คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 10
โดยภาพรวมผมเห็นด้วยครับที่จะโปะ แต่ฝากนิดนึง
ไม่มีดอกเบี้ยเงินกู้อะไรจะถูกไปกว่าดอกเบี้ยกู้บ้านแล้วนะครับ (ยกเว้นพวก กยศ. หรือสวัสดิการพิเศษของบริษัท)
แถมดอกเบี้ยบ้านเอามาลดหย่อนภาษีได้อีกนะ
ตัวอย่างของคุณ ดอกเบี้ยน่าจะราว 4% ต่อปี หักลดภาษีสมมติได้ 20% ก็เหลือแค่ 3.2% เอง
- ถ้ามีหนี้อื่น ไปโปะหนี้อื่นก่อนครับ
- ถ้าโปะแล้วสภาพคล่องหายหมด มีโอกาสต้องก่อหนี้เพิ่มในอนาคต อาจจะพิจารณาเอาเงินไปพักที่อื่นไว้ก่อนก็ได้ เท่าที่ผมรู้ก็มีสหกรณ์ รพ. ตำรวจ ความเสี่ยงต่ำ ดอก 3.5% ต่อปี ถอนได้ทุกวัน
- ถ้ามีศักยภาพนำเงินไปลงทุนได้มากกว่า ก็น่าสนใจครับ ต้นทุนเงินทุนต่ำ
ไม่มีดอกเบี้ยเงินกู้อะไรจะถูกไปกว่าดอกเบี้ยกู้บ้านแล้วนะครับ (ยกเว้นพวก กยศ. หรือสวัสดิการพิเศษของบริษัท)
แถมดอกเบี้ยบ้านเอามาลดหย่อนภาษีได้อีกนะ
ตัวอย่างของคุณ ดอกเบี้ยน่าจะราว 4% ต่อปี หักลดภาษีสมมติได้ 20% ก็เหลือแค่ 3.2% เอง
- ถ้ามีหนี้อื่น ไปโปะหนี้อื่นก่อนครับ
- ถ้าโปะแล้วสภาพคล่องหายหมด มีโอกาสต้องก่อหนี้เพิ่มในอนาคต อาจจะพิจารณาเอาเงินไปพักที่อื่นไว้ก่อนก็ได้ เท่าที่ผมรู้ก็มีสหกรณ์ รพ. ตำรวจ ความเสี่ยงต่ำ ดอก 3.5% ต่อปี ถอนได้ทุกวัน
- ถ้ามีศักยภาพนำเงินไปลงทุนได้มากกว่า ก็น่าสนใจครับ ต้นทุนเงินทุนต่ำ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 8
จขกท.อย่าคิดแค่ดอกเบี้ยครับ ต้องคิดเยอะกว่านั้น
ผมสังเกตคนไทยเราชอบคิดถึงแค่ดอก ไม่คิดปัจจัยอื่นด้วย
เช่น กู้บ้าน ก็เลือกแค่ดอกที่ไหนถูกกว่า ไม่คิดถึงปัจจัยอื่นเลย
เช่น ค่าโสหุ้ยในการกู้ ซึ่งมันก็คือต้นทุนการกู้เช่นกัน
จขกท.ต้องคิดว่า
1. บ้านเป็นหนี้แบบ Effective rate ลดต้นลดดอก
ต้นเงินคงที่หรือลด ย่อมกระทบดอกเบี้ยตลอดไปจนกว่าคุณจะหมดหนี้บ้าน
ดังนั้น ต้นเงินลดลงวันนี้ 1 แสน คุณไม่ได้เกิดประโยชน์แค่ปีนี้ครับ แต่ตลอดไป
ไม่เชื่อให้เข้า excel ดูเลยครับ เทียบตลอดอายุสัญญา ระหว่างต้นคงเดิมกับต้นลดไป 1 แสน
ความต่างของดอกที่ต้องเสียคือเท่าไหร่
2. 1 แสนที่จ่ายต้นเงินไป = เพิ่ม EQUITY-สัดส่วนความเป็นเจ้าของบ้านให้มากขึ้น
ตัว สัดส่วนความเป็นเจ้าของ นี่สำคัญมากๆครับ คนไทยไม่เคยคิดถึงเลย
- สัดส่วนความเป็นเจ้าของของคุณยิ่งมาก เวลาขายบ้านยิ่งได้กำไรส่วนต่างมาก
- หากเกิดติดขัดจะกู้อะไร สามารถใช้ equity ในบ้านกู้ออกมาได้เยอะเท่านั้น
- วิธีวัดความมั่งคั่ง เขาวัดที่ Net Worth หรือ มูลค่าสินทรัพย์สุทธิของคุณ
คือเอาฝั่งทรัพย์สินที่เรามี ลบ ฝั่งหนี้สิน = เหลือยอดเท่าไหร่เท่ากับอัตรา Net Worth ของคุณครับ
ยิ่งมากยิ่งดี ถ้าติดลบนี่แย่แล้ว
ดังนั้นบ้านของคุณยิ่งมีส่วนความเป็นเจ้าของสูง ฝั่งทรัพย์สินจะมาก
หนี้บ้านยิ่งน้อย ฝั่งหนี้สินก็น้อยตาม พอหักกลบลบกัน ความมั่งคั่งของคุณยิ่งเพิ่มทวีครับ
3. เงินต้นลดลงมากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้คุณปลดหนี้บ้านหมดเร็วกว่าสัญญาเท่านั้น
ช่วงอิสรภาพจะมาถึงเร็วขึ้น ไม่ต้องรอเกษียณกว่าจะส่งบ้านหมด
4. การเอาเงินไปลงทุนอย่างอื่น ยิ่งได้ดอกมากกว่าดอกเบี้ยบ้าน แต่ความเสี่ยงขาดทุนย่อมสูง
ลงทุนในบ้าน มีแต่เพิ่มค่า ไม่มีขาดทุน
(บ้านปกติไม่เจอความซวยแบบภัยพิบัติ หรือเวนคืน)
ผมสังเกตคนไทยเราชอบคิดถึงแค่ดอก ไม่คิดปัจจัยอื่นด้วย
เช่น กู้บ้าน ก็เลือกแค่ดอกที่ไหนถูกกว่า ไม่คิดถึงปัจจัยอื่นเลย
เช่น ค่าโสหุ้ยในการกู้ ซึ่งมันก็คือต้นทุนการกู้เช่นกัน
จขกท.ต้องคิดว่า
1. บ้านเป็นหนี้แบบ Effective rate ลดต้นลดดอก
ต้นเงินคงที่หรือลด ย่อมกระทบดอกเบี้ยตลอดไปจนกว่าคุณจะหมดหนี้บ้าน
ดังนั้น ต้นเงินลดลงวันนี้ 1 แสน คุณไม่ได้เกิดประโยชน์แค่ปีนี้ครับ แต่ตลอดไป
ไม่เชื่อให้เข้า excel ดูเลยครับ เทียบตลอดอายุสัญญา ระหว่างต้นคงเดิมกับต้นลดไป 1 แสน
ความต่างของดอกที่ต้องเสียคือเท่าไหร่
2. 1 แสนที่จ่ายต้นเงินไป = เพิ่ม EQUITY-สัดส่วนความเป็นเจ้าของบ้านให้มากขึ้น
ตัว สัดส่วนความเป็นเจ้าของ นี่สำคัญมากๆครับ คนไทยไม่เคยคิดถึงเลย
- สัดส่วนความเป็นเจ้าของของคุณยิ่งมาก เวลาขายบ้านยิ่งได้กำไรส่วนต่างมาก
- หากเกิดติดขัดจะกู้อะไร สามารถใช้ equity ในบ้านกู้ออกมาได้เยอะเท่านั้น
- วิธีวัดความมั่งคั่ง เขาวัดที่ Net Worth หรือ มูลค่าสินทรัพย์สุทธิของคุณ
คือเอาฝั่งทรัพย์สินที่เรามี ลบ ฝั่งหนี้สิน = เหลือยอดเท่าไหร่เท่ากับอัตรา Net Worth ของคุณครับ
ยิ่งมากยิ่งดี ถ้าติดลบนี่แย่แล้ว
ดังนั้นบ้านของคุณยิ่งมีส่วนความเป็นเจ้าของสูง ฝั่งทรัพย์สินจะมาก
หนี้บ้านยิ่งน้อย ฝั่งหนี้สินก็น้อยตาม พอหักกลบลบกัน ความมั่งคั่งของคุณยิ่งเพิ่มทวีครับ
3. เงินต้นลดลงมากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้คุณปลดหนี้บ้านหมดเร็วกว่าสัญญาเท่านั้น
ช่วงอิสรภาพจะมาถึงเร็วขึ้น ไม่ต้องรอเกษียณกว่าจะส่งบ้านหมด
4. การเอาเงินไปลงทุนอย่างอื่น ยิ่งได้ดอกมากกว่าดอกเบี้ยบ้าน แต่ความเสี่ยงขาดทุนย่อมสูง
ลงทุนในบ้าน มีแต่เพิ่มค่า ไม่มีขาดทุน
(บ้านปกติไม่เจอความซวยแบบภัยพิบัติ หรือเวนคืน)
แสดงความคิดเห็น
โปะบ้าน ๑๐๐,๐๐๐ บาท กับลดดอกเบี้ย ๔๐๐๐ บาท คุ้มไหมที่จะโปะ หรือ เก็บเงินไว้ดีๆ ครับ
เดิมดอกเบี้ยของทั้งปี ๖๐ = 130,337.76
กรณีโปะ เพิ่ม ๑๐๐,๐๐๐ บาท ดอกเบี้ยของทั้งปี ๖๐ = 126,329.07
จะเห็นว่าดอกเบี้ย ต่างกัน ๔๐๐๐ บาท กับเงิน แสนบาท ครับ
คุณคิดว่าควรเก็บเป็นเงินสดไว้ หรือโปะ ไปเลยครับ กรณี คุณมีเงินฉุกเฉิน บ้างแล้ว
หรือ ในใจเอาไปต่อเติมครัวกันดีกว่า