[แชร์ประสบการณ์] เคล็ดไม่ลับ สมัครทุน Fulbright จากนักเรียนทุนเองค่ะ :D

สวัสดีค่ะ ช่วงนี้เป็นช่วงโค้งสุดท้ายของการสมัครทุน Fulbright จขกทเองมีรุ่นพี่รุ่นน้องเพื่อนๆที่รู้จักหลายคนเข้ามาถาม เลยว่ามาโพสพันทิปไว้เลยดีกว่า จะได้แชร์ประสบการณ์ให้กับคนอื่นๆด้วย ความจริงกะจะโพสไว้ตั้งแต่สอบติดแล้วแต่ผลัดมาเรื่อยๆ นี่ก็...จะสามปีแล้ว5555 ตอนนี้กำลังจะเรียนจบป.โทและกำลังจะเปลี่ยนสถานะจากนักเรียนทุนFulbrightเป็นalumniค่ะ นี่กะจะเขียนหลังรับปริญญาอีกสองเดือนเพราะช่วงนี้งานยุ่งมาก แต่เด๋วไม่ทันdeadlineสมัครทุน เลยมาโพสตอนนี้ดีกว่า (แต่การบ้านไม่เสร็จ55) ตั้งใจว่าจะเขียนให้หมดเปลือกไปเลยค่า

ทั้งนี้กระทู้เป็นประโยชน์กับคนที่สนใจเรียนต่อเมกาหรืออังกฤษด้วยนะคะ เพราะคล้ายๆกันค่ะ

ตอนที่เราสมัครทุนเองก็ได้อ่านกระทู้ของรุ่นพี่คนนึงที่โพสไว้ตั้งแต่ปี53 และรู้สึกขอบคุณรุ่นพี่คนนั้นมากค่ะ จำได้ว่าเจอแค่กระทู้นั้นกระทู้เดียวที่เล่าอย่างละเอียด http://topicstock.pantip.com/klaibann/topicstock/2010/06/H9349935/H9349935.html

ปีนี้ทางทุน Open Competition (ทุนให้เปล่าไม่มีดราม่าหนีทุน) เปิดรับสมัครระดับป.เอกด้วยนะคะ ใครสนใจ จะสมัครทุน ป.โท หรือ ป.เอกที่อเมริกาเชิญเลยตามlinkค่ะ http://www.fulbrightthai.org/NowOpenDetail.asp?id=819&type=application ปีนี้เปลี่ยนเป็น online application เป็นปีแรกค่ะ
ทุนOCให้เรียนสาขาอะไรก็ได้ ตั้งแต่ดนตรี ยันประมง ยกเว้นด้านค่ะที่เกี่ยวกับสาธารณสุขค่ะ

คุณสมบัติผู้สมัครทุนคราวๆ
-สัญชาติไทย ถ้าเป็นdual citizen/ green cardสมัครไม่ได้นะคะ
-จบป.ตรี (หรือจบภายในวันที่สัมภาษณ์) ในประเทศไทย ได้เกรดเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า3.00
-มีคะแนนTOEFL iBTไม่ต่ำกว่า 80 (ไม่หมดอายุ) ใช้IELTSไม่นะคะ
ที่ต้องเน้นสามข้อนี้เพราะพี่ๆที่officeเล่าให้ฟังว่าแทบทุกปีจะมีผู้สมัครทุนที่ไม่ครบตามคุณสมบัติดังกล่าว แต่ของต่อรอง เช่น GPA 2.98บ้าง มีแต่คะแนน IELTS บ้าง เลยอยากให้ผู้สมัครเตรียมตัวให้พร้อมค่ะ เพราะทางทุนค่อนข้างเข้มงวดเรื่องนี้
รายละเอียดการสมัครทุนทั่วไปอ่านเพิ่มเติมได้ ตามlinkข้างต้นนะคะ

ประวัติจขกทคราวๆก่อนสมัครทุน:
เพิ่งจบจากป.ตรีสดๆร้อนๆ เรียนภาคไทย ม.รัฐบาลด้านภาษาและวรรณคดี เกรดเฉลี่ยไม่ได้สูงอะไรอยู่ในระดับเกียรตินิยมอันดับ2ค่ะ คะแนนTOEFLค่อนข้างดีมากๆค่ะ (ไม่ได้แปลว่าคะแนนไม่ดีจะไม่ติดนะคะ ถ้าเกิน80ก็สมัครโลดเลยค่ะ) เป็นคนเรียนกลางๆคะ แต่กิจกรรมแน่น จะไม่ค่อยเน้นกิจกรรมในมหาลัยคะ แต่จะเน้นการค้นหาตัวเอง ไปแลกเปลี่ยนต่างประเทศ ฝึกงานหลายๆที่ตั้งแต่ปี1ปี2 แข่งเขียนแข่งพูดอะไรประมาณนี้คะ จขกทติดมหาลัยในเมกาแล้วหนึ่งเดือนก่อนสมัครทุนคะ (ไม่ต้องติดมหาลัยก่อนสมัครทุนนะคะ) ตอนนั้นสนใจและมุ่งมั่นกับการเรียนต่อป.โทที่เมกาตั้งแต่ช่วงปิดเทอมปี3ค่ะ พอปี4ปุ๊บก็กลายเป็นตัวละครลับของคณะ เพื่อนชอบบ่นว่าไม่ค่อยเจอหน้าเอ็งเบย เพราะต้องแบ่งเวลา แยกร่างเยอะมาก ลงเรียนแค่4วิชา มาเรียนสองวัน ไปintern 2ที่ แบ่งเวลาอ่านGRE ช่วงนั้นจะไปแจมอ่านหนังสือกับแก๊งZombieของคณะซึ่งเป็นแก๊งค์เด็กเทพๆแต่ทั้งแก๊งจะมึนๆตลกๆบ้าๆบอๆ และไม่ค่อยได้นอนกันคะ(มาเรียนจะโดนทักว่าเหมือนซอมบี้เพราะโทรมไม่ได้นอน55) ตอนนั้นเป้าหมายชัดแล้วว่าอยากเรียนอะไรต่อ เลยตั้งเป้าหมายว่าอยากสอบติดมหาลัยหลังเรียนจบป.ตรีให้ได้

Profile จขกทไม่ได้เว่ออะไร แต่ขอให้มีความมุ่งมั่นและตั้งใจนะคะ Fulbrightเป็นทุนเน้นpassion และเป็นตัวของตัวเองค่ะ ขอให้คุณมีเป้าหมายที่ชัดเจนว่าคุณอยากทำอะไร สนใจเรื่องอะไรเป็นพิเศษ จะนำความรู้ที่ได้และประสบการณ์จากการเรียนต่อไปทำประโยชน์อย่างไร เพื่อใคร โอกาสที่คุณจะได้เป็นนักเรียนทุนFulbrightก็ไม่ไกลเกินเอื้อมค่ะ จะว่าไปพี่ๆเพื่อนๆน้องๆนักเรียนทุนที่รู้จักมีความแปลกในตนเองทุกคนเลยค่ะ555 (แปลกแบบuniqueนะ จะมีweirdบ้างก็บางคน55) เป็นมนุษย์activeกันซะส่วนใหญ่ แต่ที่แน่ๆคือทุกคนEQดีมากร่าเริง ปล่อยมุกรั่วตลอด

เอกสารหลักๆในการสมัครทุน!!
1.ใบสมัคร กรอกให้ครบและถูกต้อง
2. Letter of Recommendation 2ฉบับ
3. biographical statement
4. Proposed Program Plan
จะเขียนเจาะลึกให้ในข้อ 2-4นะคะ

Letter of Recommendation (LOR)
จดหมายรับรองนี่ดูเผินๆแล้วคิดว่าไม่สำคัญเท่าไหร่ แต่ขอบอกไว้เลยว่าสำคัญมากๆ เพราะฉะนั้นเลือกคนเขียนให้ดีค่ะ อย่าเลือกแต่เพราะว่าเราได้Aจากวิชาอาจารย์ท่านนี้ สาเหตุเพราะว่ามันดูออกค่ะว่าอันไหนเป็นจดหมายtemplate อันไหนเป็นจดหมายซี้จริง ลองคิดดูอย่างนี้นะคะ indicatorที่จะบ่งชี้backgroundของผู้สมัครมีดังนี้ เกรดกับคะแนนTOEFL->เค้าก็กำหนดขั้นต่ำมาแล้ว ถ้าคุณถึงเกณฑ์ คุณก็ผ่านการกรองมาแล้วระดับนึง proposed program plan และbiographical statement->อันนี้คุณเขียนเองหนิคุณจะเขียนเว่อๆเติมๆเท่าไหร่ให้ตัวเองดูดีก็ได้ แต่LORคือการมองคุณในสายตาบุคคลที่สาม และบุคคลที่สามนี้เอาชื่อเสียงของเค้ามารับประกันความเจ๋งของคุณ สิ่งที่เขียนในLORควรเป็นสิ่งที่supplementใบสมัครของคุณในมุมมองที่elementอื่นๆของapplicationไม่สามารถให้ได้ เพราะฉะนั้นการที่อาจารย์เขียนไปในLOR ว่า นาย ก.นี้เป็นเด็กที่เรียนดีมาก วิชาที่ฉันสอนเค้าได้A ไม่ได้ช่วยให้ใบสมัครคุณน่าสนใจขึ้นเลย เพราะ 1.จะบอกไปทำไมเพราะtranscipt ก็เขียนไว้อยู่แล้ว 2.ได้Aแล้วไง พิเศษตรงไหน ผู้สมัครคนอื่นๆได้4.00ยังมี 3.ที่เขียนเรื่องเกรดไปนี่เพราะไม่มีอะไรจะเขียนแล้วใช่มั้ย ทั้งนี้ไม่ได้เพราะว่าเขียนเกรดในLORไม่ดี แต่เกรดนั้นต้องแสดงให้เห็นถึง personalityของคุณ หรือสะท้อนความพิเศษของคุณ ขอยกตัวอย่างประโยคที่อาจารย์ของจขกทเขียนให้จขกทนะคะ (ต้องขอบคุณอาจารย์ท่านนี้มากๆค่ะ มีบุญคุณกับจขกทมากๆค่ะ)
I have known ... for over two years as her professor of three courses: ..., ..., and ... She did fine in the first course. What impressed me is her dramatic development as she has made very good progress and has emerged one of the top students in the second and third course, earning very high scores in written examinations, term papers, and oral presentations.
จะเห็นได้ว่าการเขียนแบบนี้ไม่ได้แค่บอกว่าเรียนดี แต่ยังแสดงให้ถึงพัฒนาการ dramatic changes ของนักศึกษาค่ะ

สิ่งที่อยากจะเน้นคือ
1. ขอไว้แต่เนินๆเลยค่ะ บางทีอาจารย์ท่านยุ่ง
2. เลือกผู้เขียนLORที่รู้จักคุณดี ดีกว่าคนที่มีตำแหน่งใหญ่ๆ
จขกทมีโอกาสคุยกับ ex-directorของFulbrightที่จขกทรักและเคารพมากค่ะ ตอนนั้นอยู่ในช่วงสมัครทุน ท่านบอกเลยว่า "ไม่ต้องเอาคนตำแหน่งใหญ่ๆมาเขียนเลยนะ ไม่ได้มีความสำคัญอะไร" จขกทเลือกอาจารย์ 2ท่านให้เขียนLORให้ค่ะ อาจารย์ท่านแรกเป็นอาจารย์ฝรั่ง ซี้กันมาก ว่างๆชอบไปนั่งเม้ากับอาจารย์ พอดีจขกทชอบ The Beatlesมากๆ อาจารย์ก็เป็นfan John Lennonตัวยง ไม่ค่อยได้คุยเรื่องเรียนหรอกค่ะ จะคุยเรื่อง เพลง อาหาร ข่าว และอาจารย์ชอบแนะนำหนังสือให้อ่าน ที่ตลกคือจขกทเรียนกะอาจารย์4วิชา ไม่เคยได้Aเลยสักกะวิชา555 แต่ตอนจะขอLORนี่ไม่ต้องคิดเลยค่ะว่าจะขอใคร เพราะอาจารย์ท่านนี้รู้จัก personalityของเราดีมาก ในLORท่านเขียนถึงเหตุการณ์ต่างๆที่เค้าประทับใจในตัวเรา บางเหตุการณ์อ่านแล้วก็คิดว่าโหหหนี่จำได้ไง จขกทกลับไปอ่านLORจากอาจารย์ท่านนี้ใหม่เพื่อเขียนกระทู้นี้น้ำตาก็ไหลค่ะเพราะซึ้งและรู้สึกขอบคุณอาจารย์จริงๆที่เชื่อมั่นในตัวเรา น้ำตาแตกตอนประโยคสุดท้าย อาจารย์ท่านเขียนว่า "Her energy, intelligence, motivation and seiousness of purpose will likewise enable her to excel as a graduate student in her chosen field, and I am certain that when she returns to Thailand, she will continue to bring passion and intelligence to her dream of improving education for Thai students." (จขกทศึกษาต่อด้านการศึกษาและการเรียนรู้ค่ะ)

อาจารย์ท่านที่สองเป็นอาจารย์คนไทยค่ะ เป็นอาจารย์ที่เรียนด้วยทั้งหมด3วิชาค่ะ เราเองจะอาสาช่วยงานอาจารย์บ่อยๆและ เป็นFCอาจารย์มากค่ะ เพราะอาจารย์ทั้งเก่งเรื่องacademic และเรื่องสังคมค่ะ อัธยาศัยดี มีเมตตากับลูกศิษย์ทุกคน นอกจากนี้อาจารย์ยังเป็นนักเรียนทุนFulbrightด้วยค่ะ การที่อาจารย์เป็นalumทุน ช่วยstrengthen applicationจขกทมาก เพราะว่าalumผ่านการเป็นนักเรียนทุนมาแล้วท่านรู้ว่ามันเป็นไง เเละการที่ท่านมาrecommendเราแปลว่าท่านมั่นใจว่าเราจะเป็นแบบท่านในอดีตได้ เพิ่งมารู้ทีหลังตอนติดแล้ว ว่ากรรมการผู้อ่านใบสมัครFulbright (จขกทเองก็ไม่ทราบทั้งหมด) แต่ที่ทราบแน่ๆคือมี Fulbright alumอ่านคะ มีโอกาสได้เจอFulbright alumที่อ่าน applicationของจขกท เค้าบอกว่าจำapplicationเราได้เพราะมีFulbright alumเขียนLORให้555

  Biographical statement (BS) และ Proposed Program Plan (PPP)
ความจริงแล้วถ้าใครเคยเขียน Statement of Purpose (SOP) สมัครมหาวิทยาลัยในอเมริกาหรืออังกฤษ จะเข้าใจ BS และ PPPดีค่ะ เพราะว่ามันคือ SOPแยกร่าง ในตัวSOPนั้นผู้สมัครมหาวิทยาลัยจะเขียนว่าทำไมถึงอยากมาเรียนที่programนี้ของมหาวิทยาลัยนี้ โดยส่วนหนึ่งของSOPก็จะเกริ่นถึง [1] Backgroundของผู้สมัคร pointของส่วนนี้คืออะไรที่หล่อหลอมpassionที่ทำให้เรามาสนใจเรื่องที่เราอยากจะเรียนได้ อยากทำอะไรต่อในอนาคต ทั้งนี้SOPที่อ่านสนุก และน่าสนใจมักจะพูดถึงความเป็นตัวตนของเรา personalityที่โดดเด่น พยายามชี้ให้ผู้อ่านเห็นว่าอะไรที่ทำให้เราต่างจากผู้สมัครคนอื่นๆได้ จุดนี้เราสามารถเอาcreative writingมาปนกับการเล่าเรื่องของเราให้มีอรรถรสมากขึ้นค่ะ มีthemeในการเขียนให้น่าสนใจแทนที่จะเล่าทื้อๆไป เช่นตอนที่จขกทสมัครเขียนเปรียนตัวเองเป็น Strawberry cheese pie (จะว่าไป กลับไปอ่านก็ตลกตัวเองอยู่เหมือนกัน แบบ เอ็งเขียนเข้าไปได้ไงว่ะ555) มีรุ่นน้องคนนึงที่จขกทช่วยให้คำปรึกษา เค้าสนใจเรื่องพลังงานทางเลือกค่ะ ก็เล่าถึงtripไปทะเลกับครอบครัวตอนเด็กๆ อยู่ในรถเค้าสังเกตถึงธรรมชาติต่างๆรอบๆตัวเค้าที่พ่อเค้าขับผ่าน แสงแดด ลม ต้นปาล์ม (แหะๆ analogyเจ๋งใช่มั้ยหละ) ส่วน Background ของ SOPก็คือ Biographical statement ของ Fulbrightนี่หละ ทั้งนี้ความยากคือย่อชีวิตตัวเองให้เหลือ 400คำ เราต้องคิดว่าเรามีโควต้าแค่400คำ เพราะฉะนั้นเราควรเลือกเขียนแต่สิ่งที่พิเศษที่สุด และ effectiveที่สุดในการเล่าการเป็นตัวเองค่ะ

ส่วนที่สองของ SOPคือส่วน Purpose อะไรคือจุดประสงค์ในการสมัครเรียนของคุณ ถ้าคิดง่ายๆส่วนแรกคือ What brings you here? ส่วนที่สองตอบคำถาม Why do you want to study here ? Proposed Program Plan ของ Fulbrightอยากให้เราตอบ สาขาที่อยากเรียน  เรียนไปเพื่ออะไร  ทำไมถึงอยากเรียนprogramที่จะสมัคร และไปทำอะไรมาในอดีต (อาจจะพูดถึงproject หรืองานที่เคยทำมาที่relevantกับสิ่งที่จะเรียน) จะเห็นได้ว่าBSจะlight กว่าPPPมากๆเลย เพราะว่า PPPมันต้องมีหลักฐานมาค้ำว่า เพราะเรามีประสบการณ์ ทำอย่างนี้ๆมาเราจึงจะสามารถประสบความสำเร็จในการเรียนสาขาที่ประสงค์จะไปเรียนได้ ควรยกตัวอย่างงานที่ทำเกี่ยวกัยสาขาที่จะไปเรียนสัก 2งานค่ะ เช่นอยากทำด้านinternational development อาจจะเล่าเรื่องที่ฝึกงานที่UN กับตอนไปทำfield workที่สามเหลี่ยมทองคำ เวลาเล่าประสบการณ์ให้มี patternนี้ในหัวค่ะ STAR Situation เหตุการณ์คืออะไร, Task เราได้รับมอบหมายให้ทำอะไร, Achievement เราทำอะไรสำเร็จ, Result ผลออกมามีimpactอะไรบ้าง หรือเราได้เรียนรู้อะไรจากการทำงานครั้งนั้น  นอกจากนี้ควรตอบว่าทำไมถึงอยากเรียนprogramนี้ เช่นเพราะว่ามีอาจารย์ท่านนี้ประจำอยู่ แล้ว researchเรื่อง...ของอาจารย์ตรงกับinterestของเรามากๆ ถ้าได้ไปเรียน ก็อยากจะสานต่อresearchด้าน...ของเรา ลักษณะการเขียนPPPต้อง serious เป็นเหตุเป็นผลค่ะ

นี่จขกทมองนาฬิกาก็ตีสองกว่าๆ ขออนุญาตจบกระทู้นะคะ หวังว่ากระทู้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้สมัครทุน Fulbright หรือผู้ที่สนใจศึกษาต่อเมืองนอกนะคะ จขกทเป็นกำลังใจให้ค่ะ มีอะไรถามมาจะพยายามตอบให้นะคะ ถ้าพิมพ์ผิดอะไรขอโทษด้วยนะคะ ถ้ามีเวลาจะมาเล่าตอนสัมภาษณ์ทุนค่ะ ชักจะชอบเขียนซะแล้วซิได้เม้า
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่