ขออนุญาตใช้พื้นที่ pantip เล่าประสบการณ์เกี่ยวกับการสมัครเรียนต่อ LL.M. ในมหาวิทยาลัยของประเทศอังกฤษและสหรัฐอเมริกานะครับ
(ซึ่งเป็นประสบการณ์ตรงปีที่ผ่านมาของ จขกท เอง) ซึ่งข้อมูลอาจจะไม่ครอบคลุมมหาวิทยาลัยทั้งหมด แต่ จขกท ขอเล่าภาพคร่าวๆ ละกันนะครับ เผื่อหลายท่านที่กำลังจะสมัคร LL.M. ในปีนี้ เอาไปใช้ประโยชน์ได้บ้าง
1. รายละเอียดเบื้องต้นของการยื่นใบสมัครของ UK และ USA
UK
โดยส่วนใหญ่ หากทุกท่านได้เข้าไปดูรายละเอียดข้อมูล website ของมหาวิทยาลัยในประเทศอังกฤษ
จะพบว่า แต่ละแห่งจะมีข้อกำหนดให้ยื่นใบสมัครผ่านระบบ online (online application) โดยอาจจะให้ผู้สมัคร
(1) upload เอกสารที่เกี่ยวข้องทั้งหมด (Statement of Purpose ("SoP"), Letter of Recommendation ("LoR"), IELTS และ Transcript)
ผ่านทาง website ของมหาวิทยาลัยเองเลยได้โดยตรงทันที เช่น Queen Mary เป็นต้น หรือ
(2) upload เอกสารบางรายการ เช่น SoP หรือ IELTS ผ่านทาง website ของมหาวิทยาลัยโดยตรงได้ทันที และสำหรับเอกสารอื่น ๆ เช่น LoR ผู้สมัครอาจจะต้องจัดส่งไปรษณีย์ไปเอง (เช่น Warrick) โดยมหาวิทยาลัยระดับ Top ส่วนใหญ่จะมีข้อกำหนดเพิ่มเติม เช่น อาจารย์ที่เขียน recommendation ให้ต้องลงนามในเอกสารที่มหาวิทยาลัยกำหนดเพิ่มเติม (form ของมหาวิทยาลัย) และแนบ form ดังกล่าวไปกับ letter ที่อาจารย์เขียนให้พร้อมทั้งให้อาจารย์ลงนามปิดผนึกหน้าซองด้วย ขณะที่มหาวิทยาลัยบางแห่งกำหนดให้ ผู้สมัครต้องใส่รายละเอียดเกี่ยวกับอาจารย์ที่เขียน LoR เช่น email ของอาจารย์แล้วทางมหาวิทยาลัยจะส่ง link ไปให้อาจารย์ดำเนินการกรอกข้อมูลและจัดส่ง LoR ต่อไปเอง
USA
มหาวิทยาลัยบางแห่งก็มีข้อกำหนดให้ผู้สมัครสามารถยื่นเอกสารการสมัครต่อมหาวิทยาลัยโดยตรง เช่นเดียวกับ UK อย่างไรก็ตาม มหาวิทยาลัยส่วนมาก (ในระดับ tier 1) จะแนะนำ (ขณะที่บางมหาวิทยาลัยจะกำหนด) ให้ผู้สมัครใช้บริการ LSAC ซึ่ง LSAC จะคล้าย ๆ กับองค์กรกลางที่จะรวบรวมเอกสารทั้งหมดที่ใช้ในการสมัคร ตั้งแต่ LoR Toefl และ Transcript โดยแทนที่ผู้สมัครจะส่งเอกสารดังกล่าวทีละชุดไปมหาวิทยาลัยโดยตรง ผู้สมัครสามารถส่งเอกสารดังกล่าวเพียงแค่ชุดเดียวไปยัง LSAC และ LSAC จะจัดส่งใปยังมหาวิทยาลัยที่เรากำหนด โดยเสียค่าส่งประมาณ 20 USDต่อมหาวิทยาลัย (ไม่นับรวม application fee ที่แต่ละมหาวิทยาลัยกำหนด) ซึ่งการใช้บริการ LSAC จะทำให้เราลดขั้นตอนการส่งเอกสารไปหลายขั้นตอน นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยบางแห่งจะมีข้อกำหนดให้ผู้สมัครใช้บริการ LSAC แทนที่จะส่งเอกสารให้แก่มหาวิทยาลัยโดยตรง (และผู้สมัครอาจจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมขึ้นอยู่กับว่ามหาวิทยาลัยกำหนดให้ใช้บริการของ LSAC ประเภทใด) จขกท เข้าใจว่า การมี LSAC จะทำให้มหาวิทยาลัยลดขั้นตอนการรวบรวมเอกสาร และสามารถพิจารณาและเปรียบเทียบข้อมูลของผู้สมัครแต่ละรายได้สะดวกมากขึ้น เนื่องจาก LSAC จะทำการตรวจสอบข้อมูลผลการศึกษาและประเมินผลการศึกษาของผู้สมัครเพื่อให้มหาวิทยาลัยและให้ค่าสรุปออกมาว่า ผลการเรียนของผู้สมัครอยู่ระดับใด average หรือ above average เป็นต้น
Share ข้อมูลเกี่ยวกับการสมัครเรียนต่อ LL.M. ที่ UK และ USA
(ซึ่งเป็นประสบการณ์ตรงปีที่ผ่านมาของ จขกท เอง) ซึ่งข้อมูลอาจจะไม่ครอบคลุมมหาวิทยาลัยทั้งหมด แต่ จขกท ขอเล่าภาพคร่าวๆ ละกันนะครับ เผื่อหลายท่านที่กำลังจะสมัคร LL.M. ในปีนี้ เอาไปใช้ประโยชน์ได้บ้าง
1. รายละเอียดเบื้องต้นของการยื่นใบสมัครของ UK และ USA
UK
โดยส่วนใหญ่ หากทุกท่านได้เข้าไปดูรายละเอียดข้อมูล website ของมหาวิทยาลัยในประเทศอังกฤษ
จะพบว่า แต่ละแห่งจะมีข้อกำหนดให้ยื่นใบสมัครผ่านระบบ online (online application) โดยอาจจะให้ผู้สมัคร
(1) upload เอกสารที่เกี่ยวข้องทั้งหมด (Statement of Purpose ("SoP"), Letter of Recommendation ("LoR"), IELTS และ Transcript)
ผ่านทาง website ของมหาวิทยาลัยเองเลยได้โดยตรงทันที เช่น Queen Mary เป็นต้น หรือ
(2) upload เอกสารบางรายการ เช่น SoP หรือ IELTS ผ่านทาง website ของมหาวิทยาลัยโดยตรงได้ทันที และสำหรับเอกสารอื่น ๆ เช่น LoR ผู้สมัครอาจจะต้องจัดส่งไปรษณีย์ไปเอง (เช่น Warrick) โดยมหาวิทยาลัยระดับ Top ส่วนใหญ่จะมีข้อกำหนดเพิ่มเติม เช่น อาจารย์ที่เขียน recommendation ให้ต้องลงนามในเอกสารที่มหาวิทยาลัยกำหนดเพิ่มเติม (form ของมหาวิทยาลัย) และแนบ form ดังกล่าวไปกับ letter ที่อาจารย์เขียนให้พร้อมทั้งให้อาจารย์ลงนามปิดผนึกหน้าซองด้วย ขณะที่มหาวิทยาลัยบางแห่งกำหนดให้ ผู้สมัครต้องใส่รายละเอียดเกี่ยวกับอาจารย์ที่เขียน LoR เช่น email ของอาจารย์แล้วทางมหาวิทยาลัยจะส่ง link ไปให้อาจารย์ดำเนินการกรอกข้อมูลและจัดส่ง LoR ต่อไปเอง
USA
มหาวิทยาลัยบางแห่งก็มีข้อกำหนดให้ผู้สมัครสามารถยื่นเอกสารการสมัครต่อมหาวิทยาลัยโดยตรง เช่นเดียวกับ UK อย่างไรก็ตาม มหาวิทยาลัยส่วนมาก (ในระดับ tier 1) จะแนะนำ (ขณะที่บางมหาวิทยาลัยจะกำหนด) ให้ผู้สมัครใช้บริการ LSAC ซึ่ง LSAC จะคล้าย ๆ กับองค์กรกลางที่จะรวบรวมเอกสารทั้งหมดที่ใช้ในการสมัคร ตั้งแต่ LoR Toefl และ Transcript โดยแทนที่ผู้สมัครจะส่งเอกสารดังกล่าวทีละชุดไปมหาวิทยาลัยโดยตรง ผู้สมัครสามารถส่งเอกสารดังกล่าวเพียงแค่ชุดเดียวไปยัง LSAC และ LSAC จะจัดส่งใปยังมหาวิทยาลัยที่เรากำหนด โดยเสียค่าส่งประมาณ 20 USDต่อมหาวิทยาลัย (ไม่นับรวม application fee ที่แต่ละมหาวิทยาลัยกำหนด) ซึ่งการใช้บริการ LSAC จะทำให้เราลดขั้นตอนการส่งเอกสารไปหลายขั้นตอน นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยบางแห่งจะมีข้อกำหนดให้ผู้สมัครใช้บริการ LSAC แทนที่จะส่งเอกสารให้แก่มหาวิทยาลัยโดยตรง (และผู้สมัครอาจจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมขึ้นอยู่กับว่ามหาวิทยาลัยกำหนดให้ใช้บริการของ LSAC ประเภทใด) จขกท เข้าใจว่า การมี LSAC จะทำให้มหาวิทยาลัยลดขั้นตอนการรวบรวมเอกสาร และสามารถพิจารณาและเปรียบเทียบข้อมูลของผู้สมัครแต่ละรายได้สะดวกมากขึ้น เนื่องจาก LSAC จะทำการตรวจสอบข้อมูลผลการศึกษาและประเมินผลการศึกษาของผู้สมัครเพื่อให้มหาวิทยาลัยและให้ค่าสรุปออกมาว่า ผลการเรียนของผู้สมัครอยู่ระดับใด average หรือ above average เป็นต้น