พระพุทธศาสนาในญี่ปุ่น ตอนที่ 6 : จุดเปลี่ยนของพุทธในสมัย “เฮอัน” กับ 2 ปรมาจารย์ “คูไค” และ “ไซโจ”

ใน 2 ตอนที่ผ่านมา เราได้พูดคุยกันถึงเรื่อง “7 วัดใหญ่ในนารา”

(ติดตามเรื่องราวที่ผ่านมาได้ที่...)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

ซึ่งแต่ละวัดมีความยิ่งใหญ่อลังการงานสร้างมาก
โดยส่วนใหญ่วัดที่เกิดขึ้นในสมัย “อะสุกะ-นารา” นั้น เป็นวัดที่สร้างโดยจักรพรรดิ
ขอสรุปพระพุทธศาสนาในสมัย “อะสุกะ-นารา” ไว้ดังนี้นะครับ

ในสมัย “อะสุกะ” การนับถือพระพุทธศาสนานยุคแรก เป็นการนับถือเป็น “เทพเจ้า” องค์หนึ่ง
และมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้ “ปกปักรักษาบ้านเมือง”
↓↓↓↓↓↓↓↓
ในยุคสมัยนี้มีการรวมตัวของ “พุทธ” และ “ชินโต” เข้าด้วยกัน
เป็นการผสมผสาน “แนวคิดเดิม” (ชินโต) เข้ากับ “แนวคิดใหม่” (พุทธ)
↓↓↓↓↓↓↓↓
มาถึงสมัย “นารา” การนับถือพระพุทธศาสนาเริ่มมีแนวโน้มมาทาง “การศึกษาภาคปริยัติ” เป็นหลัก
โดยมีแนวคิดของ 6 นิกายที่มาจากจีน เรียกว่า “นันโตะลกขุชู” 南都六宗
(พระพุทธศาสนา 6 นิกายแห่งเมืองหลวงทางใต้)

วิถีชีวิตของผู้คนในยุคนี้ ยังคงอยู่ร่วมกันโดยสันติ แม้จะมีความ “แตกต่างกัน “ ระหว่างแนวความคิด
ของ “พุทธ” และ “ชินโต”
หรือแม้กระทั่งแนวความคิดของ “พุทธ” ทั้ง 6 นิกายด้วยกันเอง
ก็ไม่ได้สร้างความ “แตกแยก” ให้เกิดขึ้นกับคนในบ้านเมือง

จนกระทั่ง…
พระภิกษุในยุคนั้น เริ่มเข้าไปมีอำนาจในทางการเมืองมากเกินไป
จนจักรพรรดิในยุคนั้น คือ จักรพรรดิ “คัมมุ” 桓武天皇
จักรพรรดิองค์ที่ 50 (พ.ศ.1280-1349, ค.ศ.737-806)
ได้เกิดวิตกพระทัยถึงอำนาจของพระภิกษุในยุคนั้นที่มีผลต่อการเมือง
เพื่อเป็นการลดอำนาจ จึงทำการย้ายเมืองหลวงและอำนาจการบริหาร
จาก “เฮโจเคียว” 平城京 (จ.นารา) ไปยัง “เฮอันเคียว” 平安京 (จ.เกียวโต)

ประกอบกับ…
แนวคำสอนของ นิกาย “หดโซชู” 法相宗 ที่มีรากฐานมาจากคัมภีร์ของนิกาย “โยคาจาร”
มีการกล่าวถึงบุคคลผู้ที่สามารถบรรลุธรรมได้และผู้ที่บรรลุธรรมไม่ได้



[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

จึงเป็นเหตุให้พระภิกษุ 2 รูป คือ ท่าน “คูไค” 空海 (พ.ศ.1317-1378, ค.ศ.774-835)
และท่าน “ไซโจ” 最澄 (พ.ศ.1310-1365, ค.ศ.767-822)



ได้เดินทางไปยังประเทศ “จีน” เพื่อศึกษาพระพุทธศาสนาและนำกลับมาสู่ “ญี่ปุ่น”
แต่ทว่า “พุทธ” ในยุคนั้น ไม่ได้เป็นพุทธอย่างที่เป็นในสมัย “อะสุกะ-นารา”
แต่เป็น “พุทธ” แบบ “วัชรยาน” 金剛乗
หรือที่ชาวญี่ปุ่นเรียกกันคุ้นปากว่า… “มิคเคียว” 密教



[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

พระภิกษุ 2 รูปนี้เองที่ต่อมาในภายหลังเป็นผู้ก่อตั้งนิกายใหม่ในญี่ปุ่น
ท่าน “ไซโจ” ก่อตั้งนิกาย “เทนได” 天台
และ
ท่าน “คูไค” ก่อตั้งนิกาย “ชินกง” 真言
(เครื่องหมายคำถาม…ลอยอยู่เหนือหัว  ^_^;)
ถ้ากล่าวเป็น “เขา” แล้วล่ะก็ อาจจะ “อ๋อ” เลยก็ได้
(หรืออาจจะมึนมากกว่าเดิม T^T)
เขาทั้ง 2 ลูกนี้คือ
“ฮิเอซัง” 比叡山“ และ โคยะซัง” 高野山
(“ซัง” 山 = “ภูเขา” ในภาษาญี่ปุ่น)
สำหรับรายละเอียดของ “ฮิเอซัง” และ “โคยะซัง” จะมาคุยกันในครั้งต่อไปนะครับ
ซึ่งทั้ง 2 แห่งนี้เป็น “มรดกโลก” และเพิ่งฉลอง “ครบรอบ 1200 ปี” มาหมาดๆ เมื่อปีที่ผ่านมา


วัด “เอนเรียวขุจิ” 延暦寺 เขา “ฮิเอซัง” 比叡山


วัด “คงโกบุจิ” 金剛峰寺 เขา “โคยะซัง” 高野山

อย่างที่กล่าวไว้แล้วในข้างต้นว่า
“พระพุทธศาสนา 6 นิกาย” โดยเฉพาะ
แนวคำสอนของ นิกาย “หดโซชู” 法相宗 ที่มีรากฐานมาจากคัมภีร์ของนิกาย “โยคาจาร”
มีการกล่าวถึงบุคคลผู้ที่สามารถบรรลุธรรมได้และผู้ที่บรรลุธรรมไม่ได้
แต่สำหรับ
นิกาย “เทนได” 天台 และ “ชินกง” 真言 นี้…ไม่มีเรื่องข้อจำกัดดังกล่าว
กล่าวคือ  “ทุกคนล้วนสามารถบรรลุธรรมได้ทั้งสิ้น”
นอกจากนี้
“พระพุทธศาสนา 6 นิกาย” เป็นการศึกษาในภาค “ปริยัติ” หรือ “ทฤษฎี”
มีการถกเถียงกันถึงเรื่อง “อภิปรัชญา” ที่ยากต่อการพิสูจน์และการปฏิบัติ
อย่างเช่น “นิพพาน” เป็น “สังขตธรรม” 有為法 หรือ “อสังขตธรรม” 無為法 เป็นต้น
ซึ่ง “ไม่ได้มีผลอะไรกับวิถีในการดำเนินชีวิตของชาวบ้านแม้แต่น้อย”
ว่ากันง่ายๆ …
”ชาวบ้านไม่ได้สนใจว่า พระจะมีความรู้มากมายเพียงใด
แต่…สนใจว่า พระจะสอนให้เขาดำเนินชีวิตให้ถูกต้องอย่างไร”
กอปรกับพระภิกษุในยุคนั้นเข้ามาพัวพันกับ “การเมือง”

ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ผู้คนเริ่มออกห่างจากแนวคิดและคำสอนของ “พระพุทธศาสนา 6 นิกาย”
จึงทำให้ผู้คนเริ่มออกห่างจาก “พระพุทธศาสนา 6 นิกาย”
และหันมานับถือพระพุทธศาสนานิกาย “เทนได” และ “ชินกง” เพิ่มมากขึ้น
และ
จากประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาที่มีมายาวนานกว่า 1500 ปีของญี่ปุ่น
สามารถกล่าวได้ว่า “เทนได” และ “ชินกง” นี้ เป็นตัวแทนของพุทธในสมัย “เฮอัน”

แต่อย่างไรก็ตาม
ท่าน “ไซโจ” และท่าน “คูไค” ก็ยังมีแนวความคิดบางอย่างที่ต่างกัน คือ

ท่าน “ไซโจ” เห็นว่า…
“พระภิกษุควรเป็นต้นแบบที่ดีงาม และใส่ใจกับการศึกษาทั้งภาคปริยัติ (ทฤษฎี) และภาคปฏิบัติ”
ท่าน “ไซโจ” ได้สั่งสอนกับศิษยานุศิษย์เช่นนี้เรื่อยมา
ผลที่เกิดขึ้นตามมาในภายหลัง คือ
มีศิษยานุศิษย์คนสำคัญหลายท่านมาศึกษาและปฏิบัติร่วมกันที่ “ฮิเอซัง” แห่งนี้
ซึ่งต่อมาศิษยานุศิษย์เหล่านี้ได้มีบทบาทสำคัญในสมัยถัดไป คือ “คามาคุระ” 鎌倉時代



ท่าน “คูไค” กลับมีความเห็นว่า...
“พระภิกษุควรเป็นผู้ที่เผยแผ่คำสอนของพระพุทธศาสนาออกไปให้กว้างขวาง”
ด้วยเหตุนี้ จึงมีวัดที่เกิดขึ้นจากท่าน “คูไค” จำนวนมาก
เฉพาะที่อยู่ในเกาะ “ชิโคขุ” 四国 (ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของ 4 จังหวัด)
มีอยู่ถึง 88 วัด ที่เรียกว่า “ฮะจิจูฮักกะโฉะ” 八十八ヶ所
ซึ่งต่อมาในภายหลังได้มีธรรมเนียมการจารึกแสวงบุญให้ครบทั้ง 88 วัดดังกล่าวด้วย


“ฮะจิจูฮักกะโฉะ” 八十八ヶ所 (88 วัด) ที่ท่าน "คูไค" ได้สร้างไว้รอบเกาะ "ชิโคขุ" 四国

จากเหตุการณ์ความเปลี่ยนแปลงของพระพุทธศาสนา
จากสมัย “อะสุกะ-นารา” มาสู่ “เฮอัน”
ทำให้เราเห็นว่า...
เมื่อใดพระภิกษุไม่ได้ทำหน้าที่ควรจะเป็น คือ แทนที่จะปฏิบัติธรรมและเผยแผ่ธรรมะไปสู่ผู้อื่น
แต่กลับเข้ามาพัวพันกับเรื่อง “การบ้านการเมือง” ซึ่งไม่ใช่วิสัยของสมณะ
และการถกเถียงกันเรื่อง “อภิปรัชญา” หรือ “ผลของการปฏิบัติ”
ย่อมเป็นเหตุให้ชาวบ้านเสื่อมศรัทธาและหันหน้าออกไปจากพระพุทธศาสนา

แต่ครั้นในสมัยต่อมา คือ “เฮอัน”
ทั้งท่าน “ไซโจ” และ “ท่านคูไค” เมื่อทั้ง 2 หันกลับมาสู่จุดที่ควรจะเป็น
คือการดำรงไว้ซึ่งข้อวัตรปฏิบัติของพระภิกษุ ได้แก่ “การฝึกฝนอบรมตน” และ “สั่งสอนผู้อื่น”
แม้ว่าท่านทั้ง 2 จะมีจุดที่เน้นต่างกันก็ตาม
แต่ก็ทำให้พระพุทธศาสนากลับมาเข้มแข็งอีกครั้งหนึ่ง


การ์ตูนญี่ปุ่น...ที่นำเรื่องราวของท่าน "ไซโจ" และ "คูไค" มาเป็นพล็อตในการเขียน

ในตอนต่อไป ก่อนที่เราจะก้าวไปสู่สมัย “คามาคุระ” 鎌倉時代
ซึ่งเป็นสมัยที่พระพุทธศาสนามีการเปลี่ยนแปลงไปอีกก้าวหนึ่ง
เราจะมาชมวัดที่สำคัญของ “โคยะซัง” 高野山 และ “ฮิเอซัง” 比叡山
ที่มีดีกรีถึง “มรดกโลก” กันก่อน
ส่วนว่า...จะมีความงดงามเพียงใด ?
โปรดติดตามตอนต่อไปนะครับ ^^
วันนี้ "ซาโยนาระ"
さようなら!



つづく


お待たせしました!
มาแล้วครับ สำหรับ...
พระพุทธศาสนาในญี่ปุ่น ตอนพิเศษ : “อิคคิว” ที่เราเห็น VS “อิคคิว” ที่ท่านเป็น (1)
http://pantip.com/topic/34955005
ติดตามกันนะครับ ^^
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่