ต่อเนื่องจากตอนที่ 1 อิหมวยสตอรี่ ตอนที่1(นี่กะว่าจะมีตอนที่2หรออ?) : เมื่อหมวยได้ทุนรัฐบาลจีนแบบงงๆ
http://pantip.com/topic/34926123
ซึ่งมีการเวิ่นเว้อพรรณนาโวหารไว้ยาวพอสมควร .. ด้วยฤทธิ์กาแฟที่โดฟไปช่วงบ่าย อิชั้นนอนไม่หลับค่ะคู๊ณณณณณณณณณ ก็เลยมานั่งเวิ่นเว้อพิมพ์เรื่องไปพลาง ใจสั่นไปพลาง (สั่นเกินไปม่ะ นี่ใจหรือมือถือคะ) เอาละค่ะไม่บ่นละ เล่าเรื่องแบบต่อเนื่องnon-stopเลยแล้วกันนะคะ

แอบเอาภาพวิวจากหอพักมาฝากค่ะ เป็นสนามกีฬากับโรงยิมของมหาลัยจ้าา
-ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ-
ไม่เคยมาสนามบินแล้วรู้สึกโหวงๆแบบนี้มาก่อน ทั้งที่ก็คิดไว้แล้วนะว่าไปเรียนเทอมละ4เดือน ปิดเทอมก็กลับบ้านแล้ว
คุนหมิงใกล้นิดเดียว แต่ก็อดไม่ได้อ่ะ วันนั้นมีปะป๊า พี่สาว แล้วก็เพื่อนๆที่ไปส่งอิชั้นที่สนามบินค่ะ
(แม่ส่งกันตั้งแต่ที่บ้าน และนางร้องไห้หนักมากไปก่อนหน้านี้แล้ว ฮ่าๆๆๆ)
อ้อ.. จขกท เดินทางคนเดียวนะคะ เพราะมีอาสาสมัครจากมหา’ลัยมารับค่ะ เลยอุ่นใจหน่อยนึง
สถานการณ์ทุกอย่างก็ดูปกติดี จนกระทั่งได้เวลาเข้าgate .. อยู่ๆทุกคนก็พร้อมใจกันอ้ำอึ้งจะร้องไห้ คืออะไรร อย่าร้องสิ
จขกท นี่ร้องตามไปนิดหน่อย นิดหน่อยจริงๆค่ะ อาย ตม แฮ่ๆ ไปร้องอีกทีก็นู่น บนเครื่องบิน
อยากจะขอโทษคุณป้าที่นั่งมาด้วยกันข้างๆมาก พยายามหยุดแล้วแต่หยุดไม่ได้ ตอนนั่งกินก๋วยเตี๋ยวไก่ น้ำตายังไหลเลยค่ะ
ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ แบบอยากกลับบ้าน แม่มาพากลับบ้านที ไม่อยากไปแล้ววววววววว (ร้องไห้จนหลับ..)
“Your Attention please
Thai Airways International Flight TG612 From Bangkok, It’s now arriving, Thank You.”
สิ้นเสียงประโยคนั้น อิชั้นมองออกไปนอกหน้าต่างแบบว่างเปล่า น้ำตาก็จะไหลอีกรอบ 2ชั่วโมงที่แล้วยังอยู่ไทยอยู่เลย โถ่ววว
วิวนอกหน้าต่างก็ยิ่งเอื้ออำนวยให้น้ำตาไหลซะจริงๆ มันดูกว้าง โล่ง สีแดงสุดลูกหูลูกตา(คือมันไม่มีสนามหญ้าไง มันเป็นดินแดงจ้า ความประทับใจแรกสุดๆ) ความประทับใจต่อมา คือ พอเข้าสนามบินปุ๊บ ไม่ว่าจะไปส่วนไหนตรวจ ตม รอรับกระเป๋า หรือที่นั่งด้านนอก ใครที่เคยไปจีนจะรู้กันค่ะ กลิ่นตีเข้าจมูกปุ๊บ รู้เลยว่า ชัดเจน มัน arriving ละจริงๆหว่ะ กลิ่นมาก่อนเล๊ยยยยยย จีนมากกก อากาศก็ดีดีย์ฝนตกกกกกกกก รับน้องกันหรอย่ะ เกินไปรึเปล่าห้ะ!

หลังจากลากรถเข็นไปด้วย บ่นในใจไปด้วย .. อิชั้นก็ออกมาเจออาสาสมัครที่มารับค่ะ
แล้วก็ได้เจอเพื่อนคนไทยที่มาไฟล์ทเดียวกัน พวกเราก็เลยนั่งเม้ามอยหอยกาบกันบนรถตู้เป็นการใหญ่
พอให้คลายความคิดถึงบ้านกันได้บ้าง
พอมาถึงมหาวิทยาลัย .. ดูไม่ออกเลยค่ะ ตึกไหนเป็นตึกไหน เดินจากตึกลงทะเบียนไปที่หอพัก คือไกลโพ้นมากกก
ตึกก็เหมือนกันไปหมด แรกๆเดินหลงจนขาลาก หาตึกไม่เจอ(ปกติเดินถูกทางก็เหนื่อยมากแล้วค่ะ เพราะไม่ชิน)
วันที่เข้าหอวันแรกเจออาอี๋(คุณน้าอารมณ์นั้นน่ะค่ะ) อาอี๋คุมหอคือพูดภาษาอังกฤษไม่ได้นะคะ พูดง่ายๆ ก็คือ
ไม่มีใครพูดภาษาอังกฤษกับอิชั้นเลยค่า คืนนั้นร้องไห้หนักเลย เมทนี่ไม่อายละ จะร้องๆๆ ไม่ไหว
ไม่รู้ว่าตัวเองมาทำอะไรที่นี่ สื่อสารไม่ได้ ฟังไม่ออก นี่หรอคนที่สอบวัดระดับภาษาจีนผ่าน(ตอนนั้นระดับ3ค่ะ)
ยังค่ะ สำหรับวันแรกมันยังไม่แค่นั้น มันเวิ้งว้างเพราะติดต่อที่บ้านไม่ได้เลยค่ะ ซิมโทรศัพท์ยังเปิดไม่ได้ต้องไปทำเรื่อง
Wifiหอพักก็ใช้ไม่ได้ นศใหม่ต้องรอหลังลงทะเบียนประมาณเดือนนึงค่ะ
วันถัดมาอะไรๆถึงจะค่อยๆลงตัว.. เจอรุ่นพี่มาช่วยฉุดอิชั้นขึ้นจากความมืดมิดซ๊ากกกกที
(ทั้งพาไปเปิดซิม ไปลงทะเบียนเรียน ไปลองอาหารจีนต่างๆ)
พอเปิดซิมได้ปุ๊บ(ไปเปิดซิมก่อนลงทะเบียนเรียนอีกค่ะ พูดเลย ลำดับความสำคัญได้ดี อิอิ)
ต่อvpn เปิดfacebookปั๊บ เจอที่บ้านกับเพื่อนมาถามว่า ถึงรึยัง ติดต่อไม่ได้เลย เป็นยังไงบ้าง บลาบลาบลา
วินาทีนั้นบอกเลย เอ้า ไหลอีกกกกกก ฮ่าๆๆๆ อยากกลับบ้านโว๊ยยยยย
พกทุกคนมาได้จะยัดใส่กระเป๋าเดินทางมาด้วยกันให้รู้แล้วรู้รอดไป
อย่างที่เคยบอกไว้นะคะ ว่า จขกท ได้ทุนเรียนภาษาก่อน 1ปี เพราะฉะนั้นวันแรกไปลงทะเบียนเรียน
และวันที่สองต้องไปสอบคัดห้องเรียนภาษาค่ะ อิชั้นนี่เรียกว่าฟิตมาก ทั้งอ่าน ทั้งท่อง เพราะคิดว่า ฟังไม่ออก
ต้องทำคะแนนพาร์ทอื่นให้เยอะๆ พอถึงวันสอบคัดห้อง ก็เริ่มสอบค่ะ สอบจริงๆ สอบถามอ่ะนะ ._. แบบนี้ก็แย่สิคะ
อาจารย์หรือเหล่าซือคนจีน มาถามเลยค่ะ เข้ามาคุยด้วย แหม่.. แค่ฟังก็ฟังไม่ออกแล้วจ่ะ เป็นใบ้ตะคริวกินปากเลย
ผลก็เลย โดนให้เรียนระดับแร๊กกกกกก เริ่มเรียนพินอิน(การออกเสียง)ใหม่ทั้งหมดดด
บ่ายวันนั้น ก็เลยติดต่อเหล่าซือที่ไทยค่ะ (คนที่ตอนที่แล้วอิชั้นเล่าว่าไปแทรกเวลาชีวิตเหล่าซือนั่นแหละค่ะ ฮ่าๆๆ)
จขกท “เหล่าซือ หนูได้อยู่ห้องระดับต้น เริ่มใหม่หมดเลย”
เหล่าซือ “ได้ยังไง บอกเค้ารึเปล่าว่าได้HSK3แล้ว”
จขกท “บอกแล้วค่ะ แต่ประโยคอื่นฟังไม่ออกเลย”
เหล่าซือ ……………typing………………. “อ่ะ นี่ไปบอกเค้าแบบนี้”(เหล่าซือพิมพ์ภาษาจีนแบบซับไทยมาเลยจ้า)
“หนูต้องไปบอกเค้าตามนี้ ว่าขอเรียนห้องระดับกลาง ไม่งั้นไม่ทันได้HSKระดับ5ก่อนเรียนโทแน่นอน”
เจอแบบนี้ กลับเลยค่ะอิชั้น ไม่ใช่กลับบ้านนะ กลับไปตึกลงทะเบียน เจรจากับเหล่าซือคนจีนแบบงงๆง่อยๆ
เหล่าซือคนจีน “หนูจะเรียนได้หรอ ไหนลองอ่านบทเรียนนี้ให้ฟังหน่อย” ยื่นกระดาษมาแผ่นนึง
จขกท บลาบลาบลา คืออออ อ่านผิดเยอะแบบไม่น่าให้อภัย ก็เลยบอกแกว่า “ขอลองเรียนก่อนนะคะ หนูคิดว่าหนูเรียนได้”
เหล่าซือคนจีน “อ้ะๆ ก็ได้ แต่อย่าเพิ่งเขียนอะไรลงหนังสือล่ะ ถ้าเรียนไม่ได้ ให้เอาหนังสือมาเปลี่ยนระดับ”
………………………………..รอดจากการเรียนห้องระดับต้นไปแบบไม่ค่อยสวยเท่าไหร่…………………………..
โดยการเรียนภาษาจีนที่นี่จะแบ่งเป็น 4วิชาค่ะ
1.综合 จงเหอ เหมือนเป็นวิชารวมๆ ฟัง พูด อ่าน เขียน
2.口语 โขวยวี่ คือ วิชาการพูด
3.听力 ทิงลี่ คือ วิชาการฟัง
4.阅读 เยวี่ยตู๋ คือ วิชาการอ่านค่ะ
นี่เป็นภาพบรรยากาศคลาสเรียนปรับภาษาจีนค่ะ อุ่ยย ลืมปิดหน้าาา ฮ่าๆๆๆ ไม่ต้องตกใจกันนะคะ
และแล้ววันเปิดเรียนวันแรก อิชั้นก็ฟังไม่ออกไปตามระเบียบ ออกไปแนะนำตัวเป็นภาษาจีนแบบเหงื่อแตกพลั่ก
ตอบคำถามก็ไม่รู้เรื่อง แม้แต่ชื่อจีนตัวเองก็ลืมมมมมมมม .. เบลออะไรขนาดนั้นละจ้ะ
แต่เรียนๆไปได้ซักพัก ทุกอย่างก็ค่อยๆพัฒนาขึ้นค่ะ ฟังพูดได้มากขึ้น อ่านออกเสียง เขียนตามคำบอกก็ดีขึ้น (ไอ่ตัวเขียนตามคำบอกเนี่ย ปกติที่ไทยจะเขียนแค่คำศัพท์อ่ะค่ะ ไม่ค่อยเท่าไหร่ แต่มาที่จีน เขียนเป็นประโยคค่า คือ มือสั่นและมือเย็นมาก คิดไม่ทัน ฮ่าๆๆ บางครั้งมีข้อเว้นว่างไว้เปล่าๆ หูยยย ตั้งแต่เรียนมายังไม่เคยเว้นว่างช่องตอบคำถามอะไรพวกนี้เลย หึ่มมมม) จากนั้นก็เลยจับจุดการอ่านหนังสือใหม่ค่ะ คือ ยังง๊ายยย ยังไงงง เรียนภาษาก็ต้องเตรียมบทเรียน แปลคำศัพท์ไปก่อนเลยค่ะ จะทำตัวเหมือนเรียนที่ไทยไม่ได้เลย ไม่งั้นแต่ละวันที่ไปเรียนก็จะผ่านไปแบบไม่ได้อะไร แล้วก็จะมาเร่งเอาใส่สมองตอนใกล้จะสอบ
ฉะนั้น หลังจากหมดเทอมแรก กลับไทยไป จขกท ก็สอบวัดระดับภาษาจีนระดับ4ค่ะ ก็ผ่านไปแบบสวยๆ(มั้งนะคะ)
และหลังจากเรียนจบหลักสูตรปรับภาษา อิชั้นก็คว้าระดับภาษาจีนระดับ5มาไว้ในครอบครองได้สำเร็จค่ะ
แต่ใครจะรู้……….. สอบวัดระดับผ่านน่ะ มันแค่เริ่มต้นนนน หึหึหึหึหึหึหึ
ปีถัดมา เพิ่งเทอมที่แล้วนี่เองแหละค่ะ อิชั้นก็เข้าเรียนปโทอย่างเป็นทางการ อื้อหืออออออออออออออออออออ
ฟังแทบไม่ออกเลยยยยค่ะคุณขา บ้างติดสำเนียงท้องถิ่น บ้างพูดเร็ว เขียนกระดานยิ่งไม่ต้องพูดถึง
我看不清楚!!! คือ อิชั้นมองไม่ออก มันตั๋วไร๊ เขียนอะไรรรรรคะ ฮือออออออ วันๆผ่านไปแบบ งงในห้อง
กลับมาอ่านtextbookที่หามา ทั้งอังกฤษทั้งไทย เพื่อให้เข้าใจที่เรียนๆไป โชคดีที่ทั้งห้องเป็นนศต่างชาติทั้งหมด
ถ้าเรียนรวมกับคนจีนนี่ ไม่น่ารอด เกณฑ์ทุกอย่างก็จะเท่าเทียมกับคนจีนทั้งหมดค่ะ
(ทั้งห้องที่พูดถึงนี่ เหมือนเยอะนะ มีแค่6คน โดดเรียนนี่อย่าแม้แต่จะคิดนะคะ ไม่งั้นเพื่อนจะสาปปปปปแน่นอนนน)
เทอมที่ผ่านมาจะไม่มีการสอบนะคะ ส่วนใหญ่ปโทจะให้ทำรายงานส่งค่ะ อิชั้นก็ส่งแบบการใช้ภาษาอนุบาลหมีน้อยอีกแล้ว
แต่ก็รอดไปค่ะสำหรับเทอมแรก .. ส่วนตอนนี้เป็นช่วงเทอมสองค่ะ เทอมฤดูใบไม้ผลิ อากาศที่นี่เริ่มอุ่นๆขึ้นแล้ว อะไรๆก็น่าจะดี
ยกเว้น มีสอบProposalเทอมนี้ หึหึหึ ..
อ่าววววๆ พอพูดถึงproposal ก็คิดได้ว่าควรจะหยุดเม้ามอยแล้วไปหาข้อมูลได้แล้ว (เพิ่งสำเหนียกเร๊อะ)
ถ้างั้นไม่บอกลาเหยิ่นเย้อแล้วนะคะ ขอจบตอน2ไว้เท่านี้ก่อน ขออนุญาตไปทำตัวเป็นนศที่ดี แปปนึง ฮ่าๆๆ
ปล1. เดี๋ยวถ้ามีคนอ่านนะคะ ฮ่าๆๆ และถ้าว่าง หรือเวิ่นๆอีก
จะมาเล่าเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ และอาหารการกินที่นี่ให้ได้อ่านกันเนอะ เพราะรูปของกินเต็มเลย ไม่รู้จะไปลงที่ไหนดี อิอิอิ
ปล2.พอดีมีหลายคนหลังไมค์เข้ามาเรื่องโรงเรียนสอนภาษาจีนค่ะ คือ จขกท เรียนภาษาที่ลำปางนะคะ พอดีบ้านอยู่ลำปางค่ะ
***********ขอบคุณที่รออ่านกันนะคะ ผิดพลาดอะไรขออภัยน๊า*************
อิหมวยสตอรี่ ตอนที่2(เห่ยย มีตอน2จริงๆหว่ะ) : Now, We have landed at Kunming Changshui International Airport
ต่อเนื่องจากตอนที่ 1 อิหมวยสตอรี่ ตอนที่1(นี่กะว่าจะมีตอนที่2หรออ?) : เมื่อหมวยได้ทุนรัฐบาลจีนแบบงงๆ
http://pantip.com/topic/34926123
ซึ่งมีการเวิ่นเว้อพรรณนาโวหารไว้ยาวพอสมควร .. ด้วยฤทธิ์กาแฟที่โดฟไปช่วงบ่าย อิชั้นนอนไม่หลับค่ะคู๊ณณณณณณณณณ ก็เลยมานั่งเวิ่นเว้อพิมพ์เรื่องไปพลาง ใจสั่นไปพลาง (สั่นเกินไปม่ะ นี่ใจหรือมือถือคะ) เอาละค่ะไม่บ่นละ เล่าเรื่องแบบต่อเนื่องnon-stopเลยแล้วกันนะคะ
แอบเอาภาพวิวจากหอพักมาฝากค่ะ เป็นสนามกีฬากับโรงยิมของมหาลัยจ้าา
-ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ-
ไม่เคยมาสนามบินแล้วรู้สึกโหวงๆแบบนี้มาก่อน ทั้งที่ก็คิดไว้แล้วนะว่าไปเรียนเทอมละ4เดือน ปิดเทอมก็กลับบ้านแล้ว
คุนหมิงใกล้นิดเดียว แต่ก็อดไม่ได้อ่ะ วันนั้นมีปะป๊า พี่สาว แล้วก็เพื่อนๆที่ไปส่งอิชั้นที่สนามบินค่ะ
(แม่ส่งกันตั้งแต่ที่บ้าน และนางร้องไห้หนักมากไปก่อนหน้านี้แล้ว ฮ่าๆๆๆ)
อ้อ.. จขกท เดินทางคนเดียวนะคะ เพราะมีอาสาสมัครจากมหา’ลัยมารับค่ะ เลยอุ่นใจหน่อยนึง
สถานการณ์ทุกอย่างก็ดูปกติดี จนกระทั่งได้เวลาเข้าgate .. อยู่ๆทุกคนก็พร้อมใจกันอ้ำอึ้งจะร้องไห้ คืออะไรร อย่าร้องสิ
จขกท นี่ร้องตามไปนิดหน่อย นิดหน่อยจริงๆค่ะ อาย ตม แฮ่ๆ ไปร้องอีกทีก็นู่น บนเครื่องบิน
อยากจะขอโทษคุณป้าที่นั่งมาด้วยกันข้างๆมาก พยายามหยุดแล้วแต่หยุดไม่ได้ ตอนนั่งกินก๋วยเตี๋ยวไก่ น้ำตายังไหลเลยค่ะ
ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ แบบอยากกลับบ้าน แม่มาพากลับบ้านที ไม่อยากไปแล้ววววววววว (ร้องไห้จนหลับ..)
“Your Attention please
Thai Airways International Flight TG612 From Bangkok, It’s now arriving, Thank You.”
สิ้นเสียงประโยคนั้น อิชั้นมองออกไปนอกหน้าต่างแบบว่างเปล่า น้ำตาก็จะไหลอีกรอบ 2ชั่วโมงที่แล้วยังอยู่ไทยอยู่เลย โถ่ววว
วิวนอกหน้าต่างก็ยิ่งเอื้ออำนวยให้น้ำตาไหลซะจริงๆ มันดูกว้าง โล่ง สีแดงสุดลูกหูลูกตา(คือมันไม่มีสนามหญ้าไง มันเป็นดินแดงจ้า ความประทับใจแรกสุดๆ) ความประทับใจต่อมา คือ พอเข้าสนามบินปุ๊บ ไม่ว่าจะไปส่วนไหนตรวจ ตม รอรับกระเป๋า หรือที่นั่งด้านนอก ใครที่เคยไปจีนจะรู้กันค่ะ กลิ่นตีเข้าจมูกปุ๊บ รู้เลยว่า ชัดเจน มัน arriving ละจริงๆหว่ะ กลิ่นมาก่อนเล๊ยยยยยย จีนมากกก อากาศก็ดีดีย์ฝนตกกกกกกกก รับน้องกันหรอย่ะ เกินไปรึเปล่าห้ะ!
แล้วก็ได้เจอเพื่อนคนไทยที่มาไฟล์ทเดียวกัน พวกเราก็เลยนั่งเม้ามอยหอยกาบกันบนรถตู้เป็นการใหญ่
พอให้คลายความคิดถึงบ้านกันได้บ้าง
พอมาถึงมหาวิทยาลัย .. ดูไม่ออกเลยค่ะ ตึกไหนเป็นตึกไหน เดินจากตึกลงทะเบียนไปที่หอพัก คือไกลโพ้นมากกก
ตึกก็เหมือนกันไปหมด แรกๆเดินหลงจนขาลาก หาตึกไม่เจอ(ปกติเดินถูกทางก็เหนื่อยมากแล้วค่ะ เพราะไม่ชิน)
วันที่เข้าหอวันแรกเจออาอี๋(คุณน้าอารมณ์นั้นน่ะค่ะ) อาอี๋คุมหอคือพูดภาษาอังกฤษไม่ได้นะคะ พูดง่ายๆ ก็คือ
ไม่มีใครพูดภาษาอังกฤษกับอิชั้นเลยค่า คืนนั้นร้องไห้หนักเลย เมทนี่ไม่อายละ จะร้องๆๆ ไม่ไหว
ไม่รู้ว่าตัวเองมาทำอะไรที่นี่ สื่อสารไม่ได้ ฟังไม่ออก นี่หรอคนที่สอบวัดระดับภาษาจีนผ่าน(ตอนนั้นระดับ3ค่ะ)
ยังค่ะ สำหรับวันแรกมันยังไม่แค่นั้น มันเวิ้งว้างเพราะติดต่อที่บ้านไม่ได้เลยค่ะ ซิมโทรศัพท์ยังเปิดไม่ได้ต้องไปทำเรื่อง
Wifiหอพักก็ใช้ไม่ได้ นศใหม่ต้องรอหลังลงทะเบียนประมาณเดือนนึงค่ะ
วันถัดมาอะไรๆถึงจะค่อยๆลงตัว.. เจอรุ่นพี่มาช่วยฉุดอิชั้นขึ้นจากความมืดมิดซ๊ากกกกที
(ทั้งพาไปเปิดซิม ไปลงทะเบียนเรียน ไปลองอาหารจีนต่างๆ)
พอเปิดซิมได้ปุ๊บ(ไปเปิดซิมก่อนลงทะเบียนเรียนอีกค่ะ พูดเลย ลำดับความสำคัญได้ดี อิอิ)
ต่อvpn เปิดfacebookปั๊บ เจอที่บ้านกับเพื่อนมาถามว่า ถึงรึยัง ติดต่อไม่ได้เลย เป็นยังไงบ้าง บลาบลาบลา
วินาทีนั้นบอกเลย เอ้า ไหลอีกกกกกก ฮ่าๆๆๆ อยากกลับบ้านโว๊ยยยยย
พกทุกคนมาได้จะยัดใส่กระเป๋าเดินทางมาด้วยกันให้รู้แล้วรู้รอดไป
อย่างที่เคยบอกไว้นะคะ ว่า จขกท ได้ทุนเรียนภาษาก่อน 1ปี เพราะฉะนั้นวันแรกไปลงทะเบียนเรียน
และวันที่สองต้องไปสอบคัดห้องเรียนภาษาค่ะ อิชั้นนี่เรียกว่าฟิตมาก ทั้งอ่าน ทั้งท่อง เพราะคิดว่า ฟังไม่ออก
ต้องทำคะแนนพาร์ทอื่นให้เยอะๆ พอถึงวันสอบคัดห้อง ก็เริ่มสอบค่ะ สอบจริงๆ สอบถามอ่ะนะ ._. แบบนี้ก็แย่สิคะ
อาจารย์หรือเหล่าซือคนจีน มาถามเลยค่ะ เข้ามาคุยด้วย แหม่.. แค่ฟังก็ฟังไม่ออกแล้วจ่ะ เป็นใบ้ตะคริวกินปากเลย
ผลก็เลย โดนให้เรียนระดับแร๊กกกกกก เริ่มเรียนพินอิน(การออกเสียง)ใหม่ทั้งหมดดด
บ่ายวันนั้น ก็เลยติดต่อเหล่าซือที่ไทยค่ะ (คนที่ตอนที่แล้วอิชั้นเล่าว่าไปแทรกเวลาชีวิตเหล่าซือนั่นแหละค่ะ ฮ่าๆๆ)
จขกท “เหล่าซือ หนูได้อยู่ห้องระดับต้น เริ่มใหม่หมดเลย”
เหล่าซือ “ได้ยังไง บอกเค้ารึเปล่าว่าได้HSK3แล้ว”
จขกท “บอกแล้วค่ะ แต่ประโยคอื่นฟังไม่ออกเลย”
เหล่าซือ ……………typing………………. “อ่ะ นี่ไปบอกเค้าแบบนี้”(เหล่าซือพิมพ์ภาษาจีนแบบซับไทยมาเลยจ้า)
“หนูต้องไปบอกเค้าตามนี้ ว่าขอเรียนห้องระดับกลาง ไม่งั้นไม่ทันได้HSKระดับ5ก่อนเรียนโทแน่นอน”
เจอแบบนี้ กลับเลยค่ะอิชั้น ไม่ใช่กลับบ้านนะ กลับไปตึกลงทะเบียน เจรจากับเหล่าซือคนจีนแบบงงๆง่อยๆ
เหล่าซือคนจีน “หนูจะเรียนได้หรอ ไหนลองอ่านบทเรียนนี้ให้ฟังหน่อย” ยื่นกระดาษมาแผ่นนึง
จขกท บลาบลาบลา คืออออ อ่านผิดเยอะแบบไม่น่าให้อภัย ก็เลยบอกแกว่า “ขอลองเรียนก่อนนะคะ หนูคิดว่าหนูเรียนได้”
เหล่าซือคนจีน “อ้ะๆ ก็ได้ แต่อย่าเพิ่งเขียนอะไรลงหนังสือล่ะ ถ้าเรียนไม่ได้ ให้เอาหนังสือมาเปลี่ยนระดับ”
………………………………..รอดจากการเรียนห้องระดับต้นไปแบบไม่ค่อยสวยเท่าไหร่…………………………..
โดยการเรียนภาษาจีนที่นี่จะแบ่งเป็น 4วิชาค่ะ
1.综合 จงเหอ เหมือนเป็นวิชารวมๆ ฟัง พูด อ่าน เขียน
2.口语 โขวยวี่ คือ วิชาการพูด
3.听力 ทิงลี่ คือ วิชาการฟัง
4.阅读 เยวี่ยตู๋ คือ วิชาการอ่านค่ะ
นี่เป็นภาพบรรยากาศคลาสเรียนปรับภาษาจีนค่ะ อุ่ยย ลืมปิดหน้าาา ฮ่าๆๆๆ ไม่ต้องตกใจกันนะคะ
และแล้ววันเปิดเรียนวันแรก อิชั้นก็ฟังไม่ออกไปตามระเบียบ ออกไปแนะนำตัวเป็นภาษาจีนแบบเหงื่อแตกพลั่ก
ตอบคำถามก็ไม่รู้เรื่อง แม้แต่ชื่อจีนตัวเองก็ลืมมมมมมมม .. เบลออะไรขนาดนั้นละจ้ะ
แต่เรียนๆไปได้ซักพัก ทุกอย่างก็ค่อยๆพัฒนาขึ้นค่ะ ฟังพูดได้มากขึ้น อ่านออกเสียง เขียนตามคำบอกก็ดีขึ้น (ไอ่ตัวเขียนตามคำบอกเนี่ย ปกติที่ไทยจะเขียนแค่คำศัพท์อ่ะค่ะ ไม่ค่อยเท่าไหร่ แต่มาที่จีน เขียนเป็นประโยคค่า คือ มือสั่นและมือเย็นมาก คิดไม่ทัน ฮ่าๆๆ บางครั้งมีข้อเว้นว่างไว้เปล่าๆ หูยยย ตั้งแต่เรียนมายังไม่เคยเว้นว่างช่องตอบคำถามอะไรพวกนี้เลย หึ่มมมม) จากนั้นก็เลยจับจุดการอ่านหนังสือใหม่ค่ะ คือ ยังง๊ายยย ยังไงงง เรียนภาษาก็ต้องเตรียมบทเรียน แปลคำศัพท์ไปก่อนเลยค่ะ จะทำตัวเหมือนเรียนที่ไทยไม่ได้เลย ไม่งั้นแต่ละวันที่ไปเรียนก็จะผ่านไปแบบไม่ได้อะไร แล้วก็จะมาเร่งเอาใส่สมองตอนใกล้จะสอบ
ฉะนั้น หลังจากหมดเทอมแรก กลับไทยไป จขกท ก็สอบวัดระดับภาษาจีนระดับ4ค่ะ ก็ผ่านไปแบบสวยๆ(มั้งนะคะ)
และหลังจากเรียนจบหลักสูตรปรับภาษา อิชั้นก็คว้าระดับภาษาจีนระดับ5มาไว้ในครอบครองได้สำเร็จค่ะ
แต่ใครจะรู้……….. สอบวัดระดับผ่านน่ะ มันแค่เริ่มต้นนนน หึหึหึหึหึหึหึ
ปีถัดมา เพิ่งเทอมที่แล้วนี่เองแหละค่ะ อิชั้นก็เข้าเรียนปโทอย่างเป็นทางการ อื้อหืออออออออออออออออออออ
ฟังแทบไม่ออกเลยยยยค่ะคุณขา บ้างติดสำเนียงท้องถิ่น บ้างพูดเร็ว เขียนกระดานยิ่งไม่ต้องพูดถึง
我看不清楚!!! คือ อิชั้นมองไม่ออก มันตั๋วไร๊ เขียนอะไรรรรรคะ ฮือออออออ วันๆผ่านไปแบบ งงในห้อง
กลับมาอ่านtextbookที่หามา ทั้งอังกฤษทั้งไทย เพื่อให้เข้าใจที่เรียนๆไป โชคดีที่ทั้งห้องเป็นนศต่างชาติทั้งหมด
ถ้าเรียนรวมกับคนจีนนี่ ไม่น่ารอด เกณฑ์ทุกอย่างก็จะเท่าเทียมกับคนจีนทั้งหมดค่ะ
(ทั้งห้องที่พูดถึงนี่ เหมือนเยอะนะ มีแค่6คน โดดเรียนนี่อย่าแม้แต่จะคิดนะคะ ไม่งั้นเพื่อนจะสาปปปปปแน่นอนนน)
เทอมที่ผ่านมาจะไม่มีการสอบนะคะ ส่วนใหญ่ปโทจะให้ทำรายงานส่งค่ะ อิชั้นก็ส่งแบบการใช้ภาษาอนุบาลหมีน้อยอีกแล้ว
แต่ก็รอดไปค่ะสำหรับเทอมแรก .. ส่วนตอนนี้เป็นช่วงเทอมสองค่ะ เทอมฤดูใบไม้ผลิ อากาศที่นี่เริ่มอุ่นๆขึ้นแล้ว อะไรๆก็น่าจะดี
ยกเว้น มีสอบProposalเทอมนี้ หึหึหึ ..
อ่าววววๆ พอพูดถึงproposal ก็คิดได้ว่าควรจะหยุดเม้ามอยแล้วไปหาข้อมูลได้แล้ว (เพิ่งสำเหนียกเร๊อะ)
ถ้างั้นไม่บอกลาเหยิ่นเย้อแล้วนะคะ ขอจบตอน2ไว้เท่านี้ก่อน ขออนุญาตไปทำตัวเป็นนศที่ดี แปปนึง ฮ่าๆๆ
ปล1. เดี๋ยวถ้ามีคนอ่านนะคะ ฮ่าๆๆ และถ้าว่าง หรือเวิ่นๆอีก จะมาเล่าเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ และอาหารการกินที่นี่ให้ได้อ่านกันเนอะ เพราะรูปของกินเต็มเลย ไม่รู้จะไปลงที่ไหนดี อิอิอิ
ปล2.พอดีมีหลายคนหลังไมค์เข้ามาเรื่องโรงเรียนสอนภาษาจีนค่ะ คือ จขกท เรียนภาษาที่ลำปางนะคะ พอดีบ้านอยู่ลำปางค่ะ
***********ขอบคุณที่รออ่านกันนะคะ ผิดพลาดอะไรขออภัยน๊า*************