จบอะไรก็เป็นครูได้ จบวิศวะ จบวิทยาศาสตร์ จบ (อะไรอีกมากมาย)
จะมาสอนเด็ก นักเรียน ก็ได้ เพราะมีความรู้มากกว่า
ใช่ค่ะ ไม่เถียงค่ะ ว่ามีความรู้มากกว่า และแน่นกว่าด้วย ประหนึ่งว่า เก่งกว่าครูที่จบสายนั้นโดยตรง
แล้วคุณมีความเป็นครูไหมคะ ถามตัวเองนะคะ มีมากแค่ไหน อดทนและเก็บอารมณ์ แก้ปัญหาเฉพาะหน้า และตัวบุคคล ทำได้ไหมคะ
1.มีความโอบอ้อมอารี (แบบที่ไม่ใช่เห็นแก่เงิน--ต้องได้เงินแล้วจะดูแลอย่างดี--) ครูหลายๆท่านทำงานในโรงเรียน พร้อมๆกับดูแลปัญหาต่างๆนานาของนักเรียนด้วยซึ่งมันเป็นตลอดระยะเวลา1ปีของนักเรียน แต่เป็นตลอดชีวิตของครู
2.มีความที่อยากจะเป็นแม่พิมพ์ ปั้นเด็กขึ้นมา และรู้สึกดีมากๆที่เด็กคนนั้นได้เป็นแบบที่ตัวเองปั้น และหรือ เป็นแบบที่เขาอยากจะเป็น ครูไม่ใช่เรือจ้าง แต่ครูเป็นศิลปิน ปั้นนักเรียนขึ้นมา ไม่ใช่ส่งถึงฝั่งแล้วจบ แต่ยังอยากเห็นอนาคตที่งดงามของเด็กอยู่ นั่นคือการข้ามฝั่งไป และกลับมาที่เดิมอย่างสง่างาม
3.มีความอดทนกับปัญหามากมาย ทั้งตัวเด็กเอง //การแก้ปัญหาต่างๆของเด็ก// ครอบครัวเด็ก// ชีวิตความเป็นอยู่//การใช้จิตวิทยาเข้ามาแก้ปัญหา การพูดคุยทำให้เด็กเเข้าใจและพร้อมที่จะเรียนรู้แก้ไขสิ่งผิดพลาดเหล่านั้น
4.คุณมีความหวังดีกับเด็กเสมอไหมคะ หวังดีทุกๆเรื่อง ยื่นสิ่งดีๆให้เสมอไม่เว้นเลย(เด็กดีๆจะรับไว้อย่างเข้าใจ)
5.คุณสามารถแยกอารมณ์ตัวเอง เมื่อเด็กมายั่วอารมณ์ของคุณ หรือ คุณสามารถเก็บอารมณ์ตรงนั้นได้หรือเปล่า คือคุณมีความเข้าใจในการเป็นครู หรือรับสภาพกับตรงนั้นได้มากน้อยแค่ไหนคะ
6.คุณสามารถรับมือกับเด็กที่มากวนคุณ/ขอความช่วยเหลือคุณ ในทุกๆเรื่องหรือเปล่า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้หรือแอบรำคาญ มาอีกแล้วหรอ งานการก็เยอะแยะ วุ่นวายจัง
7.คุณมีจิตวิญญาณที่จะทำมันออกมาจากใจจริง จากส่วนลึกๆในหัวใจ ที่อยากจะสร้างเด็กดีๆขึ้นมา หรือ มีความที่อยากจะเปลี่ยนเด็กคนหนึ่งให้ได้รับแต่สิ่งดีๆ การพร่ำสอนและมีความหวังกับเด็กคนนั้นอยู่เสมอ การช่วยเหลือที่มาจากใจจริงๆ คุณจะมีไหมคะ
จริงอยู่ค่ะ เรียนครูเพิ่มอีก 1 ปี
เพิ่มเติมความรู้ด้านการเป็นครู ภายหลังได้ แต่จิตวิญญาณ มันสร้างไม่ได้ภายในปีเดียวค่ะ
ยุคสมัยเปลี่ยน ต้องเปิดกว้างให้กับเรื่องแบบนี้
เรายังจำกันได้ไหมคะ ครูที่สอนเราตอน ป.1 ครูที่สอนให้หัดเขียน หัดอ่าน ครูที่ทำให้เราอ่านหนังสือออก มีระเบียบวินัยในตัวเอง ครูที่สร้างฝัน และส่งให้เราไปถึงฝัน เป็นครูสมัยก่อนเมื่อยังไม่มีสมาร์ทโฟน ครูที่อาวุโสในปัจจุบัน ท่านจะมีความเข้าใจเด็กที่สุด และมีความหวังดีให้เสมอ สอนให้มีระเบียบวินัย สอนให้ตรงต่อเวลา สอนให้อ่านออกเขียนได้ และยังเชื่อเสมอว่า ครูในสมัยปัจจุบัน ยังมีครูที่เหมือน
ครูในยุคก่อนมีสมาร์ทโฟน ยังมีอยู่ค่ะ แต่มันเหลือน้อยเต็มทีแล้ว จะมีใครบ้างคะ ที่อยากเป็นครูเพราะอยากเป็น อยากทำให้ได้เหมือนครูสมัยก่อน เพื่อให้เด็กสมัยนี้ได้รู้ว่าครูสมัยก่อน สอนเรามายังไง เราจะสอนต่อไปแบบนั้น เราจะยื่นสิ่งดีๆให้โดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน เราจะทำให้เด็กยุคนี้เห็น ....
เพราะมันไม่ใช่แค่จบอะไรมาก็เป็นครูได้
เพราะมันไม่ใช่แค่ให้คนเก่งๆมาสอน (จะได้พัฒนา)
เพราะมันไม่ใชแค่ให้ประเทศพัฒนา เราอยากห็นการพัฒนาในตัวบุคคลที่เราสร้างด้วย นั่นก็หมายความรวมถึงประเทศด้วย
เพราะมันไม่ใช่แค่นั้น เพราะเราไม่มองเห็นถึงความสำคัญจริงๆของแม่พิมพ์
น่าตลกนะคะ ที่วันครูที วันไหว้ครูที เราก็จะระลึกถึงบุญคุญที่ท่านได้ทำ
สิ่งที่ท่านเคยพร่ำสอน แค่วันนั้นวันเดียวจริงๆ ต่างประโคมข่าวแล้วก็เงียบไปในวันรุ่งขึ้น
จินตนาการถึงวันข้างหน้าไม่ถูก ว่าสังคมจะเป็นไปทางไหน ถ้าเอาคนที่จบอะไรมาก็ได้ มาเป็นครู นักเรียน อนาคตของชาติต้องเปลี่ยนไปแน่ๆ ลองจินตนาการเล่นๆก็ได้ค่ะ ครูที่ไม่ได้อยากเป็นครู มาสอนทีก็กั้กความรู้ (ไปเรียนพิเศษเอานะ เปิดสอนอยู่ ) เราอยากได้ยินคำแบบนี้กันไหมคะ หรือ เราต้องการครูที่ไม่รู้วิธีแก้ปัญหาการใช้จิตวิทยาเข้าช่วย การเป็นครูมันเพิ่มเติมภายหลังไม่ได้ค่ะ จิตวิญญาณนี่แหละของจริง เป็นสิ่งที่บอกอยู่ลึกๆภายใต้จิตสำนึกว่า อยากจะสร้างเด็กคนนึงให้เก่งและดีบวกกับการยื่นสิ่งดีๆให้เขาในแบบที่เด็กในยุคสมัยนี้ไม่มีโอกาสได้สัมผัสมันหรือมีโอกาสน้อยมากๆ
หรือเราต้องการครูที่มีงานรัดตัว ต้องแวบมาสอน แล้วไปสอนพิเศษ ไปทำงานตามสายที่เรียนมาด้วย
หรอเราต้องการครูที่นั่งจับแต่โทรศัทท์ อ่านพันทิปในเวลาสอน//เล่นไลน์//ของดสอนเพราะต้องไปแก้งานที่บริษัทด้วย
ไม่ใส่ใจเด็ก
เราต้องการแบบนั้นกันจริงๆหรอคะ
ปล.
1.ครูที่นั่งเล่นแต่โทรศัพท์หาได้มากมายในปัจจุบัน แต่ครูที่เข้าถึงและใส่ใจเด็กหายากเต็มที
2.ไม่ได้ค้านจบอะไรมาก็เป็นครูได้ แต่ขอค้านจิตใต้สำนึกของบุคคลเหล่านั้น
3.ทุกคนอยากให้ประเทศพัฒนาเช่นเดียวกัน (แต่การทำแบบนี้ ประเทศจะพัฒนาไปทางไหนกันน้อ)
4.ไม่อยากได้ยินคำว่า
ถ้าเก่งจะกลัวอะไร ขอโทษนะคะ กำลังสื่อว่า ไม่เก่งค่ะ แต่มีจิตวิญญาณ มีความต้องการ
การเป็นครูจากใจจริง
5.ถ้าประเทศเรามีแต่คนเก่ง ไม่มี คนดี(จิตสำนึกที่ดี)จะเป็นอย่างไรคะ
จบอะไรมาก็เป็นครูได้ นั่นคือการ สอนให้เด็กเก่ง
แต่จบครูมา แล้วเป็นครู นั่นคือการสอนให้เด็กดี
มันต่างกันมากๆค่ะ
แก้ไขเพิ่มเติมนะคะ กำลังจะบอกว่า คนที่จบสายอื่นๆที่ไม่ใช่ครู (ไม่ได้เลือกเรียนครูตั้งแต่แรก) ในความรู้สึกนั้น จะมีสักกี่คนคะ ที่อยากเป็น
ครูจากใจจริงๆ จากจิตวิญญาณน่ะคะ สอนคนได้ค่ะ ใครๆก็สอนได้ แต่ความหวังดีที่มีในใจจริงๆ คือ การเห็นความสำเร็จของลูกศิษย์ตั้งแต่ก้าวแรกจนถึงก้าวที่จบออกมาอย่างสง่างาม ....
ส่วนสำหรับคนที่ จบ ครูมา ก็ไม่มีอะไรการรันตี ว่า เขาคนนั้นจะเป็นครูที่ดี ที่อยากจะเป็นครูจริงๆ
สมมติเหตุการณ์นะคะ ในปีที่รับสมัครนักศึกษา ครุศาสตร์-ศึกษาศาสตร์ มีนักเรียนเข้ามาสมัคร 100 (รวมที่กลัวไม่มีที่เรียนแล้ว)
สอบข้อเขียน ผ่าน 90 คน
สอบสัมภาษณ์ ผ่าน 85 คน จาก 90 คนที่สอบข้อเขียนผ่าน
ในจำนวน 85 คน จะมีประมาณ 30 (หรือมากกว่า)
ที่ไม่ได้อยากเป็นครู แต่กั้กที่เรียนไว้ก่อน
และเมื่อเริ่มปี 1 รู้สึกว่ามันไม่ใช่ทาง และได้ซิ่วไป 10 คน จาก 85 คนที่สัมภาษณ์ผ่าน
ดังนั้น จะเหลือคนที่ขึ้นปี 2 จำนวน 75 คน (รวมที่ไม่ได้อยากเป็นครูด้วยแต่ลองเรียนดูก่อน)
ในระยะ ปี 2- 4/5 ปี จะมีคนที่หล่นไปกลางทางประมาณ 5 คน เหลือ 70 คน
เราไม่ปฎิเสธหรอกค่ะ ว่า ใน 70 คนนี้ มีจำนวนไม่น้อยที่ไม่ได้อยากเป็นครู และไม่มีจิตวิญญาณความเป็นครู จากใจจริงๆ
แต่เขา กลับ เรียน และพยามสอบให้ผ่าน ไปในทุกๆเทอม ซึ่งในเนื้อหาที่เรียน แน่นอน
มีวิชาที่บ่มความเป็นครูเยอะมาก ตลอดระยะ 4-5 ปีเลย
แม้แต่การฝึกสอน การลงสนามจริง การมองให้เห็นถึงปัญหาการศึกษา การแก้ปัญหา เยอะแยะมากมาย อาจจะมีคนที่รู้ซึ้ง และยอมรับว่า การเป็นครูมันก็ไม่ได้แย่ อาจจะมีคนที่อยากเปลี่ยนอนาคตของชาติ อยากสอนคนนนึ่งให้เป็นคนดี อาจจะมีคนที่เกิดแรงบันดาลใจ
และจาก 70 คน อาจจะมีคนที่อยากเป็นครูจริงๆอยู่แล้ว ประมาณ 20 คน บวกกับการที่อยากเป็นครู จากเนื้อหาที่ได้รับรู้ ได้เรียน ได้ทดลองมา 5-10 คน รวมๆแล้ว จาก 70 คน เรามีครูที่อยากเป็นครูจากใจจริงๆประมาณ 25-30 คน เหลือคนที่ยังไม่อยากเป็นครูแต่ก็ทนเรียน 35-40 คน
เราเรียนรู้อะไร จาก 35-40 คนที่เหลือ เราเรียนรู้ว่าเขาไม่ได้อยากเป็นครู เราเรียนรู้ว่าเขาอยากทำงานอย่างอื่น แล้วเขาจะมาเรียนครูทำไมคะ ทนทำไม 4-5 ปี มันทำให้ เกิดช่องว่าง
ที่กำลังถกเถียงกันมากมาย กับจบอะไรมาก็เป็นครูได้ อาจจะมีความเป็นครูมากกว่า จบครูมาก็ได้
ถ้าเขาไม่อยากเป็นครูจริงๆ เขาคงไม่พยามสอบมากมาย
1.จบมา สอบใบประกาศวิชาชีพ (ท้งที่เรียนมา 4-5 ปีแล้ว)
2.สอบบรรจุ
และมีให้สอบอีกเยอะแยะมากมาย ถ้าเขาไม่อยากเป็นครูจริงๆ เขาหยุดสอบตั้งแต่เรียนจบแล้วหล่ะค่ะ
ส่วนคนที่จบอะไรมา มาสอบใบประกอบวิชาชีพ
สิ่งที่คุณไม่มีคือเนื้อหาที่พยามบ่มเพาะให้คุณเป็นครูค่ะ ที่ไม่มีคือการฝึกสอน การลงสนามจริงระหว่างที่เรียนอยู่ คุณคงได้ฝึกงานตามสายของคุณเอง...
นั่นคือสิ่งที่คนที่อยากเป็นครูเขาเลือกที่จะเรียนครู
จากข้างต้น ได้สมมุติเหตุการณ์ตอนที่รับสมัครนักเรียนเข้าเรียน ปี 1 ลองคุณย้อนมองดูตัวเอง ตอนที่คุณตั้งใจเข้าเอกที่คุณเรียนมานะคะ ว่าเพราะอะไร ? ตอนนั้นคุณอยากเป็นครูหรือเปล่า ? แล้วเรียนๆไปคุณอยากมีความเป็นครูบ้างไหม
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้อยากเอาความรู้ตรงนี้ไปสอนคนอื่นจัง...
ตอกย้ำความต้องการของตัวคุณเองนะคะ ว่าคุณต้องการอะไรกันแน่ ที่คุณเรียนเอกนี้มา
หรือต้องการที่จะ จบมาเป็นติวเตอร์ได้เงินเดือนเยอะกว่าครูอีก คุณสอนเสร็จ เด็กกลับบ้าน
คุณได้ดูแลความรู้ในสองเขาอยู่แค่ช่วงหนึ่ง แล้วคุณก็ไม่ได้ดูต่อว่าชีวิตเขาไปทางไหน เป็นยังไง เจริญงอกงามไปขนาดไหนแล้ว หลงผิดไปหรือเปล่า
จบอะไรก็เป็น "ครู"ได้จริงๆหรอ แล้วจิตวิญญาณความเป็น "ครู" สร้างกันได้หรือไม่
จะมาสอนเด็ก นักเรียน ก็ได้ เพราะมีความรู้มากกว่า
ใช่ค่ะ ไม่เถียงค่ะ ว่ามีความรู้มากกว่า และแน่นกว่าด้วย ประหนึ่งว่า เก่งกว่าครูที่จบสายนั้นโดยตรง
แล้วคุณมีความเป็นครูไหมคะ ถามตัวเองนะคะ มีมากแค่ไหน อดทนและเก็บอารมณ์ แก้ปัญหาเฉพาะหน้า และตัวบุคคล ทำได้ไหมคะ
1.มีความโอบอ้อมอารี (แบบที่ไม่ใช่เห็นแก่เงิน--ต้องได้เงินแล้วจะดูแลอย่างดี--) ครูหลายๆท่านทำงานในโรงเรียน พร้อมๆกับดูแลปัญหาต่างๆนานาของนักเรียนด้วยซึ่งมันเป็นตลอดระยะเวลา1ปีของนักเรียน แต่เป็นตลอดชีวิตของครู
2.มีความที่อยากจะเป็นแม่พิมพ์ ปั้นเด็กขึ้นมา และรู้สึกดีมากๆที่เด็กคนนั้นได้เป็นแบบที่ตัวเองปั้น และหรือ เป็นแบบที่เขาอยากจะเป็น ครูไม่ใช่เรือจ้าง แต่ครูเป็นศิลปิน ปั้นนักเรียนขึ้นมา ไม่ใช่ส่งถึงฝั่งแล้วจบ แต่ยังอยากเห็นอนาคตที่งดงามของเด็กอยู่ นั่นคือการข้ามฝั่งไป และกลับมาที่เดิมอย่างสง่างาม
3.มีความอดทนกับปัญหามากมาย ทั้งตัวเด็กเอง //การแก้ปัญหาต่างๆของเด็ก// ครอบครัวเด็ก// ชีวิตความเป็นอยู่//การใช้จิตวิทยาเข้ามาแก้ปัญหา การพูดคุยทำให้เด็กเเข้าใจและพร้อมที่จะเรียนรู้แก้ไขสิ่งผิดพลาดเหล่านั้น
4.คุณมีความหวังดีกับเด็กเสมอไหมคะ หวังดีทุกๆเรื่อง ยื่นสิ่งดีๆให้เสมอไม่เว้นเลย(เด็กดีๆจะรับไว้อย่างเข้าใจ)
5.คุณสามารถแยกอารมณ์ตัวเอง เมื่อเด็กมายั่วอารมณ์ของคุณ หรือ คุณสามารถเก็บอารมณ์ตรงนั้นได้หรือเปล่า คือคุณมีความเข้าใจในการเป็นครู หรือรับสภาพกับตรงนั้นได้มากน้อยแค่ไหนคะ
6.คุณสามารถรับมือกับเด็กที่มากวนคุณ/ขอความช่วยเหลือคุณ ในทุกๆเรื่องหรือเปล่า [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
7.คุณมีจิตวิญญาณที่จะทำมันออกมาจากใจจริง จากส่วนลึกๆในหัวใจ ที่อยากจะสร้างเด็กดีๆขึ้นมา หรือ มีความที่อยากจะเปลี่ยนเด็กคนหนึ่งให้ได้รับแต่สิ่งดีๆ การพร่ำสอนและมีความหวังกับเด็กคนนั้นอยู่เสมอ การช่วยเหลือที่มาจากใจจริงๆ คุณจะมีไหมคะ
จริงอยู่ค่ะ เรียนครูเพิ่มอีก 1 ปี
เพิ่มเติมความรู้ด้านการเป็นครู ภายหลังได้แต่จิตวิญญาณ มันสร้างไม่ได้ภายในปีเดียวค่ะยุคสมัยเปลี่ยน ต้องเปิดกว้างให้กับเรื่องแบบนี้
เรายังจำกันได้ไหมคะ ครูที่สอนเราตอน ป.1 ครูที่สอนให้หัดเขียน หัดอ่าน ครูที่ทำให้เราอ่านหนังสือออก มีระเบียบวินัยในตัวเอง ครูที่สร้างฝัน และส่งให้เราไปถึงฝัน เป็นครูสมัยก่อนเมื่อยังไม่มีสมาร์ทโฟน ครูที่อาวุโสในปัจจุบัน ท่านจะมีความเข้าใจเด็กที่สุด และมีความหวังดีให้เสมอ สอนให้มีระเบียบวินัย สอนให้ตรงต่อเวลา สอนให้อ่านออกเขียนได้ และยังเชื่อเสมอว่า ครูในสมัยปัจจุบัน ยังมีครูที่เหมือน ครูในยุคก่อนมีสมาร์ทโฟน ยังมีอยู่ค่ะ แต่มันเหลือน้อยเต็มทีแล้ว จะมีใครบ้างคะ ที่อยากเป็นครูเพราะอยากเป็น อยากทำให้ได้เหมือนครูสมัยก่อน เพื่อให้เด็กสมัยนี้ได้รู้ว่าครูสมัยก่อน สอนเรามายังไง เราจะสอนต่อไปแบบนั้น เราจะยื่นสิ่งดีๆให้โดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน เราจะทำให้เด็กยุคนี้เห็น ....
เพราะมันไม่ใช่แค่จบอะไรมาก็เป็นครูได้
เพราะมันไม่ใช่แค่ให้คนเก่งๆมาสอน (จะได้พัฒนา)
เพราะมันไม่ใชแค่ให้ประเทศพัฒนา เราอยากห็นการพัฒนาในตัวบุคคลที่เราสร้างด้วย นั่นก็หมายความรวมถึงประเทศด้วย
เพราะมันไม่ใช่แค่นั้น เพราะเราไม่มองเห็นถึงความสำคัญจริงๆของแม่พิมพ์
น่าตลกนะคะ ที่วันครูที วันไหว้ครูที เราก็จะระลึกถึงบุญคุญที่ท่านได้ทำ
สิ่งที่ท่านเคยพร่ำสอน แค่วันนั้นวันเดียวจริงๆ ต่างประโคมข่าวแล้วก็เงียบไปในวันรุ่งขึ้น
จินตนาการถึงวันข้างหน้าไม่ถูก ว่าสังคมจะเป็นไปทางไหน ถ้าเอาคนที่จบอะไรมาก็ได้ มาเป็นครู นักเรียน อนาคตของชาติต้องเปลี่ยนไปแน่ๆ ลองจินตนาการเล่นๆก็ได้ค่ะ ครูที่ไม่ได้อยากเป็นครู มาสอนทีก็กั้กความรู้ (ไปเรียนพิเศษเอานะ เปิดสอนอยู่ ) เราอยากได้ยินคำแบบนี้กันไหมคะ หรือ เราต้องการครูที่ไม่รู้วิธีแก้ปัญหาการใช้จิตวิทยาเข้าช่วย การเป็นครูมันเพิ่มเติมภายหลังไม่ได้ค่ะ จิตวิญญาณนี่แหละของจริง เป็นสิ่งที่บอกอยู่ลึกๆภายใต้จิตสำนึกว่า อยากจะสร้างเด็กคนนึงให้เก่งและดีบวกกับการยื่นสิ่งดีๆให้เขาในแบบที่เด็กในยุคสมัยนี้ไม่มีโอกาสได้สัมผัสมันหรือมีโอกาสน้อยมากๆ
หรือเราต้องการครูที่มีงานรัดตัว ต้องแวบมาสอน แล้วไปสอนพิเศษ ไปทำงานตามสายที่เรียนมาด้วย
หรอเราต้องการครูที่นั่งจับแต่โทรศัทท์ อ่านพันทิปในเวลาสอน//เล่นไลน์//ของดสอนเพราะต้องไปแก้งานที่บริษัทด้วย
ไม่ใส่ใจเด็ก
เราต้องการแบบนั้นกันจริงๆหรอคะ
ปล.
1.ครูที่นั่งเล่นแต่โทรศัพท์หาได้มากมายในปัจจุบัน แต่ครูที่เข้าถึงและใส่ใจเด็กหายากเต็มที
2.ไม่ได้ค้านจบอะไรมาก็เป็นครูได้ แต่ขอค้านจิตใต้สำนึกของบุคคลเหล่านั้น
3.ทุกคนอยากให้ประเทศพัฒนาเช่นเดียวกัน (แต่การทำแบบนี้ ประเทศจะพัฒนาไปทางไหนกันน้อ)
4.ไม่อยากได้ยินคำว่า ถ้าเก่งจะกลัวอะไร ขอโทษนะคะ กำลังสื่อว่า ไม่เก่งค่ะ แต่มีจิตวิญญาณ มีความต้องการ การเป็นครูจากใจจริง
5.ถ้าประเทศเรามีแต่คนเก่ง ไม่มี คนดี(จิตสำนึกที่ดี)จะเป็นอย่างไรคะ
แต่จบครูมา แล้วเป็นครู นั่นคือการสอนให้เด็กดี
มันต่างกันมากๆค่ะ
แก้ไขเพิ่มเติมนะคะ กำลังจะบอกว่า คนที่จบสายอื่นๆที่ไม่ใช่ครู (ไม่ได้เลือกเรียนครูตั้งแต่แรก) ในความรู้สึกนั้น จะมีสักกี่คนคะ ที่อยากเป็นครูจากใจจริงๆ จากจิตวิญญาณน่ะคะ สอนคนได้ค่ะ ใครๆก็สอนได้ แต่ความหวังดีที่มีในใจจริงๆ คือ การเห็นความสำเร็จของลูกศิษย์ตั้งแต่ก้าวแรกจนถึงก้าวที่จบออกมาอย่างสง่างาม ....
ส่วนสำหรับคนที่ จบ ครูมา ก็ไม่มีอะไรการรันตี ว่า เขาคนนั้นจะเป็นครูที่ดี ที่อยากจะเป็นครูจริงๆ
สมมติเหตุการณ์นะคะ ในปีที่รับสมัครนักศึกษา ครุศาสตร์-ศึกษาศาสตร์ มีนักเรียนเข้ามาสมัคร 100 (รวมที่กลัวไม่มีที่เรียนแล้ว)
สอบข้อเขียน ผ่าน 90 คน
สอบสัมภาษณ์ ผ่าน 85 คน จาก 90 คนที่สอบข้อเขียนผ่าน
ในจำนวน 85 คน จะมีประมาณ 30 (หรือมากกว่า)
ที่ไม่ได้อยากเป็นครู แต่กั้กที่เรียนไว้ก่อนและเมื่อเริ่มปี 1 รู้สึกว่ามันไม่ใช่ทาง และได้ซิ่วไป 10 คน จาก 85 คนที่สัมภาษณ์ผ่าน
ดังนั้น จะเหลือคนที่ขึ้นปี 2 จำนวน 75 คน (รวมที่ไม่ได้อยากเป็นครูด้วยแต่ลองเรียนดูก่อน)
ในระยะ ปี 2- 4/5 ปี จะมีคนที่หล่นไปกลางทางประมาณ 5 คน เหลือ 70 คน
เราไม่ปฎิเสธหรอกค่ะ ว่า ใน 70 คนนี้ มีจำนวนไม่น้อยที่ไม่ได้อยากเป็นครู และไม่มีจิตวิญญาณความเป็นครู จากใจจริงๆ
แต่เขา กลับ เรียน และพยามสอบให้ผ่าน ไปในทุกๆเทอม ซึ่งในเนื้อหาที่เรียน แน่นอน มีวิชาที่บ่มความเป็นครูเยอะมาก ตลอดระยะ 4-5 ปีเลย แม้แต่การฝึกสอน การลงสนามจริง การมองให้เห็นถึงปัญหาการศึกษา การแก้ปัญหา เยอะแยะมากมาย อาจจะมีคนที่รู้ซึ้ง และยอมรับว่า การเป็นครูมันก็ไม่ได้แย่ อาจจะมีคนที่อยากเปลี่ยนอนาคตของชาติ อยากสอนคนนนึ่งให้เป็นคนดี อาจจะมีคนที่เกิดแรงบันดาลใจ
และจาก 70 คน อาจจะมีคนที่อยากเป็นครูจริงๆอยู่แล้ว ประมาณ 20 คน บวกกับการที่อยากเป็นครู จากเนื้อหาที่ได้รับรู้ ได้เรียน ได้ทดลองมา 5-10 คน รวมๆแล้ว จาก 70 คน เรามีครูที่อยากเป็นครูจากใจจริงๆประมาณ 25-30 คน เหลือคนที่ยังไม่อยากเป็นครูแต่ก็ทนเรียน 35-40 คน
เราเรียนรู้อะไร จาก 35-40 คนที่เหลือ เราเรียนรู้ว่าเขาไม่ได้อยากเป็นครู เราเรียนรู้ว่าเขาอยากทำงานอย่างอื่น แล้วเขาจะมาเรียนครูทำไมคะ ทนทำไม 4-5 ปี มันทำให้ เกิดช่องว่างที่กำลังถกเถียงกันมากมาย กับจบอะไรมาก็เป็นครูได้ อาจจะมีความเป็นครูมากกว่า จบครูมาก็ได้
ถ้าเขาไม่อยากเป็นครูจริงๆ เขาคงไม่พยามสอบมากมาย
1.จบมา สอบใบประกาศวิชาชีพ (ท้งที่เรียนมา 4-5 ปีแล้ว)
2.สอบบรรจุ
และมีให้สอบอีกเยอะแยะมากมาย ถ้าเขาไม่อยากเป็นครูจริงๆ เขาหยุดสอบตั้งแต่เรียนจบแล้วหล่ะค่ะ
ส่วนคนที่จบอะไรมา มาสอบใบประกอบวิชาชีพ สิ่งที่คุณไม่มีคือเนื้อหาที่พยามบ่มเพาะให้คุณเป็นครูค่ะ ที่ไม่มีคือการฝึกสอน การลงสนามจริงระหว่างที่เรียนอยู่ คุณคงได้ฝึกงานตามสายของคุณเอง... นั่นคือสิ่งที่คนที่อยากเป็นครูเขาเลือกที่จะเรียนครู
จากข้างต้น ได้สมมุติเหตุการณ์ตอนที่รับสมัครนักเรียนเข้าเรียน ปี 1 ลองคุณย้อนมองดูตัวเอง ตอนที่คุณตั้งใจเข้าเอกที่คุณเรียนมานะคะ ว่าเพราะอะไร ? ตอนนั้นคุณอยากเป็นครูหรือเปล่า ? แล้วเรียนๆไปคุณอยากมีความเป็นครูบ้างไหม [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ตอกย้ำความต้องการของตัวคุณเองนะคะ ว่าคุณต้องการอะไรกันแน่ ที่คุณเรียนเอกนี้มา
หรือต้องการที่จะ จบมาเป็นติวเตอร์ได้เงินเดือนเยอะกว่าครูอีก คุณสอนเสร็จ เด็กกลับบ้าน คุณได้ดูแลความรู้ในสองเขาอยู่แค่ช่วงหนึ่ง แล้วคุณก็ไม่ได้ดูต่อว่าชีวิตเขาไปทางไหน เป็นยังไง เจริญงอกงามไปขนาดไหนแล้ว หลงผิดไปหรือเปล่า