บทที่ 1-2
http://pantip.com/topic/34581823
บทที่ 3
http://pantip.com/topic/34641272
บทที่ 4-5
http://pantip.com/topic/34657924
บทที่ 6
http://pantip.com/topic/34686112
บทที่ 7
http://pantip.com/topic/34709647
บทที่ 8
http://pantip.com/topic/34730781
บทที่ 9
http://pantip.com/topic/34740745
บทที่ 10
http://pantip.com/topic/34855480
บทที่ 11
http://pantip.com/topic/34899050
บทที่ 12
http://pantip.com/topic/34910335
บทที่ 13
http://pantip.com/topic/34928427
บทที่ 14
http://pantip.com/topic/34939664
บทที่ 15 ฮันเนีย
ลมหนาวยามดึกพัดใบโมมิจิสีแดงสดหลุดจากขั้วหมุนคว้างกลางอากาศชั่วไม่กี่วินาทีก่อนตกลงไปนอนสงบนิ่งอยู่กับพื้น ลมอ่อนๆอาจดึงใบให้หลุดออกจากต้นได้ไม่กี่ใบแต่พอเปลี่ยนเป็นพัดกระโชกอย่างแรง ใบไม้กลุ่มใหญ่จะร่วงพรูลงมาพร้อมกันมองคล้ายสายฝนหลากสีทั้งส้ม เหลืองแดง มันเป็นเรื่องปรกติของฤดูใบไม้ร่วงที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าเมื่อฤดูกาลหมุนเวียนครบรอบ หากครั้งนี้ ตรงหน้า ภาพที่ปรากฏในสายตาของทาคุ การร่วงของใบไม้มิได้งดงามราวความฝันเพราะมีบางอย่างที่น่าขนลุกแทรกซ้อนขึ้นมาในกลุ่มของใบไม้เหล่านั้น
หน้ากาก
ดวงหน้ามากมายหลายหลากชวนขนพองสยองเกล้าผุดขึ้นที่ละอันกระจายเป็นวงกลมเว้นที่ว่างไว้ตรงกลาง เบ้าตาเรียวสีดำมีลูกไฟสีแดงส่องแสงสว่างเรืองรอง ทุกดวงจ้องตรงมาที่สารถีหนุ่มเพียงจุดเดียวพร้อมปากที่แสยะยิ้มกว้าง ผนวกรวมกับสีขาวซีดของตัวหน้ากากเองแล้วมันคือฝันร้ายที่สามารถกระชากลมหายใจของคนขวัญอ่อนให้ปลิดปลิวออกจากร่างอย่างง่ายดาย ลมเย็นที่พัดอื้ออึงเมื่อครู่สงบลงอย่างฉับพลัน ใบไม้หลากสีที่ปลิวว่อนเมื่อครู่ร่วงลงไปกองอยู่กับพื้นเหลือเพียงหน้ากากสยองขวัญเท่านั้นที่ยังคงลอยอยู่กลางอากาศ กับร่างในเครื่องแต่งกายโบราณของใครคนหนึ่งยืนอยู่ตรงกลาง นิ้วเรียวขาวราวหิมะกรีดพัดจีบด้วยกิริยาของสตรีชั้นสูงในราชสำนัก แต่พอพัดเล่มนั้นถูกลดลงเผยให้เห็นใบหน้าดวงตาของ ทาคุก็เบิกกว้าง
“คาราสุเฮบิ!!!”
น้ำเสียงกึ่งตระหนกระคนแปลกใจจนอีกฝ่ายต้องเปล่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ
“น่าดีใจจริงๆที่ได้พบกับเจ้าอีกครั้ง คุโระอินุมารุ” ดวงตาเรียวสำรวจไล่ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า “ไม่เจอกันตั้งนานเจ้ายังสง่างามไม่เคยเปลี่ยน”
“ส่วนเจ้าก็ยังดูน่าขยะแขยงเหมือนเดิม” ทาคุพูดเสียงกระด้าง คาราสุเฮบิยกพัดขึ้นป้องปากหัวเราะ
"ปากคอเราะร้ายขึ้นนะ” นัยน์ตาสีเทาหม่นจ้องตรงไปยังดวงตาของทาคุราวกับจะล้วงลึกเข้าไปให้ถึงในจิตใจ “สงสัยที่มนุษย์ว่าคนเราพอพบกับความผิดหวังมักหาเรื่องพาลคนอื่นเพื่อระบายอารมณ์จะเป็นความจริง เพราะจากที่เห็นเหมือนเจ้ากำลังหงุดหงิด คับอกคับใจเรื่องอะไรก็พูดมาข้ายินดีรับฟัง”
น้ำเสียงแสดงออกถึงความเป็นพ่อพระแต่แววตากลับตรงกันข้ามเพราะมันแข็งกระด้างปราศจากทั้งความรู้สึกและอารมณ์ไม่ผิดกับดวงตาของอสรพิษร้าย ยิ่งเห็นหน้ากากนับสิบที่กำลังลอยฉวัดเฉวียนไปมาราวกับมีชีวิตด้วยแล้ว ทาคุก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาไม่อาจไว้ใจคนตรงหน้าได้เลย
“อย่ามาแส่กับข้า” เขาคำรามขู่ก่อนเปลี่ยนเส้นทางเพื่อเดินเลี่ยงแต่ร่างสูงโปร่งของคาราสุเฮบิกลับเลื่อนไปขวาง คิ้วดกหนาของทาคุมุ่นเข้าหากัน “หลีก!”
เสียงแทบจะเป็นการตวาดแต่อีกฝ่ายกลับไม่สนใจเลยสักนิด เขาโบกพัดจีบช้าๆราวกับไล่ลมร้อนทั้งที่อากาศในตอนนั้นหนาวเหน็บ ตามองสูงเลยขึ้นไปถึงท้องฟ้ามองแสงกะพริบพราวของดวงดาราด้วยท่าทางหลงใหล
“ทั้งที่อยู่ตรงหน้าแต่ไม่มีวันเอื้อมถึง” คาราสุเฮบิรำพึงออกมาเบาๆก่อนลดสายตาลงมายังสารถีหนุ่ม “เจ้าคิดแบบนั้นใช่ไหม”
เป็นประโยคที่พูดขึ้นมาลอยๆแท้ๆแต่ทาคุกลับรู้สึกเหมือนเป็นคมดาบที่ปักทะลุลงไปกลางใจ เขาบดกรามของตัวเอง กำมัดแน่นจ้องคนพูดด้วยดวงตาลุกวาวด้วยโทสะ
“พูดอะไรไร้สาระ”
คิ้วที่ถูกวาดจนบางเฉียบโก่งดุจคันศรเลิกสูง บุรุษผู้ปรากฏตัวอย่างไม่คาดฝันเอียงหน้าน้อยๆ
“แต่ข้าไม่คิดว่าการหลงรักใครสักคนเป็นเรื่องไร้สาระ นับแต่อดีตเจ้ายอมตกเป็นเบี้ยล่างคอยรับใช้พวกจิ้งจอก พอเจอกับนางในฝันกลับทำได้แค่เพียงเฝ้ามอง ไม่มีโอกาสได้หยอกเย้าพูดคุยหรือสัมผัส เจ้าทำใจทนอยู่ได้ยังไง”
ทาคุเข้าใจดีว่าบุคคลที่คาราสุเฮบิพูดถึงคือซาคาโมโตะกับฟุรุคาวะ และรู้ด้วยที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อสร้างความร้าวฉาน ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังอดเห็นด้วยกับบางส่วนไม่ได้ เขาทำใจทนอยู่ได้ยังไงกันนะ ?
“ขอเพียงแค่คนที่ข้ารักมีความสุขข้ายินดีทำทุกอย่าง”
มุมปากของคาราสุเฮบิมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นแวบหนึ่ง ดวงหน้าซีดก้มต่ำลง พัดในมือเปลี่ยนสภาพเป็นหน้ากากปิศาจ เขายกมันขึ้นครอบใบหน้าของตัวเอง
“วาจาเทวดาแต่หัวใจกลับดำมืดราวปิศาจ” น้ำเสียงแหลมบาดลึกเข้าไปในจิตใจของคนฟัง “ปากก็ว่ายินดีทั้งที่แท้จริงแล้วเจ้าเองก็ปรารถนาที่จะแย่งนางมาครอง”
ลมเย็นกลุ่มใหญ่พัดกระโชกลงมาดันร่างของคาราสุเฮบิให้ลอยขึ้นจากพื้น เสื้อคลุมสีดำลายเกล็ดงูสะบัดส่งเสียงดังพรึ่บ เส้นผมสีดำยาวสบายปลิวไหวไปมามองคล้ายอสรพิษกำลังเริงร่าอยู่ในสายธาร
“ข้าถามจริงๆเถอะคุโระอินุมารุ เจ้าทนเห็นคนรักอยู่ในอ้อมกอดของชายอื่นได้หรือไม่ ทนมองริมฝีปากของเขาจูบซ้ำแล้วซ้ำเล่าบนริมฝีปากของนางได้หรือเปล่า และหากพวกเขานอนเปลือยเปล่าอยู่ในห้องสองต่อสอง เจ้าจะ....”
“พอได้แล้ว!!!!” ทาคุตะโกนลั่นอย่างสิ้นความอดทนพร้อมกับควงกำปั้นกระโจนเข้าใส่คาราสุเฮบิด้วยความโกรธจนลืมตัว อีกฝ่ายหัวร่อร่าก่อนยกตัวให้ลอยสูงขึ้นและเลื่อนหน้ากากออกเผยให้เห็นดวงหน้าเพียงซีกเดียว
“โทสะทำให้สูญสิ้นตัวตน เจ้าเป็นของข้าแล้วคุโระอินุมารุ”
สารถีหนุ่มซึ่งเสียหลักจนเกือบหน้าคะมำรีบตั้งตัวเงยหน้าขึ้น พอเห็นอีกฝ่ายลอยอยู่สูงเกินเอื้อมเขาก็คำรามลั่น
“ลงมาให้ข้าอัดเดี๋ยวนี้นะไอ้งูปิศาจ!”
คาราสุเฮบิมองเขาอย่างดูแคลนก่อนเปล่งเสียงหัวเราะก้อง
“ข้าลงไปตั้งนานแล้ว เจ้าต่างหากที่ไม่รู้ตัว” เขาสะบัดมือเปลี่ยนหน้ากากให้กลับเป็นพัดโบกเนิบๆอย่างผู้มีชัย “หวังว่าจะได้เจอเจ้าอีกครั้งนะ คุโระอินุมารุ”
ทาคุตั้งท่าเตรียมกระโดดขึ้นไปหาแต่กลับถูกใบไม้แห้งปลิวมาปิดหน้า พอดึงออกทั้งหน้ากากและร่างของคาราสุเฮบิก็อันตรธานไปจากที่นั่นแล้ว สารถีหนุ่มพยายามเพ่งจิตควานหาและเชิดหน้าขึ้นเพื่อสูดกลิ่นแต่ก็ไม่พบ ทั้งที่ใจหงุดหงิดอยากตะบันหน้าเกลี้ยงๆของเจ้าตัวร้ายเป็นที่สุดแต่เมื่อหมอนั่นเปิดหนีไปแล้วเขาก็หมดความสนใจที่จะติดตาม ปัญหาคือจะเดินไปซื้อสาเกตามที่ตั้งใจไว้แต่แรกหรือกลับห้องมือเปล่า พอนึกถึงสิ่งที่คาราสุเฮบิตอกย้ำให้ช้ำใจเล่นแล้ว ทาคุจึงหมุนตัวเดินดุ่มตรงไปยังร้านสะดวกซื้อซึ่งอยู่หัวมุมถนนแต่แทนที่จะหยิบสาเกมือกลับฉวยเหล้าบ๊วยอุ่นๆมาสามกระป๋องแล้วเดินใจลอยทบทวนถึงคำยั่วเย้าของคาราสุเฮบิไปซดเหล้าไปกว่าจะถึงหอก็หมดไปสองกระป๋อง พอเปิดประตูเข้าห้องและไม่เห็นซาคาโมโตะเขาก็นึกรู้ทันทีว่าหมอนั่นคงนั่งเฝ้าฟุรุคาวะไม่ยอมห่าง
บ้าเอ๊ย! สารถีหนุ่มนำสบถในใจและเตรียมเปิดเหล้ากระป๋องสุดท้ายจังหวะเดียวกันนั้นซาคาโมโตะก็โผล่ออกจากห้องของเด็กหนุ่มพอดี
“ไง” ทักสั้นๆพร้อมกับมองสิ่งที่อยู่ในมือ ทาคุจึงยื่นให้
“ของนายกระป๋องนึง”
“บอกแล้วไงว่าฉันไม่ดื่ม” ซาคาโมโตะพูดขรึมๆก่อนเดินไปนั่งที่เก้าอี้ด้วยท่าทางที่อ่อนระโหย สารถีหนุ่มมองตามด้วยความแปลกใจเพราะก่อนออกไปเขายังดูสบายดีอยู่เลย
“เป็นอะไรไป” ถามด้วยความเป็นห่วง ความริษยาที่ขมวดเป็นเกลียวเมื่อครู่คลายตัวหายไปจนหมด ซาคาโมโตะระบายลมหายใจยาวและเลื่อนตาไปที่ห้องนอนก่อนเบนกลับมาที่เพื่อนรัก
“มีพลังบางอย่างพุ่งเข้ามาจู่โจมตอนนายไม่อยู่ ความจริงก็ไม่ได้รุนแรงอะไรนักแต่ฉันเสียพลังตอนจับแมงมุมเลยต้องออกแรงมากหน่อย” ชายหนุ่มอธิบายแต่แล้วจู่ๆก็ลุกขึ้นนั่งหลังตรงจ้องหน้าทาคุอย่างพิจารณา
“นายไปเจอใครมา”
สารถีหนุ่มใจมุ่นคิ้วมองด้วยความแปลกใจ “ทำไมถึงถามแบบนั้น”
“ฉัน” ซาคาโมโตะดึงคำพูดค้างไว้แค่นั้นก่อนสั่นศีรษะ “ไม่มีอะไร ฉันคงตาฝาด”
ทาคุยืนนิ่งคล้ายลังเลว่าควรบอกเรื่องที่เขาเจอมาดีหรือไม่ เพราะซาคาโมโตะเป็นถึงผู้นำกลุ่มกินกิซึเนะย่อมมีพลังสัมผัสสูงกว่าปิศาจตนอื่น ที่บอกว่าตาฝาดเมื่อครู่คงเป็นผลพวงจากพลังของคาราสุเฮบิที่ตกค้างอยู่กับเขา
“ตอนออกไปฉันเจอใครบางคน” เปรยขึ้นด้วยเสียงที่ไม่ดังนักพอเห็นสายตาเชิงถามจากซาคาโมโตะเขาจึงบอกแต่เลี่ยงที่จะเอ่ยชื่อออกมาตรงๆ “ผู้นำกลุ่มโอโรจิ”
“คาราสุเฮบิ” ชายหนุ่มพูดด้วยใบหน้าที่แฝงความคิดบางอย่างไว้ในใจ “เขามาที่นี่ทำไม”
“ฉันจะไปรู้ได้ยังไง จู่ๆหมอนั่นก็โผล่มาขวางทางแล้วพล่ามบ้าบอไร้สาระจนฉันทนไม่ไหวเลยซัดมันไปสองสามหมัดแก้รำคาญ”
คำบอกเล่าของเพื่อนทำให้ซาคาโมโตะขมวดคิ้วย่นด้วยความแปลกใจ “แล้วเขาไม่ตอบโต้อะไรเลยเหรอ”
“ไม่นี่” ทาคุตอบและมองเพื่อนที่กำลังตีหน้ายุ่ง “เจ้างูบ้านั่นเป็นคนขี้ขลาดมาตั้งนานแล้ว สู้กันทีไรเป็นเผ่นหนีกลับบ้านก่อนเพื่อนทุกที ครั้งนี้ก็เหมือนกันที่ออกมายั่วคงเพราะเบื่อกับสัญญาสงบศึกแต่ดันมากวนประสาทผิดคน”
ลงท้ายประโยคด้วยเสียงหัวเราะลงลูกคออย่างถูกอกถูกใจต่างจากซาคาโมโตะที่ยังคงขมวดคิ้วตีหน้าเครียด การต่อสู้กับพวกโอโรจิที่แม้ระยะหลังจะซาไปเพราะหนังสือสัญญาแต่ชายหนุ่มตระหนักดีกว่าด้วยเนื้อแท้ของคาราสุเฮบิแล้วเป็นพวกมักใหญ่ใฝ่สูง เจ้าเล่ห์เพทุบายและสิ่งน่าสะพรึงที่สุดสำหรับปิศาจตนนี้คือความอำมหิตโหดเหี้ยมที่สามารถกระชากหัวใจคนอื่นได้ทั้งที่ยังยืนยิ้มหน้าระรื่น การปรากฏตัวท้าทายทาคุแบบนี้ย่อมไม่ใช่การเย้าเล่นหากเป็นเพียงแผนการส่วนหนึ่งที่เขาเดาไม่ออกว่าคืออะไร
“เคียวยะ” เสียงสารถีหนุ่มแว่วเข้าหูดึงความคิดกลับเข้าตัว ซาคาโมโตะหันไปมองจึงเห็นเพื่อนรักกำลังขยี้กระป๋องเหล้าบ๊วยที่ตนเองปฏิเสธจนบี้แบนก่อนโยนลงถังขยะ
“อะไร” ชายหนุ่มถามสั้นๆแต่อีกฝ่ายกลับยกนิ้วชี้ขึ้นโบกไปมา
“บอกแล้วไงว่าอย่าไปสนใจเจ้าบ้านั่น”
คำว่า เจ้าบ้า ของทาคุย่อมหมายถึงคาราสุเฮบิ ซาคาโมโตะจึงส่ายหน้าปฏิเสธ “ฉันไม่ได้คิดถึงหมอนั่น”
“งั้นนายกำลังกลุ้มเรื่องอะไร” สารถีหนุ่มย้อนถามและชะงักคำพูดค้างเหมือนนึกได้ ดวงตาซุกซนชำเลืองไปยังห้องข้างๆ “เข้าใจแล้ว นายไม่ได้กังวลเรื่องเจ้างูดำแต่เป็นห่วงหนุ่มน้อยฟุบุกิ”
มุมปากผุดรอยยิ้มหยอกล้อขณะเจ้าตัวใช้สองมือผลักคนที่มีตำแหน่งเป็นเจ้านายเบาๆ
“แล้วจะมายืนตรงนี้อยู่ทำไมไปนอนเฝ้าบนเตียงเลย”
มือหนึ่งเปิดประตูส่วนอีกมือดันซาคาโมโตะพอผลุบเข้าห้องสำเร็จแล้วเขาก็ดึงบานประตูปิดโดยไม่ฟังเสียงแย้ง จัดการเสร็จรอยยิ้มที่ปั้นเอาไว้ก็ค่อยๆจางหายไป ทาคุเอนศีรษะพิงกับประตูห้องและผ่อนลมหายใจออกมาอย่างหมดอาลัยตายอยาก
เขาทำบ้าอะไรอยู่ถึงได้ส่งจิ้งจอกเข้าไปในห้องลูกกวาง
ลมหายใจกระแทกออกมาอย่างหงุดหงิดใจนึกอยากเปิดประตูก้าวพรวดเข้าไปลากซาคาโมโตะออกจากห้องหรือใช้กรงเล็บจ้วงอกปลิดชีวิตมารหัวใจแล้วชิงคนรักมาครองไว้เอง
ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเบิกกว้างทอประกาย มุมปากผุดยิ้มอันแสนชั่วร้ายออกมา เวลานี้ภายในหัวของทาคุเหมือนมีหมอกสีหม่นเคลื่อนเข้ามาบดบังบิดผันความคิดจนแทบจะกลายเป็นอื่น แต่ยังไม่ทันได้ครอบคลุมทั้งหมดก็มีเสียงแหลมเล็กดัง ปี๊ ริมหู ควันสีหม่นเลื่อนถอยออกไปโดยพลัน สารถีหนุ่มไหวตัวเยือกเหมือนคนเพิ่งตื่นคืนสติ เขาสะบัดหน้าเบาๆด้วยความงุนงงก่อนหันไปมองข้างตัว
สายใยรักจิ้งจอกพันปี (yaoi) บทที่ 15 ฮันเนีย
บทที่ 3 http://pantip.com/topic/34641272
บทที่ 4-5 http://pantip.com/topic/34657924
บทที่ 6 http://pantip.com/topic/34686112
บทที่ 7 http://pantip.com/topic/34709647
บทที่ 8 http://pantip.com/topic/34730781
บทที่ 9 http://pantip.com/topic/34740745
บทที่ 10 http://pantip.com/topic/34855480
บทที่ 11 http://pantip.com/topic/34899050
บทที่ 12 http://pantip.com/topic/34910335
บทที่ 13 http://pantip.com/topic/34928427
บทที่ 14 http://pantip.com/topic/34939664
บทที่ 15 ฮันเนีย
ลมหนาวยามดึกพัดใบโมมิจิสีแดงสดหลุดจากขั้วหมุนคว้างกลางอากาศชั่วไม่กี่วินาทีก่อนตกลงไปนอนสงบนิ่งอยู่กับพื้น ลมอ่อนๆอาจดึงใบให้หลุดออกจากต้นได้ไม่กี่ใบแต่พอเปลี่ยนเป็นพัดกระโชกอย่างแรง ใบไม้กลุ่มใหญ่จะร่วงพรูลงมาพร้อมกันมองคล้ายสายฝนหลากสีทั้งส้ม เหลืองแดง มันเป็นเรื่องปรกติของฤดูใบไม้ร่วงที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าเมื่อฤดูกาลหมุนเวียนครบรอบ หากครั้งนี้ ตรงหน้า ภาพที่ปรากฏในสายตาของทาคุ การร่วงของใบไม้มิได้งดงามราวความฝันเพราะมีบางอย่างที่น่าขนลุกแทรกซ้อนขึ้นมาในกลุ่มของใบไม้เหล่านั้น
หน้ากาก
ดวงหน้ามากมายหลายหลากชวนขนพองสยองเกล้าผุดขึ้นที่ละอันกระจายเป็นวงกลมเว้นที่ว่างไว้ตรงกลาง เบ้าตาเรียวสีดำมีลูกไฟสีแดงส่องแสงสว่างเรืองรอง ทุกดวงจ้องตรงมาที่สารถีหนุ่มเพียงจุดเดียวพร้อมปากที่แสยะยิ้มกว้าง ผนวกรวมกับสีขาวซีดของตัวหน้ากากเองแล้วมันคือฝันร้ายที่สามารถกระชากลมหายใจของคนขวัญอ่อนให้ปลิดปลิวออกจากร่างอย่างง่ายดาย ลมเย็นที่พัดอื้ออึงเมื่อครู่สงบลงอย่างฉับพลัน ใบไม้หลากสีที่ปลิวว่อนเมื่อครู่ร่วงลงไปกองอยู่กับพื้นเหลือเพียงหน้ากากสยองขวัญเท่านั้นที่ยังคงลอยอยู่กลางอากาศ กับร่างในเครื่องแต่งกายโบราณของใครคนหนึ่งยืนอยู่ตรงกลาง นิ้วเรียวขาวราวหิมะกรีดพัดจีบด้วยกิริยาของสตรีชั้นสูงในราชสำนัก แต่พอพัดเล่มนั้นถูกลดลงเผยให้เห็นใบหน้าดวงตาของ ทาคุก็เบิกกว้าง
“คาราสุเฮบิ!!!”
น้ำเสียงกึ่งตระหนกระคนแปลกใจจนอีกฝ่ายต้องเปล่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ
“น่าดีใจจริงๆที่ได้พบกับเจ้าอีกครั้ง คุโระอินุมารุ” ดวงตาเรียวสำรวจไล่ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า “ไม่เจอกันตั้งนานเจ้ายังสง่างามไม่เคยเปลี่ยน”
“ส่วนเจ้าก็ยังดูน่าขยะแขยงเหมือนเดิม” ทาคุพูดเสียงกระด้าง คาราสุเฮบิยกพัดขึ้นป้องปากหัวเราะ
"ปากคอเราะร้ายขึ้นนะ” นัยน์ตาสีเทาหม่นจ้องตรงไปยังดวงตาของทาคุราวกับจะล้วงลึกเข้าไปให้ถึงในจิตใจ “สงสัยที่มนุษย์ว่าคนเราพอพบกับความผิดหวังมักหาเรื่องพาลคนอื่นเพื่อระบายอารมณ์จะเป็นความจริง เพราะจากที่เห็นเหมือนเจ้ากำลังหงุดหงิด คับอกคับใจเรื่องอะไรก็พูดมาข้ายินดีรับฟัง”
น้ำเสียงแสดงออกถึงความเป็นพ่อพระแต่แววตากลับตรงกันข้ามเพราะมันแข็งกระด้างปราศจากทั้งความรู้สึกและอารมณ์ไม่ผิดกับดวงตาของอสรพิษร้าย ยิ่งเห็นหน้ากากนับสิบที่กำลังลอยฉวัดเฉวียนไปมาราวกับมีชีวิตด้วยแล้ว ทาคุก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาไม่อาจไว้ใจคนตรงหน้าได้เลย
“อย่ามาแส่กับข้า” เขาคำรามขู่ก่อนเปลี่ยนเส้นทางเพื่อเดินเลี่ยงแต่ร่างสูงโปร่งของคาราสุเฮบิกลับเลื่อนไปขวาง คิ้วดกหนาของทาคุมุ่นเข้าหากัน “หลีก!”
เสียงแทบจะเป็นการตวาดแต่อีกฝ่ายกลับไม่สนใจเลยสักนิด เขาโบกพัดจีบช้าๆราวกับไล่ลมร้อนทั้งที่อากาศในตอนนั้นหนาวเหน็บ ตามองสูงเลยขึ้นไปถึงท้องฟ้ามองแสงกะพริบพราวของดวงดาราด้วยท่าทางหลงใหล
“ทั้งที่อยู่ตรงหน้าแต่ไม่มีวันเอื้อมถึง” คาราสุเฮบิรำพึงออกมาเบาๆก่อนลดสายตาลงมายังสารถีหนุ่ม “เจ้าคิดแบบนั้นใช่ไหม”
เป็นประโยคที่พูดขึ้นมาลอยๆแท้ๆแต่ทาคุกลับรู้สึกเหมือนเป็นคมดาบที่ปักทะลุลงไปกลางใจ เขาบดกรามของตัวเอง กำมัดแน่นจ้องคนพูดด้วยดวงตาลุกวาวด้วยโทสะ
“พูดอะไรไร้สาระ”
คิ้วที่ถูกวาดจนบางเฉียบโก่งดุจคันศรเลิกสูง บุรุษผู้ปรากฏตัวอย่างไม่คาดฝันเอียงหน้าน้อยๆ
“แต่ข้าไม่คิดว่าการหลงรักใครสักคนเป็นเรื่องไร้สาระ นับแต่อดีตเจ้ายอมตกเป็นเบี้ยล่างคอยรับใช้พวกจิ้งจอก พอเจอกับนางในฝันกลับทำได้แค่เพียงเฝ้ามอง ไม่มีโอกาสได้หยอกเย้าพูดคุยหรือสัมผัส เจ้าทำใจทนอยู่ได้ยังไง”
ทาคุเข้าใจดีว่าบุคคลที่คาราสุเฮบิพูดถึงคือซาคาโมโตะกับฟุรุคาวะ และรู้ด้วยที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อสร้างความร้าวฉาน ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังอดเห็นด้วยกับบางส่วนไม่ได้ เขาทำใจทนอยู่ได้ยังไงกันนะ ?
“ขอเพียงแค่คนที่ข้ารักมีความสุขข้ายินดีทำทุกอย่าง”
มุมปากของคาราสุเฮบิมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นแวบหนึ่ง ดวงหน้าซีดก้มต่ำลง พัดในมือเปลี่ยนสภาพเป็นหน้ากากปิศาจ เขายกมันขึ้นครอบใบหน้าของตัวเอง
“วาจาเทวดาแต่หัวใจกลับดำมืดราวปิศาจ” น้ำเสียงแหลมบาดลึกเข้าไปในจิตใจของคนฟัง “ปากก็ว่ายินดีทั้งที่แท้จริงแล้วเจ้าเองก็ปรารถนาที่จะแย่งนางมาครอง”
ลมเย็นกลุ่มใหญ่พัดกระโชกลงมาดันร่างของคาราสุเฮบิให้ลอยขึ้นจากพื้น เสื้อคลุมสีดำลายเกล็ดงูสะบัดส่งเสียงดังพรึ่บ เส้นผมสีดำยาวสบายปลิวไหวไปมามองคล้ายอสรพิษกำลังเริงร่าอยู่ในสายธาร
“ข้าถามจริงๆเถอะคุโระอินุมารุ เจ้าทนเห็นคนรักอยู่ในอ้อมกอดของชายอื่นได้หรือไม่ ทนมองริมฝีปากของเขาจูบซ้ำแล้วซ้ำเล่าบนริมฝีปากของนางได้หรือเปล่า และหากพวกเขานอนเปลือยเปล่าอยู่ในห้องสองต่อสอง เจ้าจะ....”
“พอได้แล้ว!!!!” ทาคุตะโกนลั่นอย่างสิ้นความอดทนพร้อมกับควงกำปั้นกระโจนเข้าใส่คาราสุเฮบิด้วยความโกรธจนลืมตัว อีกฝ่ายหัวร่อร่าก่อนยกตัวให้ลอยสูงขึ้นและเลื่อนหน้ากากออกเผยให้เห็นดวงหน้าเพียงซีกเดียว
“โทสะทำให้สูญสิ้นตัวตน เจ้าเป็นของข้าแล้วคุโระอินุมารุ”
สารถีหนุ่มซึ่งเสียหลักจนเกือบหน้าคะมำรีบตั้งตัวเงยหน้าขึ้น พอเห็นอีกฝ่ายลอยอยู่สูงเกินเอื้อมเขาก็คำรามลั่น
“ลงมาให้ข้าอัดเดี๋ยวนี้นะไอ้งูปิศาจ!”
คาราสุเฮบิมองเขาอย่างดูแคลนก่อนเปล่งเสียงหัวเราะก้อง
“ข้าลงไปตั้งนานแล้ว เจ้าต่างหากที่ไม่รู้ตัว” เขาสะบัดมือเปลี่ยนหน้ากากให้กลับเป็นพัดโบกเนิบๆอย่างผู้มีชัย “หวังว่าจะได้เจอเจ้าอีกครั้งนะ คุโระอินุมารุ”
ทาคุตั้งท่าเตรียมกระโดดขึ้นไปหาแต่กลับถูกใบไม้แห้งปลิวมาปิดหน้า พอดึงออกทั้งหน้ากากและร่างของคาราสุเฮบิก็อันตรธานไปจากที่นั่นแล้ว สารถีหนุ่มพยายามเพ่งจิตควานหาและเชิดหน้าขึ้นเพื่อสูดกลิ่นแต่ก็ไม่พบ ทั้งที่ใจหงุดหงิดอยากตะบันหน้าเกลี้ยงๆของเจ้าตัวร้ายเป็นที่สุดแต่เมื่อหมอนั่นเปิดหนีไปแล้วเขาก็หมดความสนใจที่จะติดตาม ปัญหาคือจะเดินไปซื้อสาเกตามที่ตั้งใจไว้แต่แรกหรือกลับห้องมือเปล่า พอนึกถึงสิ่งที่คาราสุเฮบิตอกย้ำให้ช้ำใจเล่นแล้ว ทาคุจึงหมุนตัวเดินดุ่มตรงไปยังร้านสะดวกซื้อซึ่งอยู่หัวมุมถนนแต่แทนที่จะหยิบสาเกมือกลับฉวยเหล้าบ๊วยอุ่นๆมาสามกระป๋องแล้วเดินใจลอยทบทวนถึงคำยั่วเย้าของคาราสุเฮบิไปซดเหล้าไปกว่าจะถึงหอก็หมดไปสองกระป๋อง พอเปิดประตูเข้าห้องและไม่เห็นซาคาโมโตะเขาก็นึกรู้ทันทีว่าหมอนั่นคงนั่งเฝ้าฟุรุคาวะไม่ยอมห่าง
บ้าเอ๊ย! สารถีหนุ่มนำสบถในใจและเตรียมเปิดเหล้ากระป๋องสุดท้ายจังหวะเดียวกันนั้นซาคาโมโตะก็โผล่ออกจากห้องของเด็กหนุ่มพอดี
“ไง” ทักสั้นๆพร้อมกับมองสิ่งที่อยู่ในมือ ทาคุจึงยื่นให้
“ของนายกระป๋องนึง”
“บอกแล้วไงว่าฉันไม่ดื่ม” ซาคาโมโตะพูดขรึมๆก่อนเดินไปนั่งที่เก้าอี้ด้วยท่าทางที่อ่อนระโหย สารถีหนุ่มมองตามด้วยความแปลกใจเพราะก่อนออกไปเขายังดูสบายดีอยู่เลย
“เป็นอะไรไป” ถามด้วยความเป็นห่วง ความริษยาที่ขมวดเป็นเกลียวเมื่อครู่คลายตัวหายไปจนหมด ซาคาโมโตะระบายลมหายใจยาวและเลื่อนตาไปที่ห้องนอนก่อนเบนกลับมาที่เพื่อนรัก
“มีพลังบางอย่างพุ่งเข้ามาจู่โจมตอนนายไม่อยู่ ความจริงก็ไม่ได้รุนแรงอะไรนักแต่ฉันเสียพลังตอนจับแมงมุมเลยต้องออกแรงมากหน่อย” ชายหนุ่มอธิบายแต่แล้วจู่ๆก็ลุกขึ้นนั่งหลังตรงจ้องหน้าทาคุอย่างพิจารณา
“นายไปเจอใครมา”
สารถีหนุ่มใจมุ่นคิ้วมองด้วยความแปลกใจ “ทำไมถึงถามแบบนั้น”
“ฉัน” ซาคาโมโตะดึงคำพูดค้างไว้แค่นั้นก่อนสั่นศีรษะ “ไม่มีอะไร ฉันคงตาฝาด”
ทาคุยืนนิ่งคล้ายลังเลว่าควรบอกเรื่องที่เขาเจอมาดีหรือไม่ เพราะซาคาโมโตะเป็นถึงผู้นำกลุ่มกินกิซึเนะย่อมมีพลังสัมผัสสูงกว่าปิศาจตนอื่น ที่บอกว่าตาฝาดเมื่อครู่คงเป็นผลพวงจากพลังของคาราสุเฮบิที่ตกค้างอยู่กับเขา
“ตอนออกไปฉันเจอใครบางคน” เปรยขึ้นด้วยเสียงที่ไม่ดังนักพอเห็นสายตาเชิงถามจากซาคาโมโตะเขาจึงบอกแต่เลี่ยงที่จะเอ่ยชื่อออกมาตรงๆ “ผู้นำกลุ่มโอโรจิ”
“คาราสุเฮบิ” ชายหนุ่มพูดด้วยใบหน้าที่แฝงความคิดบางอย่างไว้ในใจ “เขามาที่นี่ทำไม”
“ฉันจะไปรู้ได้ยังไง จู่ๆหมอนั่นก็โผล่มาขวางทางแล้วพล่ามบ้าบอไร้สาระจนฉันทนไม่ไหวเลยซัดมันไปสองสามหมัดแก้รำคาญ”
คำบอกเล่าของเพื่อนทำให้ซาคาโมโตะขมวดคิ้วย่นด้วยความแปลกใจ “แล้วเขาไม่ตอบโต้อะไรเลยเหรอ”
“ไม่นี่” ทาคุตอบและมองเพื่อนที่กำลังตีหน้ายุ่ง “เจ้างูบ้านั่นเป็นคนขี้ขลาดมาตั้งนานแล้ว สู้กันทีไรเป็นเผ่นหนีกลับบ้านก่อนเพื่อนทุกที ครั้งนี้ก็เหมือนกันที่ออกมายั่วคงเพราะเบื่อกับสัญญาสงบศึกแต่ดันมากวนประสาทผิดคน”
ลงท้ายประโยคด้วยเสียงหัวเราะลงลูกคออย่างถูกอกถูกใจต่างจากซาคาโมโตะที่ยังคงขมวดคิ้วตีหน้าเครียด การต่อสู้กับพวกโอโรจิที่แม้ระยะหลังจะซาไปเพราะหนังสือสัญญาแต่ชายหนุ่มตระหนักดีกว่าด้วยเนื้อแท้ของคาราสุเฮบิแล้วเป็นพวกมักใหญ่ใฝ่สูง เจ้าเล่ห์เพทุบายและสิ่งน่าสะพรึงที่สุดสำหรับปิศาจตนนี้คือความอำมหิตโหดเหี้ยมที่สามารถกระชากหัวใจคนอื่นได้ทั้งที่ยังยืนยิ้มหน้าระรื่น การปรากฏตัวท้าทายทาคุแบบนี้ย่อมไม่ใช่การเย้าเล่นหากเป็นเพียงแผนการส่วนหนึ่งที่เขาเดาไม่ออกว่าคืออะไร
“เคียวยะ” เสียงสารถีหนุ่มแว่วเข้าหูดึงความคิดกลับเข้าตัว ซาคาโมโตะหันไปมองจึงเห็นเพื่อนรักกำลังขยี้กระป๋องเหล้าบ๊วยที่ตนเองปฏิเสธจนบี้แบนก่อนโยนลงถังขยะ
“อะไร” ชายหนุ่มถามสั้นๆแต่อีกฝ่ายกลับยกนิ้วชี้ขึ้นโบกไปมา
“บอกแล้วไงว่าอย่าไปสนใจเจ้าบ้านั่น”
คำว่า เจ้าบ้า ของทาคุย่อมหมายถึงคาราสุเฮบิ ซาคาโมโตะจึงส่ายหน้าปฏิเสธ “ฉันไม่ได้คิดถึงหมอนั่น”
“งั้นนายกำลังกลุ้มเรื่องอะไร” สารถีหนุ่มย้อนถามและชะงักคำพูดค้างเหมือนนึกได้ ดวงตาซุกซนชำเลืองไปยังห้องข้างๆ “เข้าใจแล้ว นายไม่ได้กังวลเรื่องเจ้างูดำแต่เป็นห่วงหนุ่มน้อยฟุบุกิ”
มุมปากผุดรอยยิ้มหยอกล้อขณะเจ้าตัวใช้สองมือผลักคนที่มีตำแหน่งเป็นเจ้านายเบาๆ
“แล้วจะมายืนตรงนี้อยู่ทำไมไปนอนเฝ้าบนเตียงเลย”
มือหนึ่งเปิดประตูส่วนอีกมือดันซาคาโมโตะพอผลุบเข้าห้องสำเร็จแล้วเขาก็ดึงบานประตูปิดโดยไม่ฟังเสียงแย้ง จัดการเสร็จรอยยิ้มที่ปั้นเอาไว้ก็ค่อยๆจางหายไป ทาคุเอนศีรษะพิงกับประตูห้องและผ่อนลมหายใจออกมาอย่างหมดอาลัยตายอยาก
เขาทำบ้าอะไรอยู่ถึงได้ส่งจิ้งจอกเข้าไปในห้องลูกกวาง
ลมหายใจกระแทกออกมาอย่างหงุดหงิดใจนึกอยากเปิดประตูก้าวพรวดเข้าไปลากซาคาโมโตะออกจากห้องหรือใช้กรงเล็บจ้วงอกปลิดชีวิตมารหัวใจแล้วชิงคนรักมาครองไว้เอง
ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเบิกกว้างทอประกาย มุมปากผุดยิ้มอันแสนชั่วร้ายออกมา เวลานี้ภายในหัวของทาคุเหมือนมีหมอกสีหม่นเคลื่อนเข้ามาบดบังบิดผันความคิดจนแทบจะกลายเป็นอื่น แต่ยังไม่ทันได้ครอบคลุมทั้งหมดก็มีเสียงแหลมเล็กดัง ปี๊ ริมหู ควันสีหม่นเลื่อนถอยออกไปโดยพลัน สารถีหนุ่มไหวตัวเยือกเหมือนคนเพิ่งตื่นคืนสติ เขาสะบัดหน้าเบาๆด้วยความงุนงงก่อนหันไปมองข้างตัว