เมื่อวานก่อนๆมีคนเข้ามาถามถึงเรื่องเล่าภาวนา
จริงๆก็... ถ้าจะให้เล่าทุกวันมันก็ได้นะ แต่ก็จะซ้ำๆซากๆ ค่อนข้างน่าเบื่อ
เพราะการพิจารณาทุกอย่างก็มาลงที่ขันธ์ ๕ อริยสัจ ๔
วันนี้ผมมีอาการบาดเจ็บที่เท้าทั้งสองข้าง จริงๆแล้วเป็นมานานแล้ว ค่อนข้างเรื้อรัง
แต่ก็ปล่อยมันไปอย่างนั้นแหละ ไม่คิดจะรักษาจริงจัง
วันนี้ก็ตัดสินใจว่าจะไปหาหมอสักที
เวลามันเจ็บ ถ้าตามพื้นฐาน เราก็มักจะภาวนาว่าเจ็บหนอๆใช่มั้ย ให้มันรู้ว่าเจ็บนะ
ร่างกายมันเจ็บ อันนี้มันเป็นเรื่องของขันธ์ ๕ มันเจ็บมันรู้สึก มีเวทนา
การรู้ว่าเจ็บหนอนี่เป็นตัวสติ ที่ครูบาอาจารย์ท่านเมตตาสอนไว้ จริงๆจะเอาแค่ เออ... มันเจ็บนะ
ก็ได้นะ ผมว่าเรื่องภาษานี่ไม่สำคัญเท่าจิตยอมรับว่ามันเจ็บ แต่ขันธ์ ๕ มันเจ็บนะ
ขันธ์ ๕ คือร่างกายอะไรเนี่ย มันก็เป็นเรื่องธรรมชาติ มีอะไรมากระทบ มันก็หวั่นไหว มันไม่ทรงตัว
สุดท้ายมันก็ตาย ตายแล้วก็จบเรื่องกัน อันนี้เป็นเรื่องธรรมดา
พิจารณาแบบนี้แหละ ที่บอกว่าน่าเบื่อ เพราะอะไรมากระทบไม่ว่าทางไหนก็ต้องพิจารณาแบบนี้
เท้าเจ็บ ไม่นานมันก็หาย พอมีเหตุปัจจัยพร้อม มันก็เจ็บอีก นี่เราบังคับบัญชามันไม่ได้เลยนะ
ถึงเราจะรักษา ก็ต้องรักษาตามเหตุตามผลของมัน เอาแต่ใจตัวเองไม่ได้ กินยาเม็ดเดียวไม่หาย
เรื่องของขันธ์ ๕ เป็นภาระของเราชาตินี้ชาติเดียว ชาติหน้าไม่เอาแล้ว เราไม่นิยมขันธ์ ๕ แล้ว
ก็เดินตามอริยมรรค พิจารณาอริยสัจ ต่อไป
ว่าการเกิดมันเป็นทุกข์ ทุกข์ก็เพราะเรา อยากให้เขารักเรา เขาไม่รักเรา.. ไม่ใช่แล้ว อิอิ
การเกิดมันเป็นทุกข์ เพราะมันเนื่องด้วยขันธ์ ๕ ถ้าจิตเราเกาะขันธ์ ๕ เราก็ทุกข์ อันนี้เป็นสมุทัยใช่มั้ย
ศีล สมาธิ ปัญญาคือแนวทางในการดับทุกข์ ศีลดี ก็เดือดร้อนน้อยลง บรรเทาไปได้มาก ศีลบริสุทธิ์ ไม่ตกนรกซึ่งแย่กว่ามนุษย์มาก
สมาธิดี ถ้าดีจริงๆ เวทนาทางกายนี่ไม่ได้กินเลย เวทนาทางใจก็มีแต่สุข แต่ถ้าติดมันก็ทุกข์อีก อันนี้เป็นกฎธรรมดาซึ่งเรายอมรับมันก็จบเรื่อง
คือยอมรับว่า สมาธิดี จิตก็เป็นสุข สมาธิไม่ดี ล่องลอยไปกับนิวรณ์ จิตก็ทุกข์ เรื่องพวกนี้ก็ต้องใช้ปัญญาพิจารณาควบคู่กันไป ทุกอย่างมีสติคุมเป็นเรื่องธรรมดา
คราวหลังก็จะมาเล่าเรื่องน่าเบื่อให้ฟังอีก แต่ก็คล้ายๆกับว่า copy and paste นะครับ
เล่าเรื่องพิจารณา
จริงๆก็... ถ้าจะให้เล่าทุกวันมันก็ได้นะ แต่ก็จะซ้ำๆซากๆ ค่อนข้างน่าเบื่อ
เพราะการพิจารณาทุกอย่างก็มาลงที่ขันธ์ ๕ อริยสัจ ๔
วันนี้ผมมีอาการบาดเจ็บที่เท้าทั้งสองข้าง จริงๆแล้วเป็นมานานแล้ว ค่อนข้างเรื้อรัง
แต่ก็ปล่อยมันไปอย่างนั้นแหละ ไม่คิดจะรักษาจริงจัง
วันนี้ก็ตัดสินใจว่าจะไปหาหมอสักที
เวลามันเจ็บ ถ้าตามพื้นฐาน เราก็มักจะภาวนาว่าเจ็บหนอๆใช่มั้ย ให้มันรู้ว่าเจ็บนะ
ร่างกายมันเจ็บ อันนี้มันเป็นเรื่องของขันธ์ ๕ มันเจ็บมันรู้สึก มีเวทนา
การรู้ว่าเจ็บหนอนี่เป็นตัวสติ ที่ครูบาอาจารย์ท่านเมตตาสอนไว้ จริงๆจะเอาแค่ เออ... มันเจ็บนะ
ก็ได้นะ ผมว่าเรื่องภาษานี่ไม่สำคัญเท่าจิตยอมรับว่ามันเจ็บ แต่ขันธ์ ๕ มันเจ็บนะ
ขันธ์ ๕ คือร่างกายอะไรเนี่ย มันก็เป็นเรื่องธรรมชาติ มีอะไรมากระทบ มันก็หวั่นไหว มันไม่ทรงตัว
สุดท้ายมันก็ตาย ตายแล้วก็จบเรื่องกัน อันนี้เป็นเรื่องธรรมดา
พิจารณาแบบนี้แหละ ที่บอกว่าน่าเบื่อ เพราะอะไรมากระทบไม่ว่าทางไหนก็ต้องพิจารณาแบบนี้
เท้าเจ็บ ไม่นานมันก็หาย พอมีเหตุปัจจัยพร้อม มันก็เจ็บอีก นี่เราบังคับบัญชามันไม่ได้เลยนะ
ถึงเราจะรักษา ก็ต้องรักษาตามเหตุตามผลของมัน เอาแต่ใจตัวเองไม่ได้ กินยาเม็ดเดียวไม่หาย
เรื่องของขันธ์ ๕ เป็นภาระของเราชาตินี้ชาติเดียว ชาติหน้าไม่เอาแล้ว เราไม่นิยมขันธ์ ๕ แล้ว
ก็เดินตามอริยมรรค พิจารณาอริยสัจ ต่อไป
ว่าการเกิดมันเป็นทุกข์ ทุกข์ก็เพราะเรา อยากให้เขารักเรา เขาไม่รักเรา.. ไม่ใช่แล้ว อิอิ
การเกิดมันเป็นทุกข์ เพราะมันเนื่องด้วยขันธ์ ๕ ถ้าจิตเราเกาะขันธ์ ๕ เราก็ทุกข์ อันนี้เป็นสมุทัยใช่มั้ย
ศีล สมาธิ ปัญญาคือแนวทางในการดับทุกข์ ศีลดี ก็เดือดร้อนน้อยลง บรรเทาไปได้มาก ศีลบริสุทธิ์ ไม่ตกนรกซึ่งแย่กว่ามนุษย์มาก
สมาธิดี ถ้าดีจริงๆ เวทนาทางกายนี่ไม่ได้กินเลย เวทนาทางใจก็มีแต่สุข แต่ถ้าติดมันก็ทุกข์อีก อันนี้เป็นกฎธรรมดาซึ่งเรายอมรับมันก็จบเรื่อง
คือยอมรับว่า สมาธิดี จิตก็เป็นสุข สมาธิไม่ดี ล่องลอยไปกับนิวรณ์ จิตก็ทุกข์ เรื่องพวกนี้ก็ต้องใช้ปัญญาพิจารณาควบคู่กันไป ทุกอย่างมีสติคุมเป็นเรื่องธรรมดา
คราวหลังก็จะมาเล่าเรื่องน่าเบื่อให้ฟังอีก แต่ก็คล้ายๆกับว่า copy and paste นะครับ