Ep.1 แรกเริ่ม
มนุษย์เป็นสัตว์สังคม จำเป็นจะต้องอยู่เป็นกลุ่ม กลุ่มที่ว่าอาจจะหมายถึงครอบครัว เพื่อนที่ทำงาน ต่างๆ แล้วการที่แต่ละคนจะมาร่วมอยู่กันเป็นครอบครัวนั้น ดิฉันเชื่อว่าเป็นพรหมลิขิต ชะตาชีวิต ของบุคคลนั้นๆค่ะ
ดิฉันเป็นคนหนึ่งที่มีพรหมลิขิตแบบรักออนไลน์ ค่ะ วันนี้เปิดเช็คอีเมลล์แล้วนึกครึ้มกดแบ็คไปหน้าสุดท้าย เจอเมลล์หลายฉบับสมัยที่คุยกับผู้ชายใหม่ๆ นี่เป็นเหตุผลที่อยากเล่าเรื่องราวความประทับใจให้ฟัง แต่ก็เล่าแบบกล้าๆกลัวๆผู้ชายจะมาอ่านเจอ กลัวโดนกระทืบ ฮ่าๆๆ
...ดิฉันเป็นเด็กต่างจังหวัด เรียนโรงเรียนประจำตั้งแต่ ม.1-6 พอจบมัธยมปลายแล้วมีโอกาสสอบเอนทรานเข้ามหาวิทยาลัยจังหวัดทางภาคเหนือได้ (พอจะเดาอายุได้อยู่ใช่มั้ยคะ ฮ่าๆๆ) ใช้ชีวิตนักศึกษาตามปกติ เรียนเสร็จ นัดเพื่อนไปใช้อินเตอร์เนทที่ห้องคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัย (นักศึกษาปี1 ทุกคน ถูกบังคับให้อยู่หอใน อะฮ้า!! รู้แล้วใช่มั้ยว่ามหาวิทยาลัยอะไร) สมัยนั้นฮิตมากๆเลย โปรแกรมแชท MSN จำได้ว่าเปิดเครื่องปุ๊ป จะต้องเปิดใช้งานโปรแกรมนี้เป็นลำดับแรกเลยทีเดียว ( แหมๆ มันต้องอุ่นเครื่องกันซะหน่อยย อารมณ์ประมาณเฟสบุ๊คในสมัยนี้นะคะ) ก็จะมีเอาอีเมลล์ไปโพสบนเวปไซต์เพื่อหาเพื่อน หาแฟน จิปาถะจะหา มีทั้งที่เราไปแอดเขาและเขามาแอดเรา มีทั้งคุยดี คุยไม่ดี เรื่องเซ็กซ์ต่างๆ ดิฉันก็เลือกคุยกับคนที่คุยปกติๆ ไม่ค่อยชอบโลดโผนสักเท่าไหร่ ฮ่า
...หนึ่งในที่คุยๆ มีที่ดิฉันรู้สึกถูกชะตา จะบอกว่าชอบก็ยังไม่ถึงขั้นนั้น (มั้งคะ) ด้วยความที่ไม่เคยมีแฟนมาก่อน ค่อนข้างตั้งใจเรียน เพราะมีเป้าหมายในชีวิต แต่ก็มีแอบชอบคนนั้นคนนี้บ้างประปราย แต่ก็ไม่ได้รักตอบหรอกค่ะ เพราะรูปร่างหน้าตาไม่เด่นไปในทั้งน่ารักหรือสวย เฉยๆอ่ะ (ผู้ชายบอก เกิดมาไม่พิการก็บุญของคุณแล้ว ดิฉันก็ได้แต่ เหวอออย่างแรง จะชมกันสักหน่อยก็ไม่ได้ 555) กับผู้ชายคนนี้ส่วนใหญ่จะชวนคุยเรื่องเรียนแล้วก็ถามเรื่องชีวิตประจำวัน เล่าเรื่องต่างๆซะมากกว่า จากที่คุยเฉพาะในโปรแกรมแชท จากวันเป็นเดือน เริ่มลามมาส่งเมลล์หากัน มีบอกคิดถงคิดถึงด้วย เวลาหมุนผ่านไปสักพักเราก็เริ่มโทรคุยกัน โดยที่ผู้ชายให้เบอร์บ้านมา แล้วจะนัดแนะเวลากันว่า ให้โทรมาเวลานี้นะ ไอ่เราก็โอเคไม่เป็นไร โนพรอมแพรม ก็คุยๆกันไปเรื่อยๆ บ่อยครั้งขึ้นเริ่มจะมีสายซ้อนทางฝั่งของผู้ชายแทรกมาให้ได้ยินบ้างว่า สายไหม้ๆๆๆ ด้วยเหตุนี้ผู้ชายเลยตัดสินใจซิ้อโทรศัพท์ PCT เพื่อจะได้คุยกันได้สะดวกขึ้น พอมีโทรศัพท์ส่วนตัว ความใกล้ชิดยิ่งมีมากขึ้นตั้งแต่ตื่นนอนยันเข้านอน จะไปไหน ทำอะไร บอกหมด (แต่เรายังไม่ตกลงเรื่องสถานะกันนะคะ)
Ep.2 พัฒนา
...จนมีอยู่วันนึง ผู้ชายไปเรียนแล้วเพื่อนๆ ในกลุ่มถาม
เพื่อนในกลุ่ม: ไอ้...เมิงคุยโทรศัพท์กับใครนักหนาวะ กรุเห็นเมิงติดโทรศัพท์มากกว่าติดเพื่อนแล้วนะเว้ย
ผู้ชาย: ทำหน้ามึนๆ (ไม่มีคำตอบให้เพื่อน)
หลังจากนั้นผู้ชายก็เอาคำถามนั้นมาถามกับดิฉัน ด้วยใจที่อยากเป็นแฟนเค้าอยู่แล้ว เลยพูดติดตลกขำๆไปว่า
อิฉัน:
ก็บอกเพื่อนไปสิ ว่าคุยกะแฟน (เท่านั้นแหละค่ะคุณข๋า)
ผู้ชายตอบมาว่า :
งั้นก็ตกลงตามนี้นะ
ได้ฟังคำตอบเท่านั้นแหละค่ะ ม้วนอยู่ในผ้าห่ม ดิ้นมาดิ้นไป จนรูมเมทที่นอนเตียงเดียวกันชั้นบน มันบ่นว่า แกจะดิ้นอะไรนักหนา ห๊ะ แหม๋มม (คนมันดีใจนี่หว่า) วันเวลาผ่านไป เราเริ่มรู้สึกผูกพันกันขึ้นมาก จนผุ้ชายเอ่ยปากว่าอยากเจอตัวจริงจัง โดยที่ผู้ชายจะมาหาที่จังหวัดทางภาคเหนือ ในช่วงปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง เราก็ตอบตกลงโดยมีเงื่อนไขกันหลายๆอย่าง
Ep.3 การเดินทางที่แสนพิเศษ
...วันเดินทางเราคุยโทรศัพท์กันจนสัญญาณ PCT ตัดไป พอถึงจุดพักรถที่ จ.พิษณุโลก ก็หยอดเหรียญโทรมาบอกว่า
"ถึงจุดพักรถแล้วนะ พรุ่งนี้เช้าอย่าลืมมารับนะ แล้วที่สำคัญ อย่าชิ่งหนีไปไหนล่ะ" (ง่อลล มานั่งอยู่ในใจชั้นป่ะเนี่ย)
ดิฉันนอนไม่ค่อยหลับสักเท่าไหร่ กังวลกลัวจะตื่นสาย ตี5 นาฬิกาปลุกดังรีบลุกไปอาบน้ำ แหมม ไม่อยากจะบอกว่า น้ำนี่โคตรเย็นเลย กว่าจะเอาน้ำลูบแต่ละส่วนของร่างกายได้นะ ใช้เวลานานซะเหลือเกิน แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจอาบจนได้ รีบเร่งขึ้นรถไปสถานี บขส.ในตัวจังหวัด นั่งรอสักพักก็มีเบอร์สาธารณะโทรเข้ามา
ผู้ชายบอกว่า "มาถึงแล้ว เธออยู่ที่ไหน เดินมาหาหน่อยที่..."
ก็เดินไป เจอผู้ชายตัวสูงๆ ผิวขาว หน้าตาตี๋ๆ หัวเกรียน ถือกระเป๋า 1 ใบยืนยิ้มให้มาทางดิฉัน ไอ่เราก็ไม่แน่ใจว่าเค้ายืนยิ้มให้เราชัวร์รึป่าว เลยมองซ้ายมองขวา อ่าวก็ไม่มีใครนี่หว่า เลยยิ้มตอบกลับไป แล้วก็ไปที่พัก หาอะไรกิน ไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ
...พอถึงวันจะกลับ กลัวผู้ชายจะไม่คบต่อ เพราะสารรูปแตกต่างกันราวเสาไฟฟ้ากับหลักกิโลเมตร คือๆนึกภาพออกมั้ยคะ ความสูงต่างกัน 35 เซนติเมตรค่ะ หน้าตาก็ไม่ใช่สเปคเค้า เพราะผู้ชายชอบผู้หญิงหมวย ขาว ความสูงไล่เลี่ยกับเค้า ม่ายยยนะ ไม่ๆ ดิฉันมีแค่ข้อเดียว ความขาว ก็ถามไปตรงๆ
ดิฉัน: จะคบกับเค้าต่อป่าวอ่ะ
ผู้ชาย: ไม่รู้สิ (ยิ้มม)
ได้คำตอบเพียงแค่นั้น ก็ต้องขึ้นรถกลับแยกย้ายกันไป ในใจก็กังวลว่าจะคบเราต่อไปมั้ย (คุยกันเราไม่เคยเห็นหน้าผู้ชายเลย แต่ผู้ชายเห็นหน้าจากดิสเพล MSNของเรา)
Ep.4 มารยาร้อยเล่มเกวียน
....ก็เหมือนเดิมเรายังคุยกันอยู่ทุกวัน ผู้ชายก็เริ่มบอกรัก และก็บ่อยขึ้น บ่อยขึ้น 5555 ช่วงที่เรียนมหาวิทยาลัย ระยะเวลา 1 ปี เราจะนัดเจอกัน 2 ครั้ง ได้อยู่ด้วยกันครั้งละ 2-3 วัน ด้วยที่เราทั้งสองต่างยังเรียนหนังสือกันอยู่ จนเข้าสู่ปีที่ 3 ดิฉันไปฝึกงานที่เมืองอันศิวิไลซ์ เมืองที่ไม่เคยหลับใหล ซึ่งเป็นบ้านเกิดของผู้ชาย ผู้ชายก็พาไปแนะนำกับครอบครัวของเขา
..ม๊าผู้ชายเป็นคนใจดี พูดไทยไม่ค่อยชัด (ประมาณว่า เป๊ปซี่ เป็น เป๊ดซี่ หรือน้ำยาล้างจานซันไลต์ เป็น จังไลต์ เป็นต้น )
..ส่วนป๊าเป็นคนพุดเสียงดังซักหน่อยแต่ก็ไม่มีอะไร แค่เสียงดังเฉยๆ
พี่น้องผู้ชายก็เอ็นดู (มั้ง) แต่มีพี่สาวคนโตของผู้ชายเป็นคนหาหอพักให้อยู่ช่วงที่ฝึกงาน ก็อยู่กับเพื่อนอีกหนึ่งคนที่เรียนสาขาเดียวกัน ฝึกงานที่เดียวกันค่ะ ช่วงนี้เราเจอกันบ่อยมากๆค่ะ หากเทียบกับเวลาที่ผ่านๆมา เสาร์อาทิตย์ผู้ชายก็พาไปกินข้าวที่บ้าน ดูหนัง เรื่อยเปื่อย ตามประสาคนรักกัน โดยหนีบเพื่อนไปด้วย ไม่อยากทิ้งเพื่อนไว้คนเดียว เข้าใจความเหงา ความโดดเดี่ยว ความอิจฉา 555
Ep.5 นี่คือคำสั่ง
...ชีวิตเป็นแบบนี้จนกระทั่งเรียนจบมหาวิทยาลัย เหมือนมีคนเอาไม้หน้าสามมาฟาดลงกลางหัว เมื่อผู้บังเกิดเกล้าทั้งสองมีบัญชาลงมาว่าให้อยู่ช่วยกิจการที่บ้านก่อน งานที่อื่นจะไปทำเป็นลูกน้องเค้าทำไม ที่บ้านตัวเองก็มีกิจการ จะให้คนอื่นจิกหัวใช้ทำไมกัน ..ก็ทำไปแบบเซ็งค์ๆ ผู้ชายก็ให้กำลังใจว่าลองทำไปก่อน แล้วค่อยลองพูดกะพ่อแม่นะ สรุปคือตามนั้น จนเวลาล่วงเลยไปเป็นปี โดยที่เราได้แต่คุยโทรศัพท์กัน (ในเวลาหนึ่งปี ผู้ชายเคยขอเลิกกับเรา เพราะเราแทบจะไม่มีเวลาคุยด้วยเลย กลางคืนเราก็ง่วงหลับ คุยๆอยู่ก็หลับไปแบบไม่รู้ตัว แต่สุดท้ายก็ไปไหนไม่รอด ห่างกันแค่ 1 วัน ก็กลับมาคุยเหมือนเดิม)
Ep.6 ได้รับการอนุม้ติ
...จนวันที่พ่อแม่ดิฉันอนุมัติให้ไปทำงานที่เมืองหลวงของประเทศไทยได้ เนื่องจากทนฟังเหตุผลสารพัดมากมายไม่ไหว อาทิ อยากทำตามความฝัน ต้องการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เอาประสบการณ์ที่มีมาพัฒนาธุรกิจของที่บ้านให้เติบโตต่อไป (อิอิ หลงกลลูกแล้วว)
พอถึงวันเดินทางจริงๆ กลับรู้สึกสงสารพ่อแม่ที่ต้องรับภาระที่ดิฉันเคยทำ รู้ว่ามันหนักและเหนื่อยแค่ไหน แต่ก็ตัดใจมุ่งหน้าเข้าสู่กรุงเทพต่อ โดยที่ปลายทางมีผู้ชายมารับที่หมอชิต (ผู้ชายโทรคุยกับพ่อแม่ดิฉันว่าจะมารับ ไม่ต้องห่วง คือผู้ชายไม่เคยมาที่บ้านของดิฉัน แต่ที่บ้านรู้ว่าลูกมีแฟนชื่อนี้ จบ) พอมาถึงก็พักผ่อน 1 วัน ที่หอพักของผู้ชาย ด้วยการหางาน ฝากประวัติไว้บนเวปไซต์และก็จดรายละเอียดบริษัทที่จะทำการวอคอิน วันรุ่งขึ้นเริ่มตระเวนสมัครงาน ไปสัมภาษณ์หลายบริษัททั้งแถว RCA ผังเมือง เหม่งจ๋าย รัชดา ไปสัมภาษณ์แต่ละที่ก็จะมีบอดี้การ์ดไปด้วย เนื่องจากเป็นห่วง (ใช่ซี๊ ชั้นมันเด็กบ้านนอก ไม่ค่อยได้เยื้องกรายเข้ากรุงสักเท่าไหร่ แต่ก็ดีใจ บอกตรงๆเวลาขึ้นรถเมลล์ ปอ.กลัวเลยป้าย กลัวไปทุกอย่าง พอมีคนที่เรามั่นใจไปด้วย มันก็อุ่นใจ) สรุปก็ได้งานทำที่เหม่งจ๋ายค่ะ แม้เงินเดือนอาจจะน้อยนิด แต่ความรู้ที่เราจะได้นั้นมากโขเลยทีเดียว เพราะต้องทำเกือบทั้งระบบ เมื่อเทียบกับความรู้ที่เราจะได้ ดิฉันยอมรับได้ค่ะ แต่ผู้ชายบ่นเป็นหมีกินผึ้ง หน้าบูดเป็นตูดลิง พูดไม่จบ
ผู้ชาย : เงินเดือนนิดเดียวเลือกตกลงได้ยังไง บลาๆ
ดิฉันจับมือผู้ชายแล้วบอกว่า: ความรู้ ประสบการณ์การทำงานมันได้เยอะ มันพอที่เค้าจะเอาไปสอบเพื่อความก้าวหน้าในสายอาชีพนี้นะ
ผู้ชาย: ... เงียบกริบ
หลังจากนั้นก็ชวนกันไปหาหอพัก
ก็ได้อพาร์ทเม้นต์ใกล้ๆที่ทำงาน เดิน 5 นาทีถึงที่ทำงานค่ะ สะดวกสบาย ไม่ต้องรีบตื่นเช้ามาทำงานให้เหนื่อย
Ep.7 กลับคืนถิ่น
ทำงานได้สัก 1 ปี แม่บอกว่ากิจการโตขึ้นเรื่อยๆนะ แล้วทุกวันนี้ติดต่องานก็มีแต่ภาษาอังกฤษ ส่งเอกสารก็มีแต่ทางเมลล์ ไม่รู้เรื่องกันสักคน สรุปดิฉันได้ลาออกจากงานกลับไปอยู่บ้าน
ระหว่างที่ช่วยงานที่บ้าน ผู้ชายเรียนจบก็จับใบดำใบแดง ปรากฏว่าติดทหาร 1 ปีจ้า หดหู่เลยค่ะ ฟังจากน้ำเสียงผู้ชายเหมือนจะร้องไห้แต่ก็อดทน จนวันที่ต้องเข้ากรมทหารมีม๊าไปส่ง ส่วนดิฉันได้แต่โทรคุยให้กำลังใจ ช่วงฝึกแรกๆผู้ชายไม่สามารถใช้โทรศัพท์ได้ ดิฉันก็เขียนจดหมายเล่าเรื่องราวชีวิตส่งไปที่บ้านผู้ชาย ทุกอาทิตย์ทั้งครอบครัวผู้ชายจะไปเยี่ยมก็จะนำจดหมายไปให้ทุกครั้ง ผู้ชายก็เก็บไว้อ่านทีละฉบับๆ
จนวันนึงโอกาสมาถึง พ่อแม่ชวนไปเยี่ยมอากง อาม่า ที่ ชานเมืองกรุงเทพ โดยนำสุนัข 2 ตัวไปด้วย ปิดร้านไปทั้งครอบครัว ดิฉันเลยถือโอกาสไปเยี่ยมแบบไม่ให้ผู้ชายรู้ตัว
...วันนั้นจำได้ดีเลยค่ะ ลงจากแท็กซี่ รีบจ้ำอ้าวเดินเข้าไปใต้อาคารที่พักของทหาร ยังไม่ได้ให้เจ้าหน้าที่ประกาศเรียกชื่อเลย ผู้ชายก็วิ่งกระหือรือเข้ามาหา ท่าทางดีใจ จับไม้จับมือ ถามรัวๆ มาได้ไง ไม่เห็นบอกในจดหมายเลย น้ำตาคลอเบ้า
จากผู้ชายผิวขาวๆ บัดนี้กลายเป็นใครก็แทบจำไม่ได้ ตัวดำเมี่ยม ผอมมากๆ หัวเกรียน
เราไม่มีของกินอะไรไปฝาก มีแค่ใจอย่างเดียว เนื่องจากรีบมาหลังจากคุณแม่อนุญาต (กลัวแม่เปลี่ยนใจ ฮ่าๆ) ไม่นานครอบครัวผู้ชายก็มา พวกเรานั่งคุยกันจนหมดเวลาเยี่ยม ก็แยกย้ายต่างคนต่างกลับ ดิฉันน้ำตาคลอเบ้า กลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล ซึ่งคงไม่แตกต่างจากผู้ชายสักเท่าไหร่ (ใครที่เคยเป็นทหารเกณฑ์ ก็พอจะทราบใช่มั้ยคะว่าช่วงฝึกแรกๆ มันหนักแค่ไหน ยิ่งถ้าเจอครูฝึกคนไหนบ้าๆหน่อย ก็จะค่อนข้างหนักไปอีก) ผู้ชายของดิฉัน จบการศึกษาปริญญาตรี วิศวกรรมศาสตร์ สาขาหนึ่ง แต่ได้รับผิดชอบหน้าที่ขนขยะ ลอกคลอง (โดยปกติแล้ว หากทหารท่านไหนจบการศึกษาระดับที่สูงหน่อย จะได้ทำงานเกี่ยวกับเอกสาร มีจ่าทหารหลายคนบอก) แต่ผู้ชายของดิฉันก็อดทนมาได้จนพ้นจากการเป็นทหารเกณฑ์
....ผ่านพ้นจากหน้าที่รับใช้ชาติ ก็ต่อด้วยหน้าที่ของผู้ชายที่มีความเชื่อทางศาสนา “บวช” ครั้งนี้ดิฉันไม่ได้มาร่วมงานเลย เนื่องจากตอนนั้นธุรกิจกำลังวุ่นวายอย่างมาก มีปัญหากับโรงงาน โรงงานผลิตและส่งสินค้าไม่ได้ตามกำหนด โดนลูกค้ายกเลิกสินค้าบ้าง สารพัดสารเพถาโถมเข้ามา เลยบอกพระไปว่า “หากปัญหาคลี่คลายลงจะไปถวายเพลนะ ” พระก็สั่งให้ทำอาหารหลายอย่างที่ชอบค่ะ แต่สุดท้ายก็ชวด ฉลู ขาล ไป
Ep.8 เริ่มมีเป้าหมาย
...ผ่านพ้นจากการบวช เริ่มต้นเข้าสู่ทำงานด้านที่เรียนมา เราคุยกันเรื่องอนาคต เริ่มเก็บเงิน เริ่มมีเป้าหมายในชีวิต ว่าจะทำอะไรต่อไป
ผู้ชายจะมีกิจกรรมเกี่ยวกับสุขภาพที่ชอบอย่างนึง ตอนนั้นกำลังจะมีงานแสดงสินค้าที่ต่างประเทศ
ผู้ชายเลยมาเล่าให้ฟังว่าอยากไป อยากลองดู ไปกันมั้ย เผื่อเราสองคนมีอนาคตกับธุรกิจนี้ โดยผู้ชายมีเพื่อนชาวต่างชาติประเทศนั้นอยู่ เรื่องการเดินทาง ที่พัก ไม่ต้องห่วง ดิฉันเลยตกลงโอเค เราเดินทางไปถึงก็มีเพื่อนมารับที่สนามบิน (เพิ่งทราบตอนหลังว่าชายผู้นั้น เป็น
คุณเชื่อเรื่องพรหมลิขิตมั้ย?
มนุษย์เป็นสัตว์สังคม จำเป็นจะต้องอยู่เป็นกลุ่ม กลุ่มที่ว่าอาจจะหมายถึงครอบครัว เพื่อนที่ทำงาน ต่างๆ แล้วการที่แต่ละคนจะมาร่วมอยู่กันเป็นครอบครัวนั้น ดิฉันเชื่อว่าเป็นพรหมลิขิต ชะตาชีวิต ของบุคคลนั้นๆค่ะ
ดิฉันเป็นคนหนึ่งที่มีพรหมลิขิตแบบรักออนไลน์ ค่ะ วันนี้เปิดเช็คอีเมลล์แล้วนึกครึ้มกดแบ็คไปหน้าสุดท้าย เจอเมลล์หลายฉบับสมัยที่คุยกับผู้ชายใหม่ๆ นี่เป็นเหตุผลที่อยากเล่าเรื่องราวความประทับใจให้ฟัง แต่ก็เล่าแบบกล้าๆกลัวๆผู้ชายจะมาอ่านเจอ กลัวโดนกระทืบ ฮ่าๆๆ
...ดิฉันเป็นเด็กต่างจังหวัด เรียนโรงเรียนประจำตั้งแต่ ม.1-6 พอจบมัธยมปลายแล้วมีโอกาสสอบเอนทรานเข้ามหาวิทยาลัยจังหวัดทางภาคเหนือได้ (พอจะเดาอายุได้อยู่ใช่มั้ยคะ ฮ่าๆๆ) ใช้ชีวิตนักศึกษาตามปกติ เรียนเสร็จ นัดเพื่อนไปใช้อินเตอร์เนทที่ห้องคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัย (นักศึกษาปี1 ทุกคน ถูกบังคับให้อยู่หอใน อะฮ้า!! รู้แล้วใช่มั้ยว่ามหาวิทยาลัยอะไร) สมัยนั้นฮิตมากๆเลย โปรแกรมแชท MSN จำได้ว่าเปิดเครื่องปุ๊ป จะต้องเปิดใช้งานโปรแกรมนี้เป็นลำดับแรกเลยทีเดียว ( แหมๆ มันต้องอุ่นเครื่องกันซะหน่อยย อารมณ์ประมาณเฟสบุ๊คในสมัยนี้นะคะ) ก็จะมีเอาอีเมลล์ไปโพสบนเวปไซต์เพื่อหาเพื่อน หาแฟน จิปาถะจะหา มีทั้งที่เราไปแอดเขาและเขามาแอดเรา มีทั้งคุยดี คุยไม่ดี เรื่องเซ็กซ์ต่างๆ ดิฉันก็เลือกคุยกับคนที่คุยปกติๆ ไม่ค่อยชอบโลดโผนสักเท่าไหร่ ฮ่า
...หนึ่งในที่คุยๆ มีที่ดิฉันรู้สึกถูกชะตา จะบอกว่าชอบก็ยังไม่ถึงขั้นนั้น (มั้งคะ) ด้วยความที่ไม่เคยมีแฟนมาก่อน ค่อนข้างตั้งใจเรียน เพราะมีเป้าหมายในชีวิต แต่ก็มีแอบชอบคนนั้นคนนี้บ้างประปราย แต่ก็ไม่ได้รักตอบหรอกค่ะ เพราะรูปร่างหน้าตาไม่เด่นไปในทั้งน่ารักหรือสวย เฉยๆอ่ะ (ผู้ชายบอก เกิดมาไม่พิการก็บุญของคุณแล้ว ดิฉันก็ได้แต่ เหวอออย่างแรง จะชมกันสักหน่อยก็ไม่ได้ 555) กับผู้ชายคนนี้ส่วนใหญ่จะชวนคุยเรื่องเรียนแล้วก็ถามเรื่องชีวิตประจำวัน เล่าเรื่องต่างๆซะมากกว่า จากที่คุยเฉพาะในโปรแกรมแชท จากวันเป็นเดือน เริ่มลามมาส่งเมลล์หากัน มีบอกคิดถงคิดถึงด้วย เวลาหมุนผ่านไปสักพักเราก็เริ่มโทรคุยกัน โดยที่ผู้ชายให้เบอร์บ้านมา แล้วจะนัดแนะเวลากันว่า ให้โทรมาเวลานี้นะ ไอ่เราก็โอเคไม่เป็นไร โนพรอมแพรม ก็คุยๆกันไปเรื่อยๆ บ่อยครั้งขึ้นเริ่มจะมีสายซ้อนทางฝั่งของผู้ชายแทรกมาให้ได้ยินบ้างว่า สายไหม้ๆๆๆ ด้วยเหตุนี้ผู้ชายเลยตัดสินใจซิ้อโทรศัพท์ PCT เพื่อจะได้คุยกันได้สะดวกขึ้น พอมีโทรศัพท์ส่วนตัว ความใกล้ชิดยิ่งมีมากขึ้นตั้งแต่ตื่นนอนยันเข้านอน จะไปไหน ทำอะไร บอกหมด (แต่เรายังไม่ตกลงเรื่องสถานะกันนะคะ)
Ep.2 พัฒนา
...จนมีอยู่วันนึง ผู้ชายไปเรียนแล้วเพื่อนๆ ในกลุ่มถาม
เพื่อนในกลุ่ม: ไอ้...เมิงคุยโทรศัพท์กับใครนักหนาวะ กรุเห็นเมิงติดโทรศัพท์มากกว่าติดเพื่อนแล้วนะเว้ย
ผู้ชาย: ทำหน้ามึนๆ (ไม่มีคำตอบให้เพื่อน)
หลังจากนั้นผู้ชายก็เอาคำถามนั้นมาถามกับดิฉัน ด้วยใจที่อยากเป็นแฟนเค้าอยู่แล้ว เลยพูดติดตลกขำๆไปว่า
อิฉัน: ก็บอกเพื่อนไปสิ ว่าคุยกะแฟน (เท่านั้นแหละค่ะคุณข๋า)
ผู้ชายตอบมาว่า : งั้นก็ตกลงตามนี้นะ
ได้ฟังคำตอบเท่านั้นแหละค่ะ ม้วนอยู่ในผ้าห่ม ดิ้นมาดิ้นไป จนรูมเมทที่นอนเตียงเดียวกันชั้นบน มันบ่นว่า แกจะดิ้นอะไรนักหนา ห๊ะ แหม๋มม (คนมันดีใจนี่หว่า) วันเวลาผ่านไป เราเริ่มรู้สึกผูกพันกันขึ้นมาก จนผุ้ชายเอ่ยปากว่าอยากเจอตัวจริงจัง โดยที่ผู้ชายจะมาหาที่จังหวัดทางภาคเหนือ ในช่วงปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง เราก็ตอบตกลงโดยมีเงื่อนไขกันหลายๆอย่าง
Ep.3 การเดินทางที่แสนพิเศษ
...วันเดินทางเราคุยโทรศัพท์กันจนสัญญาณ PCT ตัดไป พอถึงจุดพักรถที่ จ.พิษณุโลก ก็หยอดเหรียญโทรมาบอกว่า
"ถึงจุดพักรถแล้วนะ พรุ่งนี้เช้าอย่าลืมมารับนะ แล้วที่สำคัญ อย่าชิ่งหนีไปไหนล่ะ" (ง่อลล มานั่งอยู่ในใจชั้นป่ะเนี่ย)
ดิฉันนอนไม่ค่อยหลับสักเท่าไหร่ กังวลกลัวจะตื่นสาย ตี5 นาฬิกาปลุกดังรีบลุกไปอาบน้ำ แหมม ไม่อยากจะบอกว่า น้ำนี่โคตรเย็นเลย กว่าจะเอาน้ำลูบแต่ละส่วนของร่างกายได้นะ ใช้เวลานานซะเหลือเกิน แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจอาบจนได้ รีบเร่งขึ้นรถไปสถานี บขส.ในตัวจังหวัด นั่งรอสักพักก็มีเบอร์สาธารณะโทรเข้ามา
ผู้ชายบอกว่า "มาถึงแล้ว เธออยู่ที่ไหน เดินมาหาหน่อยที่..."
ก็เดินไป เจอผู้ชายตัวสูงๆ ผิวขาว หน้าตาตี๋ๆ หัวเกรียน ถือกระเป๋า 1 ใบยืนยิ้มให้มาทางดิฉัน ไอ่เราก็ไม่แน่ใจว่าเค้ายืนยิ้มให้เราชัวร์รึป่าว เลยมองซ้ายมองขวา อ่าวก็ไม่มีใครนี่หว่า เลยยิ้มตอบกลับไป แล้วก็ไปที่พัก หาอะไรกิน ไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ
...พอถึงวันจะกลับ กลัวผู้ชายจะไม่คบต่อ เพราะสารรูปแตกต่างกันราวเสาไฟฟ้ากับหลักกิโลเมตร คือๆนึกภาพออกมั้ยคะ ความสูงต่างกัน 35 เซนติเมตรค่ะ หน้าตาก็ไม่ใช่สเปคเค้า เพราะผู้ชายชอบผู้หญิงหมวย ขาว ความสูงไล่เลี่ยกับเค้า ม่ายยยนะ ไม่ๆ ดิฉันมีแค่ข้อเดียว ความขาว ก็ถามไปตรงๆ
ดิฉัน: จะคบกับเค้าต่อป่าวอ่ะ
ผู้ชาย: ไม่รู้สิ (ยิ้มม)
ได้คำตอบเพียงแค่นั้น ก็ต้องขึ้นรถกลับแยกย้ายกันไป ในใจก็กังวลว่าจะคบเราต่อไปมั้ย (คุยกันเราไม่เคยเห็นหน้าผู้ชายเลย แต่ผู้ชายเห็นหน้าจากดิสเพล MSNของเรา)
Ep.4 มารยาร้อยเล่มเกวียน
....ก็เหมือนเดิมเรายังคุยกันอยู่ทุกวัน ผู้ชายก็เริ่มบอกรัก และก็บ่อยขึ้น บ่อยขึ้น 5555 ช่วงที่เรียนมหาวิทยาลัย ระยะเวลา 1 ปี เราจะนัดเจอกัน 2 ครั้ง ได้อยู่ด้วยกันครั้งละ 2-3 วัน ด้วยที่เราทั้งสองต่างยังเรียนหนังสือกันอยู่ จนเข้าสู่ปีที่ 3 ดิฉันไปฝึกงานที่เมืองอันศิวิไลซ์ เมืองที่ไม่เคยหลับใหล ซึ่งเป็นบ้านเกิดของผู้ชาย ผู้ชายก็พาไปแนะนำกับครอบครัวของเขา
..ม๊าผู้ชายเป็นคนใจดี พูดไทยไม่ค่อยชัด (ประมาณว่า เป๊ปซี่ เป็น เป๊ดซี่ หรือน้ำยาล้างจานซันไลต์ เป็น จังไลต์ เป็นต้น )
..ส่วนป๊าเป็นคนพุดเสียงดังซักหน่อยแต่ก็ไม่มีอะไร แค่เสียงดังเฉยๆ
พี่น้องผู้ชายก็เอ็นดู (มั้ง) แต่มีพี่สาวคนโตของผู้ชายเป็นคนหาหอพักให้อยู่ช่วงที่ฝึกงาน ก็อยู่กับเพื่อนอีกหนึ่งคนที่เรียนสาขาเดียวกัน ฝึกงานที่เดียวกันค่ะ ช่วงนี้เราเจอกันบ่อยมากๆค่ะ หากเทียบกับเวลาที่ผ่านๆมา เสาร์อาทิตย์ผู้ชายก็พาไปกินข้าวที่บ้าน ดูหนัง เรื่อยเปื่อย ตามประสาคนรักกัน โดยหนีบเพื่อนไปด้วย ไม่อยากทิ้งเพื่อนไว้คนเดียว เข้าใจความเหงา ความโดดเดี่ยว ความอิจฉา 555
Ep.5 นี่คือคำสั่ง
...ชีวิตเป็นแบบนี้จนกระทั่งเรียนจบมหาวิทยาลัย เหมือนมีคนเอาไม้หน้าสามมาฟาดลงกลางหัว เมื่อผู้บังเกิดเกล้าทั้งสองมีบัญชาลงมาว่าให้อยู่ช่วยกิจการที่บ้านก่อน งานที่อื่นจะไปทำเป็นลูกน้องเค้าทำไม ที่บ้านตัวเองก็มีกิจการ จะให้คนอื่นจิกหัวใช้ทำไมกัน ..ก็ทำไปแบบเซ็งค์ๆ ผู้ชายก็ให้กำลังใจว่าลองทำไปก่อน แล้วค่อยลองพูดกะพ่อแม่นะ สรุปคือตามนั้น จนเวลาล่วงเลยไปเป็นปี โดยที่เราได้แต่คุยโทรศัพท์กัน (ในเวลาหนึ่งปี ผู้ชายเคยขอเลิกกับเรา เพราะเราแทบจะไม่มีเวลาคุยด้วยเลย กลางคืนเราก็ง่วงหลับ คุยๆอยู่ก็หลับไปแบบไม่รู้ตัว แต่สุดท้ายก็ไปไหนไม่รอด ห่างกันแค่ 1 วัน ก็กลับมาคุยเหมือนเดิม)
Ep.6 ได้รับการอนุม้ติ
...จนวันที่พ่อแม่ดิฉันอนุมัติให้ไปทำงานที่เมืองหลวงของประเทศไทยได้ เนื่องจากทนฟังเหตุผลสารพัดมากมายไม่ไหว อาทิ อยากทำตามความฝัน ต้องการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เอาประสบการณ์ที่มีมาพัฒนาธุรกิจของที่บ้านให้เติบโตต่อไป (อิอิ หลงกลลูกแล้วว)
พอถึงวันเดินทางจริงๆ กลับรู้สึกสงสารพ่อแม่ที่ต้องรับภาระที่ดิฉันเคยทำ รู้ว่ามันหนักและเหนื่อยแค่ไหน แต่ก็ตัดใจมุ่งหน้าเข้าสู่กรุงเทพต่อ โดยที่ปลายทางมีผู้ชายมารับที่หมอชิต (ผู้ชายโทรคุยกับพ่อแม่ดิฉันว่าจะมารับ ไม่ต้องห่วง คือผู้ชายไม่เคยมาที่บ้านของดิฉัน แต่ที่บ้านรู้ว่าลูกมีแฟนชื่อนี้ จบ) พอมาถึงก็พักผ่อน 1 วัน ที่หอพักของผู้ชาย ด้วยการหางาน ฝากประวัติไว้บนเวปไซต์และก็จดรายละเอียดบริษัทที่จะทำการวอคอิน วันรุ่งขึ้นเริ่มตระเวนสมัครงาน ไปสัมภาษณ์หลายบริษัททั้งแถว RCA ผังเมือง เหม่งจ๋าย รัชดา ไปสัมภาษณ์แต่ละที่ก็จะมีบอดี้การ์ดไปด้วย เนื่องจากเป็นห่วง (ใช่ซี๊ ชั้นมันเด็กบ้านนอก ไม่ค่อยได้เยื้องกรายเข้ากรุงสักเท่าไหร่ แต่ก็ดีใจ บอกตรงๆเวลาขึ้นรถเมลล์ ปอ.กลัวเลยป้าย กลัวไปทุกอย่าง พอมีคนที่เรามั่นใจไปด้วย มันก็อุ่นใจ) สรุปก็ได้งานทำที่เหม่งจ๋ายค่ะ แม้เงินเดือนอาจจะน้อยนิด แต่ความรู้ที่เราจะได้นั้นมากโขเลยทีเดียว เพราะต้องทำเกือบทั้งระบบ เมื่อเทียบกับความรู้ที่เราจะได้ ดิฉันยอมรับได้ค่ะ แต่ผู้ชายบ่นเป็นหมีกินผึ้ง หน้าบูดเป็นตูดลิง พูดไม่จบ
ผู้ชาย : เงินเดือนนิดเดียวเลือกตกลงได้ยังไง บลาๆ
ดิฉันจับมือผู้ชายแล้วบอกว่า: ความรู้ ประสบการณ์การทำงานมันได้เยอะ มันพอที่เค้าจะเอาไปสอบเพื่อความก้าวหน้าในสายอาชีพนี้นะ
ผู้ชาย: ... เงียบกริบ
หลังจากนั้นก็ชวนกันไปหาหอพัก
ก็ได้อพาร์ทเม้นต์ใกล้ๆที่ทำงาน เดิน 5 นาทีถึงที่ทำงานค่ะ สะดวกสบาย ไม่ต้องรีบตื่นเช้ามาทำงานให้เหนื่อย
Ep.7 กลับคืนถิ่น
ทำงานได้สัก 1 ปี แม่บอกว่ากิจการโตขึ้นเรื่อยๆนะ แล้วทุกวันนี้ติดต่องานก็มีแต่ภาษาอังกฤษ ส่งเอกสารก็มีแต่ทางเมลล์ ไม่รู้เรื่องกันสักคน สรุปดิฉันได้ลาออกจากงานกลับไปอยู่บ้าน
ระหว่างที่ช่วยงานที่บ้าน ผู้ชายเรียนจบก็จับใบดำใบแดง ปรากฏว่าติดทหาร 1 ปีจ้า หดหู่เลยค่ะ ฟังจากน้ำเสียงผู้ชายเหมือนจะร้องไห้แต่ก็อดทน จนวันที่ต้องเข้ากรมทหารมีม๊าไปส่ง ส่วนดิฉันได้แต่โทรคุยให้กำลังใจ ช่วงฝึกแรกๆผู้ชายไม่สามารถใช้โทรศัพท์ได้ ดิฉันก็เขียนจดหมายเล่าเรื่องราวชีวิตส่งไปที่บ้านผู้ชาย ทุกอาทิตย์ทั้งครอบครัวผู้ชายจะไปเยี่ยมก็จะนำจดหมายไปให้ทุกครั้ง ผู้ชายก็เก็บไว้อ่านทีละฉบับๆ
จนวันนึงโอกาสมาถึง พ่อแม่ชวนไปเยี่ยมอากง อาม่า ที่ ชานเมืองกรุงเทพ โดยนำสุนัข 2 ตัวไปด้วย ปิดร้านไปทั้งครอบครัว ดิฉันเลยถือโอกาสไปเยี่ยมแบบไม่ให้ผู้ชายรู้ตัว
...วันนั้นจำได้ดีเลยค่ะ ลงจากแท็กซี่ รีบจ้ำอ้าวเดินเข้าไปใต้อาคารที่พักของทหาร ยังไม่ได้ให้เจ้าหน้าที่ประกาศเรียกชื่อเลย ผู้ชายก็วิ่งกระหือรือเข้ามาหา ท่าทางดีใจ จับไม้จับมือ ถามรัวๆ มาได้ไง ไม่เห็นบอกในจดหมายเลย น้ำตาคลอเบ้า
จากผู้ชายผิวขาวๆ บัดนี้กลายเป็นใครก็แทบจำไม่ได้ ตัวดำเมี่ยม ผอมมากๆ หัวเกรียน
เราไม่มีของกินอะไรไปฝาก มีแค่ใจอย่างเดียว เนื่องจากรีบมาหลังจากคุณแม่อนุญาต (กลัวแม่เปลี่ยนใจ ฮ่าๆ) ไม่นานครอบครัวผู้ชายก็มา พวกเรานั่งคุยกันจนหมดเวลาเยี่ยม ก็แยกย้ายต่างคนต่างกลับ ดิฉันน้ำตาคลอเบ้า กลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล ซึ่งคงไม่แตกต่างจากผู้ชายสักเท่าไหร่ (ใครที่เคยเป็นทหารเกณฑ์ ก็พอจะทราบใช่มั้ยคะว่าช่วงฝึกแรกๆ มันหนักแค่ไหน ยิ่งถ้าเจอครูฝึกคนไหนบ้าๆหน่อย ก็จะค่อนข้างหนักไปอีก) ผู้ชายของดิฉัน จบการศึกษาปริญญาตรี วิศวกรรมศาสตร์ สาขาหนึ่ง แต่ได้รับผิดชอบหน้าที่ขนขยะ ลอกคลอง (โดยปกติแล้ว หากทหารท่านไหนจบการศึกษาระดับที่สูงหน่อย จะได้ทำงานเกี่ยวกับเอกสาร มีจ่าทหารหลายคนบอก) แต่ผู้ชายของดิฉันก็อดทนมาได้จนพ้นจากการเป็นทหารเกณฑ์
....ผ่านพ้นจากหน้าที่รับใช้ชาติ ก็ต่อด้วยหน้าที่ของผู้ชายที่มีความเชื่อทางศาสนา “บวช” ครั้งนี้ดิฉันไม่ได้มาร่วมงานเลย เนื่องจากตอนนั้นธุรกิจกำลังวุ่นวายอย่างมาก มีปัญหากับโรงงาน โรงงานผลิตและส่งสินค้าไม่ได้ตามกำหนด โดนลูกค้ายกเลิกสินค้าบ้าง สารพัดสารเพถาโถมเข้ามา เลยบอกพระไปว่า “หากปัญหาคลี่คลายลงจะไปถวายเพลนะ ” พระก็สั่งให้ทำอาหารหลายอย่างที่ชอบค่ะ แต่สุดท้ายก็ชวด ฉลู ขาล ไป
Ep.8 เริ่มมีเป้าหมาย
...ผ่านพ้นจากการบวช เริ่มต้นเข้าสู่ทำงานด้านที่เรียนมา เราคุยกันเรื่องอนาคต เริ่มเก็บเงิน เริ่มมีเป้าหมายในชีวิต ว่าจะทำอะไรต่อไป
ผู้ชายจะมีกิจกรรมเกี่ยวกับสุขภาพที่ชอบอย่างนึง ตอนนั้นกำลังจะมีงานแสดงสินค้าที่ต่างประเทศ
ผู้ชายเลยมาเล่าให้ฟังว่าอยากไป อยากลองดู ไปกันมั้ย เผื่อเราสองคนมีอนาคตกับธุรกิจนี้ โดยผู้ชายมีเพื่อนชาวต่างชาติประเทศนั้นอยู่ เรื่องการเดินทาง ที่พัก ไม่ต้องห่วง ดิฉันเลยตกลงโอเค เราเดินทางไปถึงก็มีเพื่อนมารับที่สนามบิน (เพิ่งทราบตอนหลังว่าชายผู้นั้น เป็น