งหมดเป็นสัญญาณเตือนว่าพายุฝนกำลังจะมาเยือนในไม่ช้า
อาจเป็นเรื่องแปลกประหลาดในสมัยก่อน แต่สำหรับตอนนี้นี่กลายเป็นเรื่องปกติไปเลียแล้ว
“ฮ่าๆๆๆๆ...”
ชายชราระเบิดเสียงหัวเราะแข่งกับเสียงบ้าคลั่งกึกก้องของธรรมชาติ
อีกแล้ว เสียงหัวเราะถากถางแบบที่เคยได้ยิน เสียงเยาะเย้ยที่แสนจะเกลียดและไม่เคยลืมเลือนมาตลอดระยะเวลาห้าปีที่ผ่านมา และเขาเอาก็ไม่อยากจะได้ยินอะไรแบบนี้อีกต่อไป
สมชายตาขวาง ขบกรามแน่น รู้สึกว่าเส้นเลือดบนขมับกำลังเต้นตุ้บๆ
“ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมมากด๊อกเตอร์ ไม่เสียแรงจริงๆ ที่ผมอุตส่าห์ดั้นด้นมาหาคุณในวันนี้ ผมได้เห็นพลังในการวิเคราะห์อย่างเป็นเหตุเป็นผล การมองสถานการณ์รอบด้านเพื่อชี้ชัดถึงปัญหาที่แท้จริง ความกล้าที่จะแสดงสิ่งที่ขัดแย้งกับผู้อื่น”
ชายชรายิ้มอย่างพึงใจกล่าวชมไม่ขาดปาก
“และที่สำคัญ เมื่อสักครู่คุณได้แสดงความกล้าที่จะยอมรับขีดความสามารถของตนเองออกมา คุณยอมรับตรงๆ ว่าคุณสามารถทำอะไรได้และทำอะไรไม่ได้ คุณสมบัติเหล่านี้ของคุณจำเป็นอย่างยิ่งต่อพวกเรา ไม่สิ ต่อมวลมนุษยชาติในอนาคตต่างหาก”
สมชายนิ่ง อารมณ์ขุ่นมัวเมื่อสักครู่แปรเปลี่ยนไป แต่เป็นความรู้สึกใดเขาเองก็ยังไม่แน่ใจ ราวกับเหตุการณ์ทั้งหมดเมื่อสักครู่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว มันกลับตาลปัตรจนเขาจับต้นชนปลายไม่ถูก
ชายชราลุกขึ้นเดินเข้ามาใกล้ สีหน้ายิ้มแย้มผิดกับเมื่อสักครู่ราวคนละคน
“ผมขออนุญาตแนะนำตัวกับคุณใหม่อีกครั้งนะครับ และผมต้องขออภัยเป็นอย่างสูงที่เมื่อสักครู่ได้ทำอะไรบางอย่างที่ดูจะเสียมารยาทกับคุณไป ผม ดร. โทมัส จิลเวล ผู้อำนวยการองค์กรการบินและสำรวจอวกาศ...”
ชายชรากล่าว ยิ้มยืดอกอย่างภูมิใจ
“และผมก็เป็นผู้รับผิดชอบโครงการอพยพสิ่งมีชีวิตบนโลกไปสู่ดินแดนใหม่”
“หมายความว่ายังไงกันแน่ คุณกำลังพูดอะไร ผมงงไปหมดแล้ว”
สมชายสารภาพอย่างไม่ปิดบังว่าจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่สามารถจับต้นชนปลายใดๆ ได้
“หรืออันที่จริงแล้วคุณรู้เรื่องพวกนี้อยู่แล้ว คุณรู้เรื่องที่ถามผมไปเมื่อสักครู่อยู่แล้วใช่มั้ย”
ในใจของชายหนุ่มระคนไปด้วยความรู้สึกขัดแย้ง ใจหนึ่งก็รู้สึกดีใจที่มีคนที่มีความคิดเช่นเดียวกับเขา และนั่นทำให้เขารู้สึกว่าตนเองไม่ได้บ้าไปเองคนเดียว แต่ถึงอย่างนั้นอีกใจหนึ่งก็อดรู้สึกโมโหไม่ได้ เขารู้สึกว่าตนเองกำลังโดนปั่นหัวและถูกลองภูมิ
“คุณจะพูดแบบนั้นก็ไม่ผิด แต่มันก็ไม่ถูกไปเสียทีเดียว มันถูกที่ผมรู้เรื่องพวกนั้นอยู่แล้วก่อนมาหาคุณ...”
ชายชรายิ้ม
“อันที่จริง โครงการนี้เพิ่งถูกตั้งขึ้นเมื่อห้าปีที่แล้วเท่านั้นเองครับ”
ชายชราตั้งใจพูดประโยคสุดท้ายออกมา และก็เป็นไปตามคาดที่ประโยคนั้นทำให้ชายหนุ่มสะกิดใจได้อย่างไม่ยากเย็น
“ถูกต้องแล้วครับ เป็นอย่างที่คุณคิด โครงการอพยพสิ่งมีชีวิตบนโลกไปสู่ดินแดนใหม่ถูกตั้งขึ้นมาหลังจากการนำเสนอผลงานวิจัยของคุณเมื่อห้าปีก่อน คุณอาจจะไม่รู้ว่าผมเองก็เป็นหนึ่งในผู้เข้าฟังในวันนั้น”
ในตอนนั้นยังมีคนที่สนใจงานวิจัยของเขา หัวใจสูบฉีดแรง ร่างกายค่อยๆ อุ่นขึ้น กำแพงที่เคยปิดกั้นใจเขากับโลกภายนอกค่อยๆ กะเทาะ แสงสว่างเล็ดรอดออกมาจากรอยปริแตกนั้น
“ดร. สมชาย หากวันนั้นคุณไม่หนีหายไปเสียก่อน เราคงจะมีเวลาคุยอะไรๆ กันได้มากกว่านี้ และทางเราเองก็คงไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยแทบล้มประดาตายกันขนาดนี้ตลอดระยะเวลาห้าปีที่ผ่านมา”
“หรือว่า ที่คุณมาหาผมในวันนี้ เพราะ...”
สมชายตาเบิกโพลง ใจเต้นรัวเร็วขึ้นอีกเมื่อคาดการณ์ได้ถึงสิ่งที่ชายชราจะพูดต่อจากนี้
“ถูกต้องแล้วครับ หลังจากวันนั้น ทางเราก็เลยจัดตั้งโครงการนี้ขึ้น เราหาทุกข้อมูล ตรวจสอบทุกร่องรอยจากสิ่งที่คุณนำเสนอค้างไว้ และเราก็พบว่ามันเป็นอย่างเดียวกันกับสิ่งที่คุณได้บอกไว้”
ในน้ำเสียงของชายชราเต็มไปด้วยความชื่นชมอย่างไร้การเสแสร้ง
“ผมอยากจะรู้จริงๆ ว่าคุณทำได้ยังไง ด้วยวิทยาการและเทคโนโลยีที่คุณมี มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่คุณจะสามารถคำนวณและวิเคราะห์สาเหตุได้อย่างถูกต้องแม่นยำ แต่คุณก็พิสูจน์ให้พวกเราเห็นแล้วว่าคุณทำได้ สิ่งที่คุณพูดในวันนั้นมันถูกต้อง”
ผ่านไปแล้วห้าปี แต่ในที่สุดผู้ที่ยอมรับในผลงานที่เขาทุ่มกายเทใจก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า สมชายรู้สึกว่าใจอันกลวงโบ๋ได้ถูกเติมเต็มอีกครั้ง เขายินดีกับคำชื่นชมที่ได้ยิน รู้สึกเป็นสุขอย่างบอกไม่ถูก
“คุณรู้รึเปล่า เราต้องใช้งบประมาณไปมหาศาลขนาดไหนกับโครงการนี้ ตั้งแต่การวิจัยเรื่องผลกระทบต่างๆ วันเวลาที่จะเกิด รวมถึงการหาทางออกทุกทางที่น่าจะเป็นไปได้”
ในเวลานั้นเมื่อห้าปีที่แล้ว สมชายอาจจะใจร้อนเกินไปจริงๆ เขาเป็นนักเรียนชั้นแนวหน้าที่ได้คะแนนสูงสุดมาตลอด เพราะใครๆ ก็สนอกสนใจ เพราะใครๆ ต่างก็ต้องฟังสิ่งที่เขาพูด เขามั่นใจในตัวเองมากและไม่เคยรู้สึกอับอายแบบในวันนั้นมาก่อน
เสียงหัวเราะถากถางทำให้เขาเสียความเป็นตัวเองไป ไม่มองแม้กระทั่งคนที่ให้ความสนใจและพร้อมจะสานต่อแนวคิดของเขา
“คุณไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดหรอกนะครับด๊อกเตอร์ เพราะอย่างน้อยๆ สิ่งที่คุณพยายามบอกเมื่อห้าปีก่อนก็ทำให้องค์กรของเราเตรียมการอะไรบางอย่างได้อย่างทันท่วงที”
ชายชราล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อสูท
“และนี่ครับ สำหรับคุณ”
เขายื่นสิ่งที่หยิบออกมาให้ชายหนุ่ม
มันเป็นอุปกรณ์ที่มีลักษณะคล้ายนาฬิกาข้อมือ หน้าปัดเรืองแสงปราศจากตัวเลขหรือสัญลักษณ์ใดๆ ด้านล่างของหน้าปัดมมีปุ่มกดสำหรับใช้ทำอะไรบางอย่าง
“นี่คือ...”
สมชายเปิดประโยคคำถาม ไม่มั่นใจในสิ่งที่คู่สนทนายื่นให้
“ตั๋วของคุณไงครับ คุณได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในผู้อพยพ หรือจะให้ถูก เป็นหนึ่งในผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์อีกหกเดือนข้างหน้า วันดับสูญของโลก”
“ทำไมต้องเป็นผม และเราจะทำยังไงถึงจะ...”
สมชายระดมยิงคำถามต่อแม้ชายชราจะคิดว่าได้ไขข้อข้องใจไปแล้ว
“เอาเถอะครับ ด๊อกเตอร์ แล้วทุกอย่างจะกระจ่างเองเมื่อถึงเวลา อีกสามเดือนข้างหน้าผมจะมารับคุณ แต่ในระหว่างนี้ผมขอให้คุณสวมอุปกรณ์ชิ้นนี้ไว้ตลอดเวลาก็แล้วกันนะครับ”
ชายชราพูดรวบรัดตัดบท
“แต่ก่อนที่จะให้ผมสวมอะไรที่ผมไม่แน่ใจ ผมจำเป็นต้องรู้ก่อนว่ามันคืออะไร”
สมชายยังคงถาม ชายชราแอบถอนหายใจ จนใจกับความหัวดื้อและช่างสงสัยของคู่สนทนา
“ตอนนี้ขอให้คุณรู้เพียงว่าเราจะติดต่อกับคุณผ่านทางอุปกรณ์ชิ้นนั้น ปุ่มที่อยู่ด้านล่างใช้สำหรับการพูดคุย จอภาพจะแสดงตัวคุณและพิกัดที่คุณอยู่ ซึ่งหมายความว่านับจากนี้ไปเราจะรู้ได้ตลอดเวลาว่าคุณอยู่ที่ไหน เผื่อเกิดเหตุอะไรขึ้นกับคุณเราจะได้เปลี่ยนแผนหรือหาทางออกอื่นๆ ได้ทันท่วงที”
ชายชราพยายามอธิบายอย่างย่อที่สุด ให้เข้าใจพอที่คิดว่าชายหนุ่มจะไม่ถามอีก
“และหากในกรณีที่เลวร้ายที่สุดเกิดขึ้นกับคุณ เข็มเล็กๆ จากช่องด้านหลังเครื่องจะทำการเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอ เซลล์ และเม็ดเลือดของคุณ และจะทำการแช่แข็งที่ด้านในตัวอุปกรณ์ และเราจะมาเก็บตัวอย่างนั้นจากพิกัดดาวเทียม”
“หวังว่าคุณคงเข้าใจ เวลาที่เหลืออยู่นี้พวกเราไม่ต้องการความผิดพลาดใดๆ อีก แม้แต่เหตุสุดวิสัยหรือเหตุการณ์ไม่คาดคิดเล็กๆ น้อยๆ ก็ต้องไม่เกิดขึ้น”
ดวงตาสีอ่อนของชายชราฉายแววมั่นใจเต็มเปี่ยม สมชายมองอุปกรณ์แปลกหน้าในมือราวกับมันเป็นอุปกรณ์ที่มาจากโลกอื่น
หลังสายฟ้าฟาดและเสียงคำรามกึกก้องสุดท้าย เมืองทั้งเมืองก็ถูกกลืนหายไปในสายฝนที่บ้าคลั่ง หมอกคงจะลงหนาเมื่อใกล้รุ่งสาง กลางวันคงจะร้อนอบอ้าว และช่วงพลบค่ำก็คงจะหนาวเหน็บเช่นเคย
วัฏจักรวิปริตผิดเพี้ยนเหล่านี้กำลังจะสิ้นสุดลงในอีกหกเดือนนับจากนี้