จขกท. เป็นเด็ก ม.5 ตาดำๆ และอยู่ในช่วงรับความกดดันจากกระทรวงศึกษาธิการค่ะ
จนบัดนี้ ก็ยังตกลงกันไม่ได้ ว่าในระบบการรับเข้ามหาวิทยาลัยนั้นยังต้องใช้คะแนนการสอบจากส่วนใดบ้าง
ทำให้เวลาในการเตรียมตัวของเด็ก ม.5 ทุกคนน้อยลงไปอีก
จะดีกว่าหรือไม่ หากเลื่อนการเริ่มระบบเอนทรานนี้ ออกไปอีก 1 ปี เพื่อความปลอดภัยของอนาคตของเด็ก
อีกประเด็นหนึ่งคือ..
ไม่เข้าใจเป็นอย่างมากว่า " ทำไมต้องเรียนไปเพื่อสอบ?? "
การเรียนรู้ นั้นเรียนไปเพื่อมีทักษะในการใช้ชีวิตใช่หรือไม่ ข้อสอบก็ควรออกมาเพื่อทดสอบความสามารถในการใช้ชีวิตใช่หรือไม่
การเรียนที่ยุ่งยากดังในปัจจุบัน ทำให้นักเรียนไม่เข้าใจว่าเรียนเรื่องนี้แล้วจะนำไปใช้ทำอะไร ?
ทำให้นักเรียนไม่อยากเรียน และหันหลังให้การศึกษาภายในโรงเรียนทันที
คุณครูที่มีจิตวิญญาณแห่งความเป็นครูในสมัยนี้หาได้ยากเต็มทน เพราะคุณครูก็ต้องทำผลงานส่งเบื้องบนเพื่อเลื่อนตำแหน่ง
และรายได้ต่อไป อีกทั้งบางโรงเรียนมีนโยบาย ให้นักเรียนทำอะไรที่ดีงามเพื่อสร้างภาพให้โรงเรียนตนเอง
คุณครูก็ต้องเป็นผู้ควบคุมนักเรียนอีกทอดหนึ่ง เป็นการเฟคต่อๆกันไป ไม่มีประโยชน์เลยแม้แต่น้อย
อย่างนี้แล้วครูจะเห็นความสำคัญของนักเรียนมากกว่าสิ่งอื่นได้อย่างไร
ครูเองก็ไม่มีเวลาทำสื่อการสอน บางท่านก็ไม่สอนนี้แหละปัญหาใหญ่
การเก็บคะแนนก็เป็นอีกเรื่องที่โหดสุดหิน ครูทุกคนด้วยความหวังดีอยากให้นักเรียนมีคะแนนครบทุกช่อง
สั่งงานอย่างกับเรียนอยู่วิชาเดียว แค่เรียนให้เข้าใจก็ยากแล้ว แต่ละวันของเด็กไทยจึงหมดไปกับการทำการบ้าน
ให้เสร็จก่อนกำหนด เวลาอ่านหนังสือทบทวนน่ะหรอ 555 คิดเอาเองแล้วกัน อย่างนี้แล้วเด็กควรหันไปพึ่งใครล่ะ?
" สถาบันกวดวิชา "
มีผุดขึ้นมามากมายเป็นดอกเห็ด มีหรือที่นักเรียนไม่ชอบ? เพราะเมื่อเราลงคอสเรียน
เริ่มชั่วโมงคือเริ่มสอน ลองนึกย้อนไปในโรงเรียน ไม่บ่นก็เข้าสอนช้า ใช่หรือไม่
เมื่อเด็กเหน็ดเหนื่อยจากการเรียนและทำการบ้านจนปวดสมอง การผ่อนคลายคือการหาความบันเทิงใส่ตัว
ยิ่งเครียดมาก ก็เหลวไหลได้มากเช่นกัน
ย้อนกลับมาที่เรื่องข้อสอบ... จขกท.ยังมองไม่เห็นความสำเร็จแห่งการศึกษาด้วยข้อสอบยากสุดหินแบบนี้
เพราะว่า คงต้องมีแต่เด็กเก่งเท่านั้นที่จะสามารถทำได้ เก่งแบบไหนล่ะ ? (ต้องมีทั้งเงินและเวลามากพอในการหาโจทย์มาทำ)
แล้วเด็กที่ไม่เก่งล่ะ ก็คือเด็กที่ไม่มีโอกาสไง เด็กพวกนี้มักถูกตัดหางปล่อยวัด เพราะสอบแข่งขันเข้า รร. ชื่อดังไม่ได้
ดังนั้นเด็กที่ได้ดี ได้รับการยกย่องคือเด็กที่จบจากสถาบันชื่อดัง (นี้คือเรื่องจริง อย่าโลกสวย)
มันสะท้อนให้เห็นว่า.. ประเทศไทยมุ่งพัฒนาเด็กอยู่แค่ไม่กี่พันคน จากไม่กี่สถาบัน
ยังมีเด็กด้อยโอกาสอีกมากมายที่พวกคุณเป็นคนตัดโอกาสเขาเอง
ดังนั้น ความผิดอยู่ใครหรือคะ ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่ประเทศไทยจะก้าวหน้าได้สักที การศึกษาและอนาคตของเด็ก
ไม่ควรจบลงด้วยการทุ่มเงินไปบำรุงบำเรอพวกท่าน หากจะให้เด็กอย่างดิฉันแนะนำ คงต้องเริ่มจากการให้พ่อแม่เลี้ยงลูก
แบบชาวตะวันตก คือให้เด็กมีความรับผิดชอบและรู้จักคิด แต่ก็ไม่เห็นแก่ตัว ไล่มาถึงสถาบันการศึกษา ปรับทีละเล็กละน้อย
ให้ใกล้เคียงกับแบบประเทศที่พัฒนาแล้ว ก็คงช่วยฟื้นฟูประเทศไทยได้มากทีเดียว
ใครมีทัศนะคติกับเรื่องนี้อย่างไร ร่วมพูดคุยกันได้นะคะ ขอบคุณค่ะ
การศึกษาไทย ดูยังไงก็ไปไม่รอดจริงหรือ ??
จนบัดนี้ ก็ยังตกลงกันไม่ได้ ว่าในระบบการรับเข้ามหาวิทยาลัยนั้นยังต้องใช้คะแนนการสอบจากส่วนใดบ้าง
ทำให้เวลาในการเตรียมตัวของเด็ก ม.5 ทุกคนน้อยลงไปอีก
จะดีกว่าหรือไม่ หากเลื่อนการเริ่มระบบเอนทรานนี้ ออกไปอีก 1 ปี เพื่อความปลอดภัยของอนาคตของเด็ก
อีกประเด็นหนึ่งคือ..
ไม่เข้าใจเป็นอย่างมากว่า " ทำไมต้องเรียนไปเพื่อสอบ?? "
การเรียนรู้ นั้นเรียนไปเพื่อมีทักษะในการใช้ชีวิตใช่หรือไม่ ข้อสอบก็ควรออกมาเพื่อทดสอบความสามารถในการใช้ชีวิตใช่หรือไม่
การเรียนที่ยุ่งยากดังในปัจจุบัน ทำให้นักเรียนไม่เข้าใจว่าเรียนเรื่องนี้แล้วจะนำไปใช้ทำอะไร ?
ทำให้นักเรียนไม่อยากเรียน และหันหลังให้การศึกษาภายในโรงเรียนทันที
คุณครูที่มีจิตวิญญาณแห่งความเป็นครูในสมัยนี้หาได้ยากเต็มทน เพราะคุณครูก็ต้องทำผลงานส่งเบื้องบนเพื่อเลื่อนตำแหน่ง
และรายได้ต่อไป อีกทั้งบางโรงเรียนมีนโยบาย ให้นักเรียนทำอะไรที่ดีงามเพื่อสร้างภาพให้โรงเรียนตนเอง
คุณครูก็ต้องเป็นผู้ควบคุมนักเรียนอีกทอดหนึ่ง เป็นการเฟคต่อๆกันไป ไม่มีประโยชน์เลยแม้แต่น้อย
อย่างนี้แล้วครูจะเห็นความสำคัญของนักเรียนมากกว่าสิ่งอื่นได้อย่างไร
ครูเองก็ไม่มีเวลาทำสื่อการสอน บางท่านก็ไม่สอนนี้แหละปัญหาใหญ่
การเก็บคะแนนก็เป็นอีกเรื่องที่โหดสุดหิน ครูทุกคนด้วยความหวังดีอยากให้นักเรียนมีคะแนนครบทุกช่อง
สั่งงานอย่างกับเรียนอยู่วิชาเดียว แค่เรียนให้เข้าใจก็ยากแล้ว แต่ละวันของเด็กไทยจึงหมดไปกับการทำการบ้าน
ให้เสร็จก่อนกำหนด เวลาอ่านหนังสือทบทวนน่ะหรอ 555 คิดเอาเองแล้วกัน อย่างนี้แล้วเด็กควรหันไปพึ่งใครล่ะ?
" สถาบันกวดวิชา "
มีผุดขึ้นมามากมายเป็นดอกเห็ด มีหรือที่นักเรียนไม่ชอบ? เพราะเมื่อเราลงคอสเรียน
เริ่มชั่วโมงคือเริ่มสอน ลองนึกย้อนไปในโรงเรียน ไม่บ่นก็เข้าสอนช้า ใช่หรือไม่
เมื่อเด็กเหน็ดเหนื่อยจากการเรียนและทำการบ้านจนปวดสมอง การผ่อนคลายคือการหาความบันเทิงใส่ตัว
ยิ่งเครียดมาก ก็เหลวไหลได้มากเช่นกัน
ย้อนกลับมาที่เรื่องข้อสอบ... จขกท.ยังมองไม่เห็นความสำเร็จแห่งการศึกษาด้วยข้อสอบยากสุดหินแบบนี้
เพราะว่า คงต้องมีแต่เด็กเก่งเท่านั้นที่จะสามารถทำได้ เก่งแบบไหนล่ะ ? (ต้องมีทั้งเงินและเวลามากพอในการหาโจทย์มาทำ)
แล้วเด็กที่ไม่เก่งล่ะ ก็คือเด็กที่ไม่มีโอกาสไง เด็กพวกนี้มักถูกตัดหางปล่อยวัด เพราะสอบแข่งขันเข้า รร. ชื่อดังไม่ได้
ดังนั้นเด็กที่ได้ดี ได้รับการยกย่องคือเด็กที่จบจากสถาบันชื่อดัง (นี้คือเรื่องจริง อย่าโลกสวย)
มันสะท้อนให้เห็นว่า.. ประเทศไทยมุ่งพัฒนาเด็กอยู่แค่ไม่กี่พันคน จากไม่กี่สถาบัน
ยังมีเด็กด้อยโอกาสอีกมากมายที่พวกคุณเป็นคนตัดโอกาสเขาเอง
ดังนั้น ความผิดอยู่ใครหรือคะ ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่ประเทศไทยจะก้าวหน้าได้สักที การศึกษาและอนาคตของเด็ก
ไม่ควรจบลงด้วยการทุ่มเงินไปบำรุงบำเรอพวกท่าน หากจะให้เด็กอย่างดิฉันแนะนำ คงต้องเริ่มจากการให้พ่อแม่เลี้ยงลูก
แบบชาวตะวันตก คือให้เด็กมีความรับผิดชอบและรู้จักคิด แต่ก็ไม่เห็นแก่ตัว ไล่มาถึงสถาบันการศึกษา ปรับทีละเล็กละน้อย
ให้ใกล้เคียงกับแบบประเทศที่พัฒนาแล้ว ก็คงช่วยฟื้นฟูประเทศไทยได้มากทีเดียว
ใครมีทัศนะคติกับเรื่องนี้อย่างไร ร่วมพูดคุยกันได้นะคะ ขอบคุณค่ะ