ไม่เบื่อกันบ้างเหรอครับ ONET GAT-PAT 7(9)วิชา ที่คะเเนนเรี่ยดิน เเถมการศึกษาไทยจะต่ำสุดใน ASEAN อยู่เล้ว

ทุกวันนี้ กระทรวงที่ใช้งบประมาณมากที่สุด คงไม่พ้น กระทรวงศึกษาธิการ ที่ใช้มาเกือบถึงร้อยละ 20 ของงบประมาณแผ่นดินในเเต่ละปี

เเล้วดูผลที่เราได้รับกลับมาสิครับ มากมายตามหน้าหนังสือพิมพ์เเละสื่อต่างๆ

-ยิ่งผลสอบ GAT-PAT ออกมาสิครับ
เอาปี 53ค่าเฉลี่ยน้อยยิ่งซะกว่าทิ้งดิ่ง ในมุมมองของผม ที่มีโอกาสได้สอบเอง

เเละทำคะแนนได้มากกว่าร้อยละ 90 ในGAT /ร้อยละ 70 ใน PAT1  / ร้อยละ 60 ใน PAT2(แบบปริ่มๆ T^T)  จากประสบการณ์ตรงนะครับ ข้อสอบPAT1มากกว่าร้อยละ 99 ก็ไม่ได้ออกเกินหนังสือกระทรวงสามารถเปิดชี้ได้เลยว่าใช้ความรู้ตรงไหนทำ เเต่นักเรียนส่วนใหญ่กลับถูกกรอกหูโดยทั้งกวดวิชาที่หวังมาใช้สูตรลัด(จัดรูปนิยามบท มาให้สวยๆท่องไปสอบ) ทำให้ไม่สามารถประยุกต์ได้เลย และ อาจารย์ที่โรงเรียนเองก็ไม่มีความสามารถพอจะสอนจามหนังสือกระทรวง ทำชีทขึ้นมาสอนเองตามหนังสือคู่มือหรืออะไรก็ตาม ทำให้ เด็กไม่มีความรู้ไปสอบ ผลที่ได้ก็คือคะแนนออกมาต่ำเตี่ยเรี่ยดิน
พาพันยิ้ม
เเละในปีนี้ ได้มีโอกาสเห็น คะแนน GATPAT เเละ9 วิชาสมัญที่ออก ก็ไม่ต่างจากสมัยผมสอบเลยแม้เเต่น้อย ทุกคนมองเห็นปัญหา เเต่กับไปโทษเด็ก โทษข้อสอบ โทษคนออกข้อสอบ(จากประสบการณ์ตรง กวดวิชาหลายๆที่ ก็ยุยงให้โจมตีเเต่ สทศ. คนออกข้อสอบว่าออกเกินบ้าง ห่วยบ้าง) เเต่ทุกคนกับละเลย ปัญหาสำคัญสุดอย่าง คนสอนเด็ก คนที่เราเรียกว่า"ครู"
FacepalmFacepalmFacepalmFacepalmFacepalm
-หากย้อนกลับไปซัก 50 ปีที่เล้วคนเรียนเก่งที่สุด จะเลือกเรียน2 อาชีพ คือ หมอ กับ ครู ใช่มั้ยครับ(พ่อเเม่เล่าให้ฟัง) ผลคือมีการเร่งผลิต อย่างหนัก ก่อตั้ง วิทยาลัยครูมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ราชพัฒ(สะกดไงไม่รู้ ขี้เกียจหา) มศว โรงเรียนครูต่างๆขึ้นมา เเพทย์ก็ยังคงผลิตเท่าเดิมเพื่อคุมคุณภาพไว้
-เเต่ทุกวันนี้(ย้อนกลับไปประมาณ 20ปี) คณะครูต่างๆ( ศึกษาศาสตร์ ครุศาสตร์) กลับกลายเป็นคณะที่คะเเนน เข้าต่ำสุดในมหาวิทยาลัยเช่น จุฬา เเล้วคนเหล่านนี้กลับมาสอนลูกหลายเรา เเล้วเเบบนี้เมื่อไหร่การศึกษาชาติเราจะพัฒนาหละครับ เเถมยังปิดโอกาสคนอื่นที่มีความสามารถพอด้วยใบประกอบวิชาชีพ  เเต่กับไม่มีการประเมินคุณภาพของอาจารย์เลยในด้านความรู้ มีเเต่มานั่งประเมิณผลงานนี่นั่น
จริงๆผมว่าเด็กคณะวิทยา หรือ อักษร ยังน่าจะมีความรู้ความเข้าใจมาสอนได้มากกว่าครุ เลยครับ สกิลการถ่ายทอดจำเป็นก็จริง เเต่ความรู้ความเข้าใจน่าจะสำคัญกว่านะครับ ไม่งั้นคงเป็น ควายสอยคนให้เป็นควายเป็นเเน่เเท้

ผมว่าได้เวลาปฏิรูปการศึกษาไทยได้เเล้วนะครับ ไม่ใช่การไปทำข้อสอบให้ง่ายลง เเต่ต้องเป็นการพัฒนาเด็กให้สูงขึ้น ในมุมมองผม นะครับจากการได้ศึกษา ในทั้งแบบเก่าที่เป็น passive lecture เเละ active learning แบบ problem based learning+small group discussion ทั้ง2 วิธียังมีข้อดีเเละข้อด้อยของมันเองครับ บวกกับ เทคโนโลยีสารสนเทศสมัยนี้ ก้าวหน้ามาก อะไรก็สามารถสืบคนได้จากฐานข้อมูลออนไลน์ต่างๆ เราเเทบไม่มีความจำเป็นเเล้วนะครับที่ ยังต้องใช้บุคคลากรด้อยคุณภาพเช่น ครูที่ขาดความรู้ความเข้าใจในบทเรียน เคยเป็นอดีตคนเรียนอ่อนที่สุดในห้อง

ในระดับมัธยม
อาจารย์เก่งๆมีมากมายหลายท่าน ติวเตอร์มีความสามารถหลายต่อหลายคน ทำไมภาครัฐไม่ทำการ live streaming หรือ archive video on demand ให้นักเรียนเลือกดูได้เอง ตามstyleการเรียนของนักเรียนที่เเตกต่าง การส่งคำถาม หรือข้อสงสัยก็ง่ายดายเพียงเเค่ปลายนิ้ว คนมีความสามรถมากมายเพียงพอที่จะเป็นconsultant ในข้อสงสัยต่างๆได้ ก็มีอยู่ไม่น้อย เเทนที่จะเงินไปเสียกับอะไรไร้สาระ ที่ขยันพุดขึ้นเป็นดอกเห็ดทุกวันในสมัยรัฐบาลที่ผ่านๆมา เอามาจ้างทำแบบนี้ดีกว่าครับ ผมว่า คนที่จะเป็นครูสอนเด็กได้ควรทำข้อสอบเอนท์ ได้มากกว่าร้อยละ 50 นะครับ เป็น minimum requirement นะครับ อาจารย์ที่มีอยู่การเป็นเเค่เจ้าหน้าที่อาจรู้สึกทำร้ายไปบ้างที่ก็น่าจะจำเป็นในการพัฒนาชาติครับ เเต่ที่เรายังต้องการครูที่มีเนื้อหนังจับต้องได้ ก็คงเป็นระดับประถมเเละอนุบาล อาจรวมถึง ม.ต้นบางส่วน

ปล.การใช้ active learning ผมไม่รู้ว่าการจัดการเรียนต้องทำไงมั่ง เเต่ผมชอบมากนะครับ ผมว่าจริงๆกระทรวงศึกษา ควรมาดูการจัดการเรียนการสอบแบบนี้ของคณะแพทย์เลยหละครับ(ขอแอบโปรโมท คณะนิดนึง รามา ครับ ได้ข่าวมารุ่น ปีpreclinic ประสบความสำเร็จในการใช้ active learning มากๆเลย)
ปล.2 ONET ได้ข่าวปีนี้ปัญหาเยอะ ผมว่าเราสนใจจุดยิบย่อยเกินไปมั้ยครับ 5555 จริงๆควรเอา ONET 5 วิชาหลักมาเป็นเกณฑ์จบการศึกษาด้วยนะครับ เอาซัก 45 %
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่