คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 1
แบบนี้ควรกลับไปปรึกษาแพทย์อีกครับ
การใช้ยา จะช่วยคลายเครียดและปรับสมดุลทางอารมณ์จนอยู่ในระดับที่สามารถมีสติกลับมา
และใช้ความคิดตรึกตรองได้ก็จริง และรากลึกของปัญหาหรือคือสาเหตุ ก็ต้องอาศัยวิธีคิดและ
การพิจารณาถึงตัวปัญหาได้อย่างชัดเจนแตกฉานและเหมาะสมด้วย คุณหมออาจจะอาศัยการ
ใช้ยาเป็นหลักในการรักษา แต่เรื่องตัวปัญหาก็ต้องอาศัยสังคมรอบตัว ประกอบกับการคิดไตร่
ตรองของเราเอง ซึ่งตรงนี้ก็คงต้องอาศัยคำปรึกษาจากนักจิตวิทยาและผู้เชี่ยวชาญด้านปัญหา
ชีวิตและสังคมมาประกอบกันด้วยนะครับ จึงจะแก้ไขต้นตอของปัญหาลงได้อย่างเด็ดขาด
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เรื่องการรักษาด้วยคุณหมอและผู้ให้คำแนะนำ ก็เป็นเรื่องปัจจัยภายนอกนะครับ ด้านภายในคุณ
ก็ต้องพยายามช่วยรักษาตัวเองอีกแรงด้วย นอกจากการทานยาอย่างเคร่งครัดแล้ว คุณก็ควรจะ
พยายามปรับสมดุลทั้งสภาพอารมณ์ ความคิด และมุมมอง พยายามอย่าอยู่ลำพังคนเดียวโดย
เฉพาะไปอยู่ในที่เคยไปหรืออยู่กับคนรักตามลำพัง หากความคิดเก่าๆมันฟุ้งขึ้นมาก็หาทางระงับ
โดยการไปคุยรวมกลุ่มกับเพื่อนหรือไปเที่ยวด้วยกันบ้าง
ด้านมุมมอง ก็ขอให้คุณเปิดใจกว้างๆแล้วมองไปในอดีตของตัวเองลึกๆ คุณจะเห็นว่าตลอดชีวิต
ที่ผ่านมา คุณก็ผ่านการได้รับและสูญเสียไปมาตลอด เรื่องคนรักนี้ไม่ใช่เรื่องแรกที่คุณพบเจอ มี
เพื่อนสมัยเด็กหลายคนที่คุณได้รู้จัก ต่อมาก็แยกย้ายไปเรียนไปมีเพื่อนจนไม่เจอกัน คุณก็เคยมี
ญาติบางคนที่เคยเห็นเคยใกล้ชิด และต่อมาก็อาจจากไป หรือคุณอาจเคยมีสัตว์เลี้ยงหลายตัวใน
ชีวิตที่ได้มาแล้วก็ทะยอยจากไปตลอดช่วงชีวิตของคุณ เรื่องการได้มาแล้วก็พลัดพรากเป็นของ
คู่กันและอยู่คู่กับคนเราไปตลอดชีวิตจนวันตายนั่นล่ะ เรื่องคนรักคนนี้ก็จะไม่ใช่การได้มาแล้วก็
พลัดพรากเป็นครั้งสุดท้าย วันข้างหน้ายังมีอีกหลายสิ่งที่คุณจะได้มาแล้วก็ต้องเสียมันไป เพียง
แต่ตอนนี้คุณอายุยังน้อย ก็เลยมองการได้หรือเสียเฉพาะในตอนนี้วันนี้เป็นเรื่องใหญ่โตมาก อัน
ที่จริงแล้วถ้าจะยกตัวอย่างให้เห็นภาพได้ คุณก็ลองสังเกตรุ่นพี่ๆที่แต่งงานไปแล้ว หรือพวกดารา
คนดังทั้งไทยและต่างประเทศที่เขาแต่งงานแล้วดูก็ได้ เกือบจะทุกคู่ทุกคนที่ไม่ได้แต่งงานลงเอย
กับคนรักคนแรกหรือแฟนสมัยเรียน ก็ใช้ชีวิตกันไปเจอคนนั้นลองคบคนนี้กันไปเรื่อยจนกว่าจะพบ
กับคนที่อยู่กันได้ทั้งนั้น เพียงแต่เรื่องรักตอนอายุน้อยมันเป็นเชิงอุดมคติที่ทุกคนฝันหา แต่ก็มัก
จะไม่มีใครประสบความสำเร็จกันนัก ถ้าคนคิดสั้นก็จบแค่นี้ ไม่ได้ลุ้นอะไรต่อ แต่หากเข้มแข็งจน
ผ่านช่วงนี้ไปได้ ก็จะเติบโตทางจิตใจและความคิดรวมถึงชีวิตไปอีกขั้นหนึ่งจนมองเห็นความเป็น
จริงครับ
การใช้ยา จะช่วยคลายเครียดและปรับสมดุลทางอารมณ์จนอยู่ในระดับที่สามารถมีสติกลับมา
และใช้ความคิดตรึกตรองได้ก็จริง และรากลึกของปัญหาหรือคือสาเหตุ ก็ต้องอาศัยวิธีคิดและ
การพิจารณาถึงตัวปัญหาได้อย่างชัดเจนแตกฉานและเหมาะสมด้วย คุณหมออาจจะอาศัยการ
ใช้ยาเป็นหลักในการรักษา แต่เรื่องตัวปัญหาก็ต้องอาศัยสังคมรอบตัว ประกอบกับการคิดไตร่
ตรองของเราเอง ซึ่งตรงนี้ก็คงต้องอาศัยคำปรึกษาจากนักจิตวิทยาและผู้เชี่ยวชาญด้านปัญหา
ชีวิตและสังคมมาประกอบกันด้วยนะครับ จึงจะแก้ไขต้นตอของปัญหาลงได้อย่างเด็ดขาด
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เรื่องการรักษาด้วยคุณหมอและผู้ให้คำแนะนำ ก็เป็นเรื่องปัจจัยภายนอกนะครับ ด้านภายในคุณ
ก็ต้องพยายามช่วยรักษาตัวเองอีกแรงด้วย นอกจากการทานยาอย่างเคร่งครัดแล้ว คุณก็ควรจะ
พยายามปรับสมดุลทั้งสภาพอารมณ์ ความคิด และมุมมอง พยายามอย่าอยู่ลำพังคนเดียวโดย
เฉพาะไปอยู่ในที่เคยไปหรืออยู่กับคนรักตามลำพัง หากความคิดเก่าๆมันฟุ้งขึ้นมาก็หาทางระงับ
โดยการไปคุยรวมกลุ่มกับเพื่อนหรือไปเที่ยวด้วยกันบ้าง
ด้านมุมมอง ก็ขอให้คุณเปิดใจกว้างๆแล้วมองไปในอดีตของตัวเองลึกๆ คุณจะเห็นว่าตลอดชีวิต
ที่ผ่านมา คุณก็ผ่านการได้รับและสูญเสียไปมาตลอด เรื่องคนรักนี้ไม่ใช่เรื่องแรกที่คุณพบเจอ มี
เพื่อนสมัยเด็กหลายคนที่คุณได้รู้จัก ต่อมาก็แยกย้ายไปเรียนไปมีเพื่อนจนไม่เจอกัน คุณก็เคยมี
ญาติบางคนที่เคยเห็นเคยใกล้ชิด และต่อมาก็อาจจากไป หรือคุณอาจเคยมีสัตว์เลี้ยงหลายตัวใน
ชีวิตที่ได้มาแล้วก็ทะยอยจากไปตลอดช่วงชีวิตของคุณ เรื่องการได้มาแล้วก็พลัดพรากเป็นของ
คู่กันและอยู่คู่กับคนเราไปตลอดชีวิตจนวันตายนั่นล่ะ เรื่องคนรักคนนี้ก็จะไม่ใช่การได้มาแล้วก็
พลัดพรากเป็นครั้งสุดท้าย วันข้างหน้ายังมีอีกหลายสิ่งที่คุณจะได้มาแล้วก็ต้องเสียมันไป เพียง
แต่ตอนนี้คุณอายุยังน้อย ก็เลยมองการได้หรือเสียเฉพาะในตอนนี้วันนี้เป็นเรื่องใหญ่โตมาก อัน
ที่จริงแล้วถ้าจะยกตัวอย่างให้เห็นภาพได้ คุณก็ลองสังเกตรุ่นพี่ๆที่แต่งงานไปแล้ว หรือพวกดารา
คนดังทั้งไทยและต่างประเทศที่เขาแต่งงานแล้วดูก็ได้ เกือบจะทุกคู่ทุกคนที่ไม่ได้แต่งงานลงเอย
กับคนรักคนแรกหรือแฟนสมัยเรียน ก็ใช้ชีวิตกันไปเจอคนนั้นลองคบคนนี้กันไปเรื่อยจนกว่าจะพบ
กับคนที่อยู่กันได้ทั้งนั้น เพียงแต่เรื่องรักตอนอายุน้อยมันเป็นเชิงอุดมคติที่ทุกคนฝันหา แต่ก็มัก
จะไม่มีใครประสบความสำเร็จกันนัก ถ้าคนคิดสั้นก็จบแค่นี้ ไม่ได้ลุ้นอะไรต่อ แต่หากเข้มแข็งจน
ผ่านช่วงนี้ไปได้ ก็จะเติบโตทางจิตใจและความคิดรวมถึงชีวิตไปอีกขั้นหนึ่งจนมองเห็นความเป็น
จริงครับ
▼ กำลังโหลดข้อมูล... ▼
แสดงความคิดเห็น
คุณสามารถแสดงความคิดเห็นกับกระทู้นี้ได้ด้วยการเข้าสู่ระบบ
ควรจะไปหาจิตเเพทย์ต่อหรือไม่คะ จากอาการต่อไปนี้
ไม่อยากรับรู้อะไร เลยกินยาแก้เเพ้ไปประมาณ 10 เม็ด หายซ่าคะ มันหลับไปเเค่เเปปเดียวเเต่หลังจากนั้นคือ รู้สึกตัวเเต่ยกมือไม่ขึ้น หิวน้ำมากๆเเต่ลุกเดินไม่ได้ <<<< นั้นคงเป็นการตัดสินใจที่โง่ที่สุดเเล้ว * ปัญหาส่วนมาก มาจากที่ทะเลาะกับเเฟนคะ คบกันมาได้สามปี ทะเลาะกันบ่อย ด้วยช่วงวัยที่ต่างกัน วัยเรียนกับวัยทำงาน ค่อนข้างทุลักทุเลเเละลำบากมากคะ เลิกกันมากกว่า 10 ครั้ง เเต่ก็ยังไม่ขาดกันสักที
อาการต่างๆมันเริ่มกระทบกับการเรียนคะ ปวดหัวจนไม่มีอารมณ์จะทำอะไร เสียสมาธิมาก เลยไปหาจิตเเพทย์ ใกล้ๆ มหาวิทยาลัย กรอกประวัติเเล้วคุยกับหมอ หมอก็ส่งไปที่นักจิตวิทยาคลินิกเพื่อพูดคุย ถึงปัญหาเเละทางออก
จากที่ได้คุยทำให้เรารู้สึกดีขึ้นกับตัวเองมากๆ หมอจ่ายยา amitriptyline 10 mg แค่ สิบเม็ด ให้กินเฉพาะตอนที่นอนไม่หลับ หลังจากนั้นอีกหนึ่งสัปดาห์หมอก็นัดให้มาอีก ...ถึงวันนัด ช่วงที่หมอนัด ทุกๆอย่างมันก็ดีขึ้น หมอคะหนูโอเค ยังมีบ้างบางครั้งที่รู้สึกเศร้าไปเเต่ก็ดึงกลับขึ้นมาได้ ไม่ได้หนักเหมือนเเต่ก่อน งั้นหมอไม่นัดนะ เเต่ถ้ามีปัญหาก็ให้มาอีก หมอก็ส่งไปคุยกับนักจิตวิทยาคลินิกอีกครั้ง(ไม่เเน่ใจว่าเรียกถูกไหม) ก็บอกไปว่า โอเคคะ หนูโอเค ทุกอย่างดีขึ้น....
เเต่หลังจากนั้นไม่นาน ก็กลับมารู้สึกเเย่อีก มันเศร้าแบบ ดึงไม่ขึ้น กลับมาจากเรียน ถึงหอพักน้ำตามันก็ไหลมาดื้อๆ แบบที่ควบคุมยากมาก
สับสนกับอารมณ์ตัวเองมาก ค่อนข้างน่ากลัว อยู่กับเพื่อน เฮฮา ปกติดีค่ะ พูดมาก สนุกสนาน เเต่พอกลับมาอยู่คนเดียวมันรู้สึกเเย่ยังไงไม่รู้ ปัญหาส่วนมาก ก็เหมือนเดิมคะ เเต่ครั้งนี้ไม่คิดสั้นๆอีกเเน่นอน เรารู้ตัวหมดทุกอย่างว่าอะไรถูกอะไรผิด อะไรดีไม่ดี เเต่อารมณ์ที่ควบคุมยากเเบบนี้ สมควรที่จะต้องไปหาจิตเเพทย์อีกครั้งไหมคะ ...