ก่อนอื่นเราแจงก่อนว่าพิมพ์ในโทรศัพท์ การวรรคต่างๆ อาจเพี้ยนบ้าง
ขออภัยล่วงหน้านะคะ
เราคิดแล้วคิดอีกว่าจะนำเรื่องลงพันทิปดีไหม ลงแล้วได้อะไร
จะมีใครเข้าใจเราไหม จะมองเราที่ต่อว่าพ่อตัวเองยังไง
แต่พอมันสุดทางที่เราเกินจะระบายให้ใครฟัง เราไม่อยากเอาปัญหาเราไปใส่คนในครอบครัวคนอื่นๆ
เราไม่อยากได้ยินแม่ว่าพ่อ หรือน้องว่าพ่อ เรายอมรับมันไว้คนเดียว แม้เราจะไม่ยินดีก็ตาม
เรื่องในหัวเรามีเรื่องมากมาย
แต่เราก็พยายามเรียบเรียงและถ่ายทอดมันออกมาให้ครบถ้วนและตรงประเด็นที่สุด
แต่จะได้มากน้อยแค่ไหน อย่าคาดหวังอะไรกับคนที่กำลังมีปัญหาต่างๆ รุมเร้าเลยค่ะ
เราเครียด ปวดหัว เสียน้ำตามาเกือบ 3 เดือน เพราะเรื่องๆ นี้
เราโต้แย้งกับพ่อ ทั้งที่เรียกได้ว่าเราเป็นลูกที่ดีของพ่อมาตลอด ตามที่พ่อพูดประจำ...
เราจำรายละเอียดเกี่ยวกับวันเวลาเป๊ะๆ ไม่ได้ จำได้เพียงว่าเรื่องมันเริ่มตอนต้นปี (2559)
เราไปเที่ยวพักผ่อนกับพ่อที่ ตจว. ในระหว่างที่กินข้าว
พ่อบอกเราว่า "เราควรมีรถใช้ เดี๋ยวกลับไปบ้านแล้วคุยเรื่องรถกัน"
ตอนนั้นเราไม่ได้คิดว่าจะมีปัญหาตามมา เพราะเราเข้าใจว่าเราไม่ได้อยากได้
พ่อเป็นคนต้นคิด คงจะจัดแจง เตรียมเงินทอง เอกสารไว้พร้อมแล้ว วันนั้นเราจึงแค่รับฟัง
โดยไม่คิดเลยว่ามันจะลากยาวมาจนถึงทุกวันนี้...
ครั้งที่ 1:
เราทำงานอยู่กรุงเทพ ครอบครัวเราอยู่ตจว.
วันนั้นเราได้รับโทรศัพท์จากพ่อว่า
พ่อ: เดี๋ยวพ่อให้คุยกับเซลล์นะ นี่ลูกสาวผมครับ เขากำลังจะซื้อบ้านด้วย
เรา: หะ ?? เพิ่งตื่นกำลังงงๆ
เซลล์: สวัสดีค่ะน้อง... คุณพ่อดูรถคันนี้ไว้ แต่ท่านอายุมากแล้ว เห็นคุณพ่อว่าเราจะซื้อบ้าน
เรามาเป็นผู้ซื้อรถแทนคุณพ่อได้รึเปล่า
เรา: บอกตัวเองให้ตั้งสติเลยค่ะ... แปบนะคะ.... หนูอายุงานแค่ 4 เดือน กู้ซื้ออะไรไม่ได้ค่ะ
เรื่องบ้านยังไม่ใช่ตอนนี้ค่ะ
เซลล์: งั้นให้เราเป็นผู้ค้ำแล้วกันนะ แอดไลน์เบอร์นี้นะคะ เดี๋ยวเราเตรียมเอกสารคนค้ำไว้นะ
พ่อ: เดี๋ยวพ่อโทรกลับนะ คุยกับเขาก่อน
ตอนนั้นเราเอ๋อดิ คืออะไร ?? สักพักน้องเราไลน์มาว่าอยู่กับพ่อ ยืมรถญาติมาดูรถมือ 2! ที่กรุงเทพกัน
โดยที่ไม่บอก ไม่ปรึกษาเราสักคำ! ไม่บอกว่าจะมา จะเอารถ มีปัญหาถึงโทรหาเรา ตอนนั้นเราโกรธมากกกก
เราเลยโพสลงในเฟสประมาณว่า "ทำไรไม่ปรึกษา พอมีปัญหาถึงนึกถึงกัน" น้องเราก็ไลน์มาว่าเราคิดมาก
ไม่มีไรซะหน่อย คือแบบ น้องเราไม่เข้าใจว่ามันไม่ใช่เรื่องเล็กนะเฮ้ย
ครั้งที่ 2 พบไฟแนนซ์ที่ 1
ระหว่างนั้นเราเตรียมเอกสารทุกอย่าง และเอกสารที่เกี่ยวกับการทำงาน การเงิน ด้วยอายุงาน 4 เดือน มันยากที่บริษัทจะออกให้นะ
บางที่แค่รู้ว่าจะเอาไปกู้หรือค้ำเขาไม่ออกให้แน่ๆ แต่เราขอแต่ใบรับรองการทำงานและเงินเดือน
พ่อเรามากรุงเทพอีกเพื่อเซนต์เอกสารยื่นกู้
ครั้งที่ 3
เราบอกว่าทำไมทำไรไม่ปรึกษาเราบ้าง ลงมาก็ไม่บอกเราก่อน
เกิดเราติดงานมีปัญหาไรมาเราไม่ว่างทำไง
แล้วรถตั้งกี่ปี (6-8 ปี นี้แหละ) ตามหลักความจริงสภาพมันจะดีแค่ไหน
ถึงดียังไงมันก็คือรถมือสอง เราคุยเยอะมาก เสียงเราก็เครือเพราะอั้ดอันมาเยอะ
น้ำตาก็ไหลละ แต่พยายามเกบเสียงให้มากที่สุด
พ่อก็ขอโทษเราเรื่องที่ลงมาไม่บอก
พ่อ: เราไม่เคยสงสัยพ่อนี่ เราไม่ไว้ใจการตัดสินใจของพ่อแล้วหรอ
เรา: หนูไว้ใจพ่อ แต่ไม่ไว้ใจเตน เอารถมาหลอกขายเปล่าก็ไม่รุ
พ่อ: นั่นเท่ากับเราไม่ไว้ใจพ่อ อย่าลืมว่าพ่อจบช่าง เป็นช่างมากี่ปี เราไม่ค้องคิดมาก
ไว้ใจพ่อนะ
ครั้งที่ 4
อยู่ๆ พอโทรมาอีกบอกว่าพรุ่งนี้จะมากรุงเทพจะไปดูรถ
แล้วคิดดูจากรามอินทราไปบางหว้า คนละโยชน์!!!!!
สรุปไปถึงดูรถ พ่อบอกอันนี้คันเก่าที่ดูไว้ ที่เซลล์ส่งภาพให้เรา
คันจริงมองด้วยตาดูดีกว่าในรูปมากกกก แต่...
จัดไฟแนนซ์ไม่ผ่าน มาวันนี้เพื่อดูคันใหม่
คันที่ราคาต่ำกว่าเดิมเหลือ 4 แสน 4
ที่พาเรามาด้วยคงเป็นเพราะวันนั้นเราโวยวายแหละ
แล้วก็คุยกับเตนท์รถเกี่ยวกับยอดดาวน์ ค่าต่างๆ
เงินดาวน์ฝ่ายเราต้องจ่ายคือ
40,000 แต่พ่อมีแค่ 20,000!!!!
เราเอ๋อเลย แล้วรีบจะเอาทำไมมมม
แล้วมาบอกเราว่าเดี๋ยวพ่อเอาเงินเดือนๆนี้มาร่วม
เอาเงินที่เราอีก 7,000 ด้วย ซึ่งเป็นที่เรายืมมาหมุนเดือนที่แล้ว
เราก็โอเคนะ เพราะเราบอกว่าจะยืม เราทำงานแล้วไม่อยากเอาเงินพ่อแม่อีก
ครั้งที่ 5 ไฟแนนซ์ที่ 2
พ่อมากรุงเทพอีก ไปเตนท์รถกันเพื่อพบไฟแนนซ์
ตอนกลับพ่อพูดแต่เรื่องเงินหมื่น เรามาเอะใจตอนที่พ่อกลับถึงบ้านที่ตจวแล้ว
เราเลยโทรถาม สรุปว่าพ่อจะเอา 10,000 เพราะเงินไม่พอ แต่คือเรากันเงินไว้ให้สุดๆ
ได้ 7,000 เราแบบ... พ่อก็พูด ทำเสียงน่าสงสารอ่ะ เราก็รู้สึกแย่ พ่อบอกออกรถควรช่วยกันออก
มันจะได้เป็นศรี แต่น้องเราไม่ช่วย ภาระส่วนตรงนั้นเลยตกมาที่เรารวม 1 หมื่น!!!! พระเจ้า
เราก็วางแผนไว้ว่าเราจะเก็บตังออกโนตบุ๊คใหม่ไงเพราะมันจะพังแล้ว
เราทำงานด้านกราฟิก มันสำคัญ สุขภาพเราก็ไม่ได้ไปตรวจเพราะความดันต่ำ หน้ามืดบ่อย
ฟันดองไว้นานละกะว่ามีตังจะไปผ่าก็เลื่อนอีกละ คือมันรู้สึกแย่เวลาที่เหมือนเรามีเงินเดือนพอกินพอใช้
แต่เรากลับไม่เคยได้ใช้จริงๆ
ตอนนั้นช่วงวันที่ 10 เราก็กันเงินไว้ให้พ่อ แต่จำได้ว่าถ้ากู้ผ่าน พ่อนัดเอารถต้นเดือนหน้า
เราเลยให้แฟนเอาเงินไปหมุนก่อน 7,000 เพราะเขาต้องจ่ายเบี้ยประกันชีวิต สุขภาพ
มันต้องจ่ายเต็ม เงินออกกลางเดือนจะเอามาคืน ซึ่งเราก็โอเค เพราะช่วยเหลือกันตลอดถ้าเงินขาดมือ
แล้วก็คืนกันตรงๆ ไม่เคยเนียนว่าแฟนกันต้องให้กัน แต่ทีนี้แม่แฟนดันไม่สบาย เป็นหนักเกี่ยวกับลำไส้
ใช้เงินเยอะ และย่าเขาเสียอีก เคราะห์ซ้ำกรรมซัด! พอถึงกำหนดที่นัดเราเขาก็ยังไม่ให้เรา
เราก็ไม่ได้ว่าไรเพราะอีกตั้งนานกว่าจะเอาไปรถ ก็แค่ขอ 3,000 มาใช้จ่ายก่อน
แต่เรามาโกรธเขาที่ก่อนจะเอาที่จะคืนเราไปหมุน ทำไมไม่บอกเราก่อนว่าเราจะมีใช้ไหม
เพราะเราต้องเอาไปรวมให้พ่อออกรถ สรุปที่เก็บไว้ 3,000 ต้องไว้ใช้จ่ายตัวเอง
เงินอีก 4,000 ที่แฟนยืมไปไม่รุจะได้เมื่อไหร่
เราได้บัตร fristchoice มาเลยไปกดเงินสดมา 6,000 รวมเงินเราอีก 1,000
โอนให้พ่อไป สรุปเราให้ได้แค่ 7,000 แถมเป็นหนี้บัตร 6,000 !!!!
แล้วพ่อบอกว่าถ้าครั้งนี้ไม่ผ่านก็พอ เหนื่อยแล้ว ลงมาเสียแต่ตัง เราเข้าใจพ่อนะ
เราก็บอกว่าสัญญานะ ถ้าไม่ผ่านก็ช่างมันนะ
ครั้งที่ 6 ไฟแนนซ์ 3
พ่อมากรุงเทพบอกว่า "จะไปเอารถ" เราก็คิดว่าไปรับรถ กู้ผ่านแล้ว
ที่ไหนได้ ไปคุยไฟแนนซ์! แถมให้เราซื้อ!
คือพ่อเราคุยกับเซลล์กันก่อนแล้ว แล้วคิดถึงความรู้สึกเราตอนนั้นแบบ...
ครั้งที่แล้วโวยวาย ร้องไห้ ใส่พ่อครั้งแรกในชีวิต แต่พ่อไม่เข้าใจเราเลยหรอ
ทำไมไม่ปรึกษากันก่อน ไม่ถามเราบ้าง เราให้เกียรติพ่อ ทำไมพ่อไม่ให้เกียรติเรา
เราผิดที่ไม่ปฏิเสธ เพราะใจนึงก็คิดพ่อลงมาหลายรอบแล้ว สงสารเขา เขาก็ทำเพื่อเรานะ
เพราะที่จะเอารถก็เพราะจะให้เราไว้ใช้ แม้เราจะไม่เคยอยากได้ ซึ่งเราบอกหลายรอบแล้ว
อีกอย่างคือเวลาจะไปไหนต้องยืมรถคนอื่น เขาก็ไม่ค่อยอยากให้ รู้สึกเสียหน้าประมาณนั้น
ใจนึงเราก็ว่าพ่อทำไมเป็นคนแบบนี้. จะเอาๆ ให้ได้ ทำไมไม่รอให้พร้อมก่อน นี่เงินก็ไม่พร้อม
ถ้าเอาจริงรออีกหน่อย ออกมือ 1 ก็ได้ สบายใจกว่าด้วย
อีกอย่างเราก็วางแผนจะซื้อคอนโด ใกล้ที่ทำงาน
เรามองว่าอยู่กรุงเทพ มีรถราสาธารณะเราสะดวกอยู่แล้ว
เราจึงอยากได้คอนโด อย่างน้อยที่เราเสียเงินทุกเดือน มันก็เป็นของเรา
ไม่ใช่ไปจ่ายห้องเช่า 4 พัน ทุกเดือนๆ เสียดายเงิน
แต่คือพอเรามาซื้อรถ เราก็เอาคอนโดไม่ได้แน่ๆ
เพราะเงินเดือนเราไม่ได้มากมายขนาดนั้น เงินอีกครึ่งเรามาจากงานนอกเขาไม่นับอยู่แล้ว
เราโคตรรู้สึกแย่ ที่วางแผน หวังไว้ อุตส่าไปดูคอนโดแล้ว
พ่อถึงบ้านพ่อโทรมาบอกเราว่า
เข้าใจพ่อนะลูก คนเราต้องให้โอกาสคนสามครั้ง
เราเลยบอกว่ามันไม่ใช่การให้โอกาสเขา มันเป็นการเฉือนเนื้อตัวเอง!
พ่อก็เริ่มเสียงดุละ เราก็เคๆ ทั้งที่ใจเรสโคตรห่อเหี่ยว
22/4/59
เรากู้ซื้อรถผ่าน...
เราไม่ดีใจสักนิด
มันเท่ากับว่าเรากำลังจะเป็นหนี้เต็มตัวแล้ว ถึงแม้จะยังไม่ได้ทำสัญญาโอนกรรมสิทธิ์
เราต้องอยู่อพาร์ทเมนต่อไป แทนที่เราจะมีห้องเป็นของตัวเอง
ได้รถมามันไม่ใช่แค่ค่าไฟแนน มันมีค่าน้ำมัน บำรุงนั่นนี่
แล้วรถเสียทีมันน้อยหรอ???? เราไม่มีเงินสำรองตรงนั้น!
เราคุยกับพ่อ เราถามในสิ่งที่เรากลัว "เงินพ่อขาดอีกเท่าไหร่"
5 พัน คือจำนวนเงินที่เราต้องเก็บไว้จ่ายค่าดาวน์
เราอึ้ง เจ็บ ชา
แล้วคือเงินเรากับพ่อมีแค่ 3 หมื่นนิดๆ แต่ยอดมัน 4 หมื่น!!!!
นี่เราก็ไม่มีตังใช้. ก็กดบัตรมาอีก 6,000 พอดัให้พ่อ พอดีเงินออก เหอๆ
เราร้องไห้ อึดอัด ระบาย บอกใครไม่ได้
แม่กับพ่อเราหย่ากันนิสัยพ่อเราเป็นไงแม่รู้ดี เราไม่อยากได้ยินแม่ว่าพ่อ
เราไม่อยากได้ยินน้องว่าพ่อ เราไม่อยากได้ยินแฟนว่าพ่อ
แฟนเราเขาเตือนเราแล้ว เรารู้ว่าเขาพูดถูก แต่เราก็ทำไรไม่ได้ ได้แต่บอกว่า
เราไม่ชอบนะ พ่อเรา เราว่าได้คนเดียว ถึงแม้พ่อเราจะเป็นแบบนั้นจริงๆก็ตาม
เราคิดว่าเราเข้าใจพ่อ แต่เราไม่เข้าใจเลย
ทำไมต้องขนาดนี้ ทำไมต้องทำอะไรเกินตัว
เงินทอง เศรษฐกิจแบบนี้ เงินสำรองก็ไม่มี
แล้วพ่อบอกจะให้เราซื้อบ้าน แต่คือผ่อนรถห้าปี พ่อเคยบอกว่าจะผ่อนเอง
เราไม่กล้าถามแล้วว่าพ่อผ่อนไหวไหม เดือนละ 7,000
เพราะแค่ค่าดาวนที่พ่อจะจัดการ. เราหมดไปหมื่นต้นๆแล้ว
แฟนก็บอกว่าให้เราเตรียมเงินสำรองไว้เลยเผื่อวันไหนพ่อไม่มีจ่ายค่าผ่อนรถ
แฟนก็ช่วยเราไม่ได้มาก เพราะแม่เขาป่วยอยู่ บริษัทเขายังมาอัพค่าประกันเป็นหมื่นกว่าอีก
สองสามเดือนนี้เราแทบไม่มีเงินเก็บ กลับบ้านแม่ก็ถามแต่มีเงินเก็บบ้างนะ
เอาเราไปเปรียบกับลูกคนอื่น ว่ากลายๆ ว่าเราไม่ให้เงินแม่
แม่เราถือว่าให้แม่เป็นขวัญถุง อันนี้เราเข้าใจนะ เราทำงานแล้ว
เราก็อยากให้พ่อกับแม่ให้ท่านชื่นใจ เบาแรงลงบ้าง แต่พอมาพูดแบบนี้
เราเสียความรู้สึก พูดกับคนอื่น เราก็เสียหน้า เราเลยต้องบอกวว่าให้พ่อดาวน์รถไป
เพราะเราทนฟังไม่ไหวแล้ว แม่คิดว่าเราเที่ยว กินเหล้า ไม่มีเงินเก็บ อกตัญญูไม่ให้เงินใช้
จากที่เราคิดให้ 2000 เราให้ได้แค่ 500 เพราะถ้าให้ไปเราก็ไม่มีใช้ เราไม่อยากขอยืม
เราบอกตัวเองแล้วว่าทำงานแล้วนะ ปีใหม่นี้ไปจะไม่ขอเงินพ่อแม่นะ
สรุปเรามีหนี้เบัตร 12,000 แล้ว
และต้องให้พ่ออีก 5,000
รวม 17,000
แต่
เงินเดือนเราแค่ 15,000
เงินจ็อบแค่ 10,000 กลางๆ
หักหนี้บัตร หักเงินดาวน์ หักค่าห้อง เราแบบ...
(เราไม่อยากมีเครดิตเสีย เราอายุยังน้อยด้วย เสียมาบรรลัยแน่ๆ)
เราได้งานทึ่ดี เงินเดือนเรามากขึ้น คุณภาพชีวิตน่าจะดีขึ้น
แต่เปล่าเลย ภาระรอบข้างกลับมากกว่าขึ้นแทน
กว่าจะพิมเสร็จเมื่อยมือ ตาล้าสุดๆ
เรายังมองว่าการที่เรามาพิมพ์แบบนี้เป็นการระบายซะมากกว่า (รู้สึกดีขึ้นนิดนึงจริงๆ)
เผลอๆอาจเป็นเป้าให้คนมาด่าว่า แต่เราบินดีรับ เราทำเท่าที่จะทำได้แล้วจริงๆ
หากจะผิดก็เพราะเราจัดการชีวิตไม่ดีเอง
สุดท้ายกระทู้นี้อาจสร้างความรำคาญให้หลายท่าน
ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ค่ะ แต่ถือว่าทำบุญให้เราได้มีที่ระบายเถอะค่ะ
และขอขอบคุณสำหรับคอมเมนท์ทั้งดีร้ายล่วงหน้าด้วยค่ะ
ขอบคุณมากค่ะ
ปล. อยากนี้ไปไกลๆ เพราะเรารู้สึกกดดัน แต่เราทำแบบนั้นไม่ได้หรอก
เราแคร์ครอบครัว ถ้าเราไปพ่อจะโทษตัวเองจะทุกข์แค่ไหน
แม่เราจะรู้สึกยังไง เราทำร้ายพ่อแม่เราไม่ได้
อยากหนีไปไกลๆเพราะคนในครอบครัว
ขออภัยล่วงหน้านะคะ
เราคิดแล้วคิดอีกว่าจะนำเรื่องลงพันทิปดีไหม ลงแล้วได้อะไร
จะมีใครเข้าใจเราไหม จะมองเราที่ต่อว่าพ่อตัวเองยังไง
แต่พอมันสุดทางที่เราเกินจะระบายให้ใครฟัง เราไม่อยากเอาปัญหาเราไปใส่คนในครอบครัวคนอื่นๆ
เราไม่อยากได้ยินแม่ว่าพ่อ หรือน้องว่าพ่อ เรายอมรับมันไว้คนเดียว แม้เราจะไม่ยินดีก็ตาม
เรื่องในหัวเรามีเรื่องมากมาย
แต่เราก็พยายามเรียบเรียงและถ่ายทอดมันออกมาให้ครบถ้วนและตรงประเด็นที่สุด
แต่จะได้มากน้อยแค่ไหน อย่าคาดหวังอะไรกับคนที่กำลังมีปัญหาต่างๆ รุมเร้าเลยค่ะ
เราเครียด ปวดหัว เสียน้ำตามาเกือบ 3 เดือน เพราะเรื่องๆ นี้
เราโต้แย้งกับพ่อ ทั้งที่เรียกได้ว่าเราเป็นลูกที่ดีของพ่อมาตลอด ตามที่พ่อพูดประจำ...
เราจำรายละเอียดเกี่ยวกับวันเวลาเป๊ะๆ ไม่ได้ จำได้เพียงว่าเรื่องมันเริ่มตอนต้นปี (2559)
เราไปเที่ยวพักผ่อนกับพ่อที่ ตจว. ในระหว่างที่กินข้าว
พ่อบอกเราว่า "เราควรมีรถใช้ เดี๋ยวกลับไปบ้านแล้วคุยเรื่องรถกัน"
ตอนนั้นเราไม่ได้คิดว่าจะมีปัญหาตามมา เพราะเราเข้าใจว่าเราไม่ได้อยากได้
พ่อเป็นคนต้นคิด คงจะจัดแจง เตรียมเงินทอง เอกสารไว้พร้อมแล้ว วันนั้นเราจึงแค่รับฟัง
โดยไม่คิดเลยว่ามันจะลากยาวมาจนถึงทุกวันนี้...
ครั้งที่ 1:
เราทำงานอยู่กรุงเทพ ครอบครัวเราอยู่ตจว.
วันนั้นเราได้รับโทรศัพท์จากพ่อว่า
พ่อ: เดี๋ยวพ่อให้คุยกับเซลล์นะ นี่ลูกสาวผมครับ เขากำลังจะซื้อบ้านด้วย
เรา: หะ ?? เพิ่งตื่นกำลังงงๆ
เซลล์: สวัสดีค่ะน้อง... คุณพ่อดูรถคันนี้ไว้ แต่ท่านอายุมากแล้ว เห็นคุณพ่อว่าเราจะซื้อบ้าน
เรามาเป็นผู้ซื้อรถแทนคุณพ่อได้รึเปล่า
เรา: บอกตัวเองให้ตั้งสติเลยค่ะ... แปบนะคะ.... หนูอายุงานแค่ 4 เดือน กู้ซื้ออะไรไม่ได้ค่ะ
เรื่องบ้านยังไม่ใช่ตอนนี้ค่ะ
เซลล์: งั้นให้เราเป็นผู้ค้ำแล้วกันนะ แอดไลน์เบอร์นี้นะคะ เดี๋ยวเราเตรียมเอกสารคนค้ำไว้นะ
พ่อ: เดี๋ยวพ่อโทรกลับนะ คุยกับเขาก่อน
ตอนนั้นเราเอ๋อดิ คืออะไร ?? สักพักน้องเราไลน์มาว่าอยู่กับพ่อ ยืมรถญาติมาดูรถมือ 2! ที่กรุงเทพกัน
โดยที่ไม่บอก ไม่ปรึกษาเราสักคำ! ไม่บอกว่าจะมา จะเอารถ มีปัญหาถึงโทรหาเรา ตอนนั้นเราโกรธมากกกก
เราเลยโพสลงในเฟสประมาณว่า "ทำไรไม่ปรึกษา พอมีปัญหาถึงนึกถึงกัน" น้องเราก็ไลน์มาว่าเราคิดมาก
ไม่มีไรซะหน่อย คือแบบ น้องเราไม่เข้าใจว่ามันไม่ใช่เรื่องเล็กนะเฮ้ย
ครั้งที่ 2 พบไฟแนนซ์ที่ 1
ระหว่างนั้นเราเตรียมเอกสารทุกอย่าง และเอกสารที่เกี่ยวกับการทำงาน การเงิน ด้วยอายุงาน 4 เดือน มันยากที่บริษัทจะออกให้นะ
บางที่แค่รู้ว่าจะเอาไปกู้หรือค้ำเขาไม่ออกให้แน่ๆ แต่เราขอแต่ใบรับรองการทำงานและเงินเดือน
พ่อเรามากรุงเทพอีกเพื่อเซนต์เอกสารยื่นกู้
ครั้งที่ 3
เราบอกว่าทำไมทำไรไม่ปรึกษาเราบ้าง ลงมาก็ไม่บอกเราก่อน
เกิดเราติดงานมีปัญหาไรมาเราไม่ว่างทำไง
แล้วรถตั้งกี่ปี (6-8 ปี นี้แหละ) ตามหลักความจริงสภาพมันจะดีแค่ไหน
ถึงดียังไงมันก็คือรถมือสอง เราคุยเยอะมาก เสียงเราก็เครือเพราะอั้ดอันมาเยอะ
น้ำตาก็ไหลละ แต่พยายามเกบเสียงให้มากที่สุด
พ่อก็ขอโทษเราเรื่องที่ลงมาไม่บอก
พ่อ: เราไม่เคยสงสัยพ่อนี่ เราไม่ไว้ใจการตัดสินใจของพ่อแล้วหรอ
เรา: หนูไว้ใจพ่อ แต่ไม่ไว้ใจเตน เอารถมาหลอกขายเปล่าก็ไม่รุ
พ่อ: นั่นเท่ากับเราไม่ไว้ใจพ่อ อย่าลืมว่าพ่อจบช่าง เป็นช่างมากี่ปี เราไม่ค้องคิดมาก
ไว้ใจพ่อนะ
ครั้งที่ 4
อยู่ๆ พอโทรมาอีกบอกว่าพรุ่งนี้จะมากรุงเทพจะไปดูรถ
แล้วคิดดูจากรามอินทราไปบางหว้า คนละโยชน์!!!!!
สรุปไปถึงดูรถ พ่อบอกอันนี้คันเก่าที่ดูไว้ ที่เซลล์ส่งภาพให้เรา
คันจริงมองด้วยตาดูดีกว่าในรูปมากกกก แต่...
จัดไฟแนนซ์ไม่ผ่าน มาวันนี้เพื่อดูคันใหม่
คันที่ราคาต่ำกว่าเดิมเหลือ 4 แสน 4
ที่พาเรามาด้วยคงเป็นเพราะวันนั้นเราโวยวายแหละ
แล้วก็คุยกับเตนท์รถเกี่ยวกับยอดดาวน์ ค่าต่างๆ
เงินดาวน์ฝ่ายเราต้องจ่ายคือ
40,000 แต่พ่อมีแค่ 20,000!!!!
เราเอ๋อเลย แล้วรีบจะเอาทำไมมมม
แล้วมาบอกเราว่าเดี๋ยวพ่อเอาเงินเดือนๆนี้มาร่วม
เอาเงินที่เราอีก 7,000 ด้วย ซึ่งเป็นที่เรายืมมาหมุนเดือนที่แล้ว
เราก็โอเคนะ เพราะเราบอกว่าจะยืม เราทำงานแล้วไม่อยากเอาเงินพ่อแม่อีก
ครั้งที่ 5 ไฟแนนซ์ที่ 2
พ่อมากรุงเทพอีก ไปเตนท์รถกันเพื่อพบไฟแนนซ์
ตอนกลับพ่อพูดแต่เรื่องเงินหมื่น เรามาเอะใจตอนที่พ่อกลับถึงบ้านที่ตจวแล้ว
เราเลยโทรถาม สรุปว่าพ่อจะเอา 10,000 เพราะเงินไม่พอ แต่คือเรากันเงินไว้ให้สุดๆ
ได้ 7,000 เราแบบ... พ่อก็พูด ทำเสียงน่าสงสารอ่ะ เราก็รู้สึกแย่ พ่อบอกออกรถควรช่วยกันออก
มันจะได้เป็นศรี แต่น้องเราไม่ช่วย ภาระส่วนตรงนั้นเลยตกมาที่เรารวม 1 หมื่น!!!! พระเจ้า
เราก็วางแผนไว้ว่าเราจะเก็บตังออกโนตบุ๊คใหม่ไงเพราะมันจะพังแล้ว
เราทำงานด้านกราฟิก มันสำคัญ สุขภาพเราก็ไม่ได้ไปตรวจเพราะความดันต่ำ หน้ามืดบ่อย
ฟันดองไว้นานละกะว่ามีตังจะไปผ่าก็เลื่อนอีกละ คือมันรู้สึกแย่เวลาที่เหมือนเรามีเงินเดือนพอกินพอใช้
แต่เรากลับไม่เคยได้ใช้จริงๆ
ตอนนั้นช่วงวันที่ 10 เราก็กันเงินไว้ให้พ่อ แต่จำได้ว่าถ้ากู้ผ่าน พ่อนัดเอารถต้นเดือนหน้า
เราเลยให้แฟนเอาเงินไปหมุนก่อน 7,000 เพราะเขาต้องจ่ายเบี้ยประกันชีวิต สุขภาพ
มันต้องจ่ายเต็ม เงินออกกลางเดือนจะเอามาคืน ซึ่งเราก็โอเค เพราะช่วยเหลือกันตลอดถ้าเงินขาดมือ
แล้วก็คืนกันตรงๆ ไม่เคยเนียนว่าแฟนกันต้องให้กัน แต่ทีนี้แม่แฟนดันไม่สบาย เป็นหนักเกี่ยวกับลำไส้
ใช้เงินเยอะ และย่าเขาเสียอีก เคราะห์ซ้ำกรรมซัด! พอถึงกำหนดที่นัดเราเขาก็ยังไม่ให้เรา
เราก็ไม่ได้ว่าไรเพราะอีกตั้งนานกว่าจะเอาไปรถ ก็แค่ขอ 3,000 มาใช้จ่ายก่อน
แต่เรามาโกรธเขาที่ก่อนจะเอาที่จะคืนเราไปหมุน ทำไมไม่บอกเราก่อนว่าเราจะมีใช้ไหม
เพราะเราต้องเอาไปรวมให้พ่อออกรถ สรุปที่เก็บไว้ 3,000 ต้องไว้ใช้จ่ายตัวเอง
เงินอีก 4,000 ที่แฟนยืมไปไม่รุจะได้เมื่อไหร่
เราได้บัตร fristchoice มาเลยไปกดเงินสดมา 6,000 รวมเงินเราอีก 1,000
โอนให้พ่อไป สรุปเราให้ได้แค่ 7,000 แถมเป็นหนี้บัตร 6,000 !!!!
แล้วพ่อบอกว่าถ้าครั้งนี้ไม่ผ่านก็พอ เหนื่อยแล้ว ลงมาเสียแต่ตัง เราเข้าใจพ่อนะ
เราก็บอกว่าสัญญานะ ถ้าไม่ผ่านก็ช่างมันนะ
ครั้งที่ 6 ไฟแนนซ์ 3
พ่อมากรุงเทพบอกว่า "จะไปเอารถ" เราก็คิดว่าไปรับรถ กู้ผ่านแล้ว
ที่ไหนได้ ไปคุยไฟแนนซ์! แถมให้เราซื้อ!
คือพ่อเราคุยกับเซลล์กันก่อนแล้ว แล้วคิดถึงความรู้สึกเราตอนนั้นแบบ...
ครั้งที่แล้วโวยวาย ร้องไห้ ใส่พ่อครั้งแรกในชีวิต แต่พ่อไม่เข้าใจเราเลยหรอ
ทำไมไม่ปรึกษากันก่อน ไม่ถามเราบ้าง เราให้เกียรติพ่อ ทำไมพ่อไม่ให้เกียรติเรา
เราผิดที่ไม่ปฏิเสธ เพราะใจนึงก็คิดพ่อลงมาหลายรอบแล้ว สงสารเขา เขาก็ทำเพื่อเรานะ
เพราะที่จะเอารถก็เพราะจะให้เราไว้ใช้ แม้เราจะไม่เคยอยากได้ ซึ่งเราบอกหลายรอบแล้ว
อีกอย่างคือเวลาจะไปไหนต้องยืมรถคนอื่น เขาก็ไม่ค่อยอยากให้ รู้สึกเสียหน้าประมาณนั้น
ใจนึงเราก็ว่าพ่อทำไมเป็นคนแบบนี้. จะเอาๆ ให้ได้ ทำไมไม่รอให้พร้อมก่อน นี่เงินก็ไม่พร้อม
ถ้าเอาจริงรออีกหน่อย ออกมือ 1 ก็ได้ สบายใจกว่าด้วย
อีกอย่างเราก็วางแผนจะซื้อคอนโด ใกล้ที่ทำงาน
เรามองว่าอยู่กรุงเทพ มีรถราสาธารณะเราสะดวกอยู่แล้ว
เราจึงอยากได้คอนโด อย่างน้อยที่เราเสียเงินทุกเดือน มันก็เป็นของเรา
ไม่ใช่ไปจ่ายห้องเช่า 4 พัน ทุกเดือนๆ เสียดายเงิน
แต่คือพอเรามาซื้อรถ เราก็เอาคอนโดไม่ได้แน่ๆ
เพราะเงินเดือนเราไม่ได้มากมายขนาดนั้น เงินอีกครึ่งเรามาจากงานนอกเขาไม่นับอยู่แล้ว
เราโคตรรู้สึกแย่ ที่วางแผน หวังไว้ อุตส่าไปดูคอนโดแล้ว
พ่อถึงบ้านพ่อโทรมาบอกเราว่า
เข้าใจพ่อนะลูก คนเราต้องให้โอกาสคนสามครั้ง
เราเลยบอกว่ามันไม่ใช่การให้โอกาสเขา มันเป็นการเฉือนเนื้อตัวเอง!
พ่อก็เริ่มเสียงดุละ เราก็เคๆ ทั้งที่ใจเรสโคตรห่อเหี่ยว
22/4/59
เรากู้ซื้อรถผ่าน...
เราไม่ดีใจสักนิด
มันเท่ากับว่าเรากำลังจะเป็นหนี้เต็มตัวแล้ว ถึงแม้จะยังไม่ได้ทำสัญญาโอนกรรมสิทธิ์
เราต้องอยู่อพาร์ทเมนต่อไป แทนที่เราจะมีห้องเป็นของตัวเอง
ได้รถมามันไม่ใช่แค่ค่าไฟแนน มันมีค่าน้ำมัน บำรุงนั่นนี่
แล้วรถเสียทีมันน้อยหรอ???? เราไม่มีเงินสำรองตรงนั้น!
เราคุยกับพ่อ เราถามในสิ่งที่เรากลัว "เงินพ่อขาดอีกเท่าไหร่"
5 พัน คือจำนวนเงินที่เราต้องเก็บไว้จ่ายค่าดาวน์
เราอึ้ง เจ็บ ชา
แล้วคือเงินเรากับพ่อมีแค่ 3 หมื่นนิดๆ แต่ยอดมัน 4 หมื่น!!!!
นี่เราก็ไม่มีตังใช้. ก็กดบัตรมาอีก 6,000 พอดัให้พ่อ พอดีเงินออก เหอๆ
เราร้องไห้ อึดอัด ระบาย บอกใครไม่ได้
แม่กับพ่อเราหย่ากันนิสัยพ่อเราเป็นไงแม่รู้ดี เราไม่อยากได้ยินแม่ว่าพ่อ
เราไม่อยากได้ยินน้องว่าพ่อ เราไม่อยากได้ยินแฟนว่าพ่อ
แฟนเราเขาเตือนเราแล้ว เรารู้ว่าเขาพูดถูก แต่เราก็ทำไรไม่ได้ ได้แต่บอกว่า
เราไม่ชอบนะ พ่อเรา เราว่าได้คนเดียว ถึงแม้พ่อเราจะเป็นแบบนั้นจริงๆก็ตาม
เราคิดว่าเราเข้าใจพ่อ แต่เราไม่เข้าใจเลย
ทำไมต้องขนาดนี้ ทำไมต้องทำอะไรเกินตัว
เงินทอง เศรษฐกิจแบบนี้ เงินสำรองก็ไม่มี
แล้วพ่อบอกจะให้เราซื้อบ้าน แต่คือผ่อนรถห้าปี พ่อเคยบอกว่าจะผ่อนเอง
เราไม่กล้าถามแล้วว่าพ่อผ่อนไหวไหม เดือนละ 7,000
เพราะแค่ค่าดาวนที่พ่อจะจัดการ. เราหมดไปหมื่นต้นๆแล้ว
แฟนก็บอกว่าให้เราเตรียมเงินสำรองไว้เลยเผื่อวันไหนพ่อไม่มีจ่ายค่าผ่อนรถ
แฟนก็ช่วยเราไม่ได้มาก เพราะแม่เขาป่วยอยู่ บริษัทเขายังมาอัพค่าประกันเป็นหมื่นกว่าอีก
สองสามเดือนนี้เราแทบไม่มีเงินเก็บ กลับบ้านแม่ก็ถามแต่มีเงินเก็บบ้างนะ
เอาเราไปเปรียบกับลูกคนอื่น ว่ากลายๆ ว่าเราไม่ให้เงินแม่
แม่เราถือว่าให้แม่เป็นขวัญถุง อันนี้เราเข้าใจนะ เราทำงานแล้ว
เราก็อยากให้พ่อกับแม่ให้ท่านชื่นใจ เบาแรงลงบ้าง แต่พอมาพูดแบบนี้
เราเสียความรู้สึก พูดกับคนอื่น เราก็เสียหน้า เราเลยต้องบอกวว่าให้พ่อดาวน์รถไป
เพราะเราทนฟังไม่ไหวแล้ว แม่คิดว่าเราเที่ยว กินเหล้า ไม่มีเงินเก็บ อกตัญญูไม่ให้เงินใช้
จากที่เราคิดให้ 2000 เราให้ได้แค่ 500 เพราะถ้าให้ไปเราก็ไม่มีใช้ เราไม่อยากขอยืม
เราบอกตัวเองแล้วว่าทำงานแล้วนะ ปีใหม่นี้ไปจะไม่ขอเงินพ่อแม่นะ
สรุปเรามีหนี้เบัตร 12,000 แล้ว
และต้องให้พ่ออีก 5,000
รวม 17,000
แต่
เงินเดือนเราแค่ 15,000
เงินจ็อบแค่ 10,000 กลางๆ
หักหนี้บัตร หักเงินดาวน์ หักค่าห้อง เราแบบ...
(เราไม่อยากมีเครดิตเสีย เราอายุยังน้อยด้วย เสียมาบรรลัยแน่ๆ)
เราได้งานทึ่ดี เงินเดือนเรามากขึ้น คุณภาพชีวิตน่าจะดีขึ้น
แต่เปล่าเลย ภาระรอบข้างกลับมากกว่าขึ้นแทน
กว่าจะพิมเสร็จเมื่อยมือ ตาล้าสุดๆ
เรายังมองว่าการที่เรามาพิมพ์แบบนี้เป็นการระบายซะมากกว่า (รู้สึกดีขึ้นนิดนึงจริงๆ)
เผลอๆอาจเป็นเป้าให้คนมาด่าว่า แต่เราบินดีรับ เราทำเท่าที่จะทำได้แล้วจริงๆ
หากจะผิดก็เพราะเราจัดการชีวิตไม่ดีเอง
สุดท้ายกระทู้นี้อาจสร้างความรำคาญให้หลายท่าน
ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ค่ะ แต่ถือว่าทำบุญให้เราได้มีที่ระบายเถอะค่ะ
และขอขอบคุณสำหรับคอมเมนท์ทั้งดีร้ายล่วงหน้าด้วยค่ะ
ขอบคุณมากค่ะ
ปล. อยากนี้ไปไกลๆ เพราะเรารู้สึกกดดัน แต่เราทำแบบนั้นไม่ได้หรอก
เราแคร์ครอบครัว ถ้าเราไปพ่อจะโทษตัวเองจะทุกข์แค่ไหน
แม่เราจะรู้สึกยังไง เราทำร้ายพ่อแม่เราไม่ได้