บทนำ — เงาใต้ฝนกรุงเทพฯ
เสียงฟ้าร้องก้องขึ้นจากฟากฟ้าเหมือนเสียงคำรามของสัตว์ยักษ์ในตำนาน
ละอองฝนพรำลงมาเหนือมหานครที่ไม่เคยหลับใหล —
ถนนราชดำเนินเปียกแฉะราวกับถูกทาด้วยน้ำมันเก่า รถรามอซอมซ่อแล่นผ่านไปในสายฝนที่พร่ามัว
แสงไฟจากเสาไฟฟ้ากระพริบทีละดวง คล้ายดวงตาของปีศาจที่จับจ้องความลับในความมืด
กรุงเทพฯ ปีพุทธศักราช ๒๕๒๑
เป็นยุคที่เสียงลูกกรุงยังลอยอยู่ตามตรอกซอกซอย แต่กลิ่นเขม่าน้ำมันเริ่มกลบกลิ่นดอกจำปีในสวนบ้านเรือน
เมืองหลวงเริ่มสูงขึ้น มีตึกแถวปูนผุดขึ้นแทนเรือนไม้สัก และเสียงเครื่องพิมพ์ดีดยังดังอยู่ในห้องออฟฟิศของบริษัทประกัน
ที่ผู้คนเรียกกันว่า “เมืองสยามประกันชีวิต จำกัด”
ในคืนหนึ่งของเดือนมิถุนายน ฝนเทลงมาอย่างไม่ปรานีปราศรัย
มีเสียงร้องของหญิงสาวนางหนึ่งดังขึ้นจากริมแม่น้ำเจ้าพระยา —
เสียงดังพอให้คนเดินเรือหันมามอง ก่อนจะพบสิ่งไม่พึงประสงค์ลอยมากับเกลียวคลื่น
ร่างของชายในวัยห้าสิบกว่าๆ ถูกกระแสน้ำพัดมาติดเสาไม้ท่าเรือเก่า เสื้อสูทสีเทาเปียกแนบเนื้อ หน้าซีดเผือดราวกระดาษ
บนข้อมือยังสวมนาฬิกาเรือนทองยี่ห้อ “โอเมก้า” ที่หยุดเวลาไว้ที่ ๑๙.๔๖ นาฬิกา
เขาคือ “
นายปรีชา ศรีอัครา”
เจ้าของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ ผู้ถือกรมธรรม์ประกันชีวิตมูลค่ากว่าสิบล้านบาทกับบริษัทเมืองสยามประกันชีวิต
และนั่น — คือจุดเริ่มต้นของคดีที่สั่นสะเทือนทั้งวงการธุรกิจและชีวิตของชายหนุ่มคนหนึ่ง ที่ไม่เคยรู้มาก่อนว่าเลือดในกายเขา...
คือ
“เลือดของคนตาย”
ตอนที่ ๑ — เงาในกรมธรรม์
ฝนยังตกอย่างต่อเนื่องราวกับฟ้ารั่วจนถึงเช้าวันถัดมา
ควันบุหรี่ลอยขาวโพลนในห้องสอบสวนสถานีตำรวจพญาไท
บนโต๊ะไม้ ที่มีรอยบุหรี่ไหม้เป็นวง มีแฟ้มหนา ๆ วางอยู่หนึ่งเล่ม —
ชื่อแฟ้มสะกดไว้ด้วยหมึกแดงว่า
“คดีการเสียชีวิตของนายปรีชา ศรีอัครา (ลับ)”
ร้อยตำรวจโทสมพร ศิลากุล
ชายวัยสามสิบปลาย ๆ ผู้มีดวงตาอ่อนโยนแต่แฝงความเฉียบคม กำลังตั้งใจอ่านเอกสารฉบับนั้นอย่างเคร่งเครียด
เสียงฝนกระทบหน้าต่างดังเป็นจังหวะประหลาดราวกับหัวใจของเมืองนี้กำลังเต้นด้วยความเหนื่อยล้า
“พยานเห็นร่างผู้ตายลอยจากฝั่งธนฯ มาถึงท่าน้ำเทเวศร์...”
“ไม่มีร่องรอยการต่อสู้...”
“แต่รายงานชันสูตรเบื้องต้นระบุว่า ‘กระดูกท้ายทอยแตกจากแรงกระแทก’...”
สมพรขมวดคิ้ว เขาจุดบุหรี่ สูดให้นิโคตินกระแทกเข้าไปจนเต็มปอด แล้วค่อยๆ พ่นออกมาช้า ๆ
กลิ่นควันบุหรี่ผสมกับกลิ่นฝน — กลายเป็นกลิ่นที่เขาคุ้นเคยมาตลอดการรับราชการมากกว่าสิบปี
“คนตกน้ำท้ายทอยมันจะแตกได้ไงวะ” เขาพึมพำ
ประตูห้องเปิดออก
จ่าสำราญ เข้ามาพร้อมแก้วกาแฟร้อน
“ผู้กองครับ มีพ่อหนุ่มคนหนึ่งมาขอพบ บอกว่าเกี่ยวข้องเป็นญาติกับผู้ตาย”
สมพรเลิกคิ้ว “ชื่ออะไร?”
“คมกริชครับ — เห็นเขาว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องของนายปรีชา”
ชายหนุ่มคนนั้นเดินเข้ามาในห้องด้วยท่าทีเรียบง่าย
เสื้อเชิ้ตสีขาวซีด กางเกงสแล็กส์ธรรมดา ใบหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ใด
แต่ดวงตาคมกริบ เหมือนจะมองทะลุเข้าไปถึงจิตวิญญาณของคนที่คุยด้วย
“คุณคมกริชสินะ เชิญนั่งครับ” สมพรเชื้อเชิญ
“ครับ”
น้ำเสียงของเขาเรียบ เย็น และมั่นคง
“ผมได้รับจดหมายฉบับหนึ่งเมื่อคืน บอกว่าคุณอยากให้ผมมาช่วยเรื่องของ... พ่อ?”
คำว่า พ่อ ทำให้ห้องเงียบลงชั่วอึดใจ
สมพรเงยหน้ามองเขา “คุณหมายถึงนายปรีชา?”
คมกริชพยักหน้าช้าๆ สายตามองจ้องมาที่สมพร
“ผมไม่ได้รู้จักเขาดีสักเท่าไหร่ แต่ในจดหมายที่แนบมากับสำเนากรมธรรม์ — มีชื่อผมอยู่ในนั้น ในฐานะผู้รับผลประโยชน์ร่วม”
สมพรนิ่งงันไปชั่วครู่ ก่อนจะหยิบแว่นสายตาขึ้นสวม
เขาเปิดเอกสารที่คมกริชยื่นให้ พลางพึมพำกับตนเอง
“ชื่อผู้รับผลประโยชน์... นายคมกริช... ศรีอัครา”
เขาเงยหน้าขึ้น
“แต่ในทะเบียนราษฎร์ คุณใช้นามสกุล ‘รัตนวัฒน์’ ไม่ใช่หรือ?”
“ใช่ครับ — แม่ผมไม่เคยเล่าเรื่องพ่อแท้ ๆ ของผม ให้ผมทราบมาก่อน”
ฝนข้างนอกยังตกหนักขึ้น
เสียงฟ้าผ่าแล่นผ่านเหนือสถานี เสียงเหมือนประทัดที่ถูกโยนเข้าไปในลังไม้
สมพรสูบบุหรี่จนเกือบมอด เขาเขี่ยขี้เถ้าทิ้ง แล้วขยี้บุหรี่ลงในที่เขี่ยบุหรี่ ก่อนพูดช้า ๆ
“ผมไม่รู้นะ ว่าใครส่งจดหมายนั่นให้คุณ แต่คดีนี้มันแปลกมากเลย”
“เอ๊ะ ทำไมละครับ?”
“เพราะกรมธรรม์ของนายปรีชาคนนี้ มีผู้รับผลประโยชน์ถึงสามคน”
สมพรเปิดแฟ้มให้ดู
“เมียหลวง — นางจิตรา, ลูกชายคนโต — นายศักดา, และคุณ”
คมกริชนิ่งไปครู่หนึ่ง
“แต่ผมไม่เคยรู้จักคนพวกนี้เลยนะครับ”
“ถึงเวลาที่คุณต้องรู้จักพวกเขาแล้วละครับ” สมพรตอบ
“เพราะ... คนที่ได้ประโยชน์จากการตายของนายปรีชา ก็มีเพียงพวกคุณที่ความเกี่ยวพันทางสายเลือด”
บ่ายวันนั้น
ฝนเริ่มซาลง เหลือเพียงกลิ่นดินชื้นๆ ที่ส่งกลิ่น คลุ้งไปทั่วตรอกพญาไท
คมกริชเดินออกจากสถานีตำรวจ เขายกคอเสื้อขึ้นเพื่อกันลม
ถนนเปียกวาวราวกระจก แสงสะท้อนจากรถแท็กซี่สีเหลืองอ๋อยกระพริบส่องหน้าชายหนุ่มที่เดินอย่างไร้ทิศทาง
เขาเปิดซองจดหมายขึ้นอีกครั้ง
กระดาษข้างในขาวซีด มีเพียงประโยคของคน คนหนึ่ง เขียนด้วยลายมือหวัดๆ
“ความตายของนายปรีชา... ไม่ใช่อุบัติเหตุ
และคุณ คือ กุญแจของคดีนี้”
ด้านล่างลงชื่อว่า — “ร.”
คมกริชพับกระดาษเก็บใส่เสื้อ
เขาไม่รู้ว่า “ร.” หมายถึงใคร แต่ในใจกลับได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้น
เสียงดังจากสายฝนที่กระซิบข้างๆ หูเขาว่า —
“อย่าไว้ใจใคร... แม้แต่เงาของตัวเอง”
ว่างๆ มาแต่งนิยาย ไม่รู้จะไปได้สักกี่น้ำ ขอตั้งแบบห้วนๆ ว่า "กรมธรรม์สังหาร"
เสียงฟ้าร้องก้องขึ้นจากฟากฟ้าเหมือนเสียงคำรามของสัตว์ยักษ์ในตำนาน
ละอองฝนพรำลงมาเหนือมหานครที่ไม่เคยหลับใหล —
ถนนราชดำเนินเปียกแฉะราวกับถูกทาด้วยน้ำมันเก่า รถรามอซอมซ่อแล่นผ่านไปในสายฝนที่พร่ามัว
แสงไฟจากเสาไฟฟ้ากระพริบทีละดวง คล้ายดวงตาของปีศาจที่จับจ้องความลับในความมืด
กรุงเทพฯ ปีพุทธศักราช ๒๕๒๑
เป็นยุคที่เสียงลูกกรุงยังลอยอยู่ตามตรอกซอกซอย แต่กลิ่นเขม่าน้ำมันเริ่มกลบกลิ่นดอกจำปีในสวนบ้านเรือน
เมืองหลวงเริ่มสูงขึ้น มีตึกแถวปูนผุดขึ้นแทนเรือนไม้สัก และเสียงเครื่องพิมพ์ดีดยังดังอยู่ในห้องออฟฟิศของบริษัทประกัน
ที่ผู้คนเรียกกันว่า “เมืองสยามประกันชีวิต จำกัด”
ในคืนหนึ่งของเดือนมิถุนายน ฝนเทลงมาอย่างไม่ปรานีปราศรัย
มีเสียงร้องของหญิงสาวนางหนึ่งดังขึ้นจากริมแม่น้ำเจ้าพระยา —
เสียงดังพอให้คนเดินเรือหันมามอง ก่อนจะพบสิ่งไม่พึงประสงค์ลอยมากับเกลียวคลื่น
ร่างของชายในวัยห้าสิบกว่าๆ ถูกกระแสน้ำพัดมาติดเสาไม้ท่าเรือเก่า เสื้อสูทสีเทาเปียกแนบเนื้อ หน้าซีดเผือดราวกระดาษ
บนข้อมือยังสวมนาฬิกาเรือนทองยี่ห้อ “โอเมก้า” ที่หยุดเวลาไว้ที่ ๑๙.๔๖ นาฬิกา
เขาคือ “นายปรีชา ศรีอัครา”
เจ้าของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ ผู้ถือกรมธรรม์ประกันชีวิตมูลค่ากว่าสิบล้านบาทกับบริษัทเมืองสยามประกันชีวิต
และนั่น — คือจุดเริ่มต้นของคดีที่สั่นสะเทือนทั้งวงการธุรกิจและชีวิตของชายหนุ่มคนหนึ่ง ที่ไม่เคยรู้มาก่อนว่าเลือดในกายเขา...
คือ “เลือดของคนตาย”
ตอนที่ ๑ — เงาในกรมธรรม์
ฝนยังตกอย่างต่อเนื่องราวกับฟ้ารั่วจนถึงเช้าวันถัดมา
ควันบุหรี่ลอยขาวโพลนในห้องสอบสวนสถานีตำรวจพญาไท
บนโต๊ะไม้ ที่มีรอยบุหรี่ไหม้เป็นวง มีแฟ้มหนา ๆ วางอยู่หนึ่งเล่ม —
ชื่อแฟ้มสะกดไว้ด้วยหมึกแดงว่า
“คดีการเสียชีวิตของนายปรีชา ศรีอัครา (ลับ)”
ร้อยตำรวจโทสมพร ศิลากุล
ชายวัยสามสิบปลาย ๆ ผู้มีดวงตาอ่อนโยนแต่แฝงความเฉียบคม กำลังตั้งใจอ่านเอกสารฉบับนั้นอย่างเคร่งเครียด
เสียงฝนกระทบหน้าต่างดังเป็นจังหวะประหลาดราวกับหัวใจของเมืองนี้กำลังเต้นด้วยความเหนื่อยล้า
“พยานเห็นร่างผู้ตายลอยจากฝั่งธนฯ มาถึงท่าน้ำเทเวศร์...”
“ไม่มีร่องรอยการต่อสู้...”
“แต่รายงานชันสูตรเบื้องต้นระบุว่า ‘กระดูกท้ายทอยแตกจากแรงกระแทก’...”
สมพรขมวดคิ้ว เขาจุดบุหรี่ สูดให้นิโคตินกระแทกเข้าไปจนเต็มปอด แล้วค่อยๆ พ่นออกมาช้า ๆ
กลิ่นควันบุหรี่ผสมกับกลิ่นฝน — กลายเป็นกลิ่นที่เขาคุ้นเคยมาตลอดการรับราชการมากกว่าสิบปี
“คนตกน้ำท้ายทอยมันจะแตกได้ไงวะ” เขาพึมพำ
ประตูห้องเปิดออก
จ่าสำราญ เข้ามาพร้อมแก้วกาแฟร้อน
“ผู้กองครับ มีพ่อหนุ่มคนหนึ่งมาขอพบ บอกว่าเกี่ยวข้องเป็นญาติกับผู้ตาย”
สมพรเลิกคิ้ว “ชื่ออะไร?”
“คมกริชครับ — เห็นเขาว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องของนายปรีชา”
ชายหนุ่มคนนั้นเดินเข้ามาในห้องด้วยท่าทีเรียบง่าย
เสื้อเชิ้ตสีขาวซีด กางเกงสแล็กส์ธรรมดา ใบหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ใด
แต่ดวงตาคมกริบ เหมือนจะมองทะลุเข้าไปถึงจิตวิญญาณของคนที่คุยด้วย
“คุณคมกริชสินะ เชิญนั่งครับ” สมพรเชื้อเชิญ
“ครับ”
น้ำเสียงของเขาเรียบ เย็น และมั่นคง
“ผมได้รับจดหมายฉบับหนึ่งเมื่อคืน บอกว่าคุณอยากให้ผมมาช่วยเรื่องของ... พ่อ?”
คำว่า พ่อ ทำให้ห้องเงียบลงชั่วอึดใจ
สมพรเงยหน้ามองเขา “คุณหมายถึงนายปรีชา?”
คมกริชพยักหน้าช้าๆ สายตามองจ้องมาที่สมพร
“ผมไม่ได้รู้จักเขาดีสักเท่าไหร่ แต่ในจดหมายที่แนบมากับสำเนากรมธรรม์ — มีชื่อผมอยู่ในนั้น ในฐานะผู้รับผลประโยชน์ร่วม”
สมพรนิ่งงันไปชั่วครู่ ก่อนจะหยิบแว่นสายตาขึ้นสวม
เขาเปิดเอกสารที่คมกริชยื่นให้ พลางพึมพำกับตนเอง
“ชื่อผู้รับผลประโยชน์... นายคมกริช... ศรีอัครา”
เขาเงยหน้าขึ้น
“แต่ในทะเบียนราษฎร์ คุณใช้นามสกุล ‘รัตนวัฒน์’ ไม่ใช่หรือ?”
“ใช่ครับ — แม่ผมไม่เคยเล่าเรื่องพ่อแท้ ๆ ของผม ให้ผมทราบมาก่อน”
ฝนข้างนอกยังตกหนักขึ้น
เสียงฟ้าผ่าแล่นผ่านเหนือสถานี เสียงเหมือนประทัดที่ถูกโยนเข้าไปในลังไม้
สมพรสูบบุหรี่จนเกือบมอด เขาเขี่ยขี้เถ้าทิ้ง แล้วขยี้บุหรี่ลงในที่เขี่ยบุหรี่ ก่อนพูดช้า ๆ
“ผมไม่รู้นะ ว่าใครส่งจดหมายนั่นให้คุณ แต่คดีนี้มันแปลกมากเลย”
“เอ๊ะ ทำไมละครับ?”
“เพราะกรมธรรม์ของนายปรีชาคนนี้ มีผู้รับผลประโยชน์ถึงสามคน”
สมพรเปิดแฟ้มให้ดู
“เมียหลวง — นางจิตรา, ลูกชายคนโต — นายศักดา, และคุณ”
คมกริชนิ่งไปครู่หนึ่ง
“แต่ผมไม่เคยรู้จักคนพวกนี้เลยนะครับ”
“ถึงเวลาที่คุณต้องรู้จักพวกเขาแล้วละครับ” สมพรตอบ
“เพราะ... คนที่ได้ประโยชน์จากการตายของนายปรีชา ก็มีเพียงพวกคุณที่ความเกี่ยวพันทางสายเลือด”
บ่ายวันนั้น
ฝนเริ่มซาลง เหลือเพียงกลิ่นดินชื้นๆ ที่ส่งกลิ่น คลุ้งไปทั่วตรอกพญาไท
คมกริชเดินออกจากสถานีตำรวจ เขายกคอเสื้อขึ้นเพื่อกันลม
ถนนเปียกวาวราวกระจก แสงสะท้อนจากรถแท็กซี่สีเหลืองอ๋อยกระพริบส่องหน้าชายหนุ่มที่เดินอย่างไร้ทิศทาง
เขาเปิดซองจดหมายขึ้นอีกครั้ง
กระดาษข้างในขาวซีด มีเพียงประโยคของคน คนหนึ่ง เขียนด้วยลายมือหวัดๆ
“ความตายของนายปรีชา... ไม่ใช่อุบัติเหตุ
และคุณ คือ กุญแจของคดีนี้”
ด้านล่างลงชื่อว่า — “ร.”
คมกริชพับกระดาษเก็บใส่เสื้อ
เขาไม่รู้ว่า “ร.” หมายถึงใคร แต่ในใจกลับได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้น
เสียงดังจากสายฝนที่กระซิบข้างๆ หูเขาว่า —
“อย่าไว้ใจใคร... แม้แต่เงาของตัวเอง”