คิดวิปลาส

กระทู้สนทนา
==========
คิดวิปลาส
==========

เป็นเรื่อง ของคนคิดมาก ชนิดที่ท่านอาจไม่เคยเห็นใครคิดมากขนาดนี้มาก่อน
เหตุการณ์ ตัวละคร ฉาก เป็นเรื่องสมมุติเท่านั้น ถ้าบังเอิญไปตรงกับเรื่องราวในชีวิตจริง ของท่านใด
เป็นเพียงความบังเอิญเท่านั้น

: Psycho G
   


             ผมไม่ได้บ้า
            อย่างน้อยตัวของผมเองก็ยืนยันกับตัวของผมเองอย่างแน่ใจ


            จ้างให้เท่าไรผมก็ไม่ได้บ้า แต่พวกหมอและตำรวจพวกนั้นเข้าใจผิดกันไปเอง สรุปไปง่าย ๆ แบบเออออห่อหมกเอง  เหมือนกับผู้หญิงบางคนชอบคิดเองเออเองและก็อยู่กับความเชื่อของตัวเองอย่างแกะไม่ออก และผมไม่เคยทำอะไรร้ายกาจรุนแรงเลยสักนิด

            ความจริงผมไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าการเอามีดทำครัวจัดการกับเพื่อนรักและภรรยาซึ่งบังเอิญนอนอยู่บนเตียงนอนของผมด้วยกันอย่างไม่ตั้งใจเท่านั้น ไม่มีทางเป็นไปได้ว่าพวกเขาจะจงใจทำเรื่องไม่ดี

            มันก็แค่เรื่องบังเอิญเล็กน้อย... ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น.... บังเอิญว่าผมกลับบ้านเร็วกว่าปกติไปแค่สามชั่วโมงจึงบังเอิญเห็นเหตุการณ์ที่ไม่อยากเห็น  ตำรวจโผล่มาในขณะผมกำลังนั่งเหม่อลอยอยู่ท่ามกลางกองเลือด กลิ่นเลือดคละคลุ้งไปทั้งห้องฉุดลากความคิดให้ผมดื่มด่ำลงไปในอารมณ์ที่ไม่เคยแม้จะคิดว่าจะมีโอกาสสัมผัส ในวันนั้นเองมุมมองและโลกทัศน์ของผมเปลี่ยนไป ความกระทบกระเทือนจิตใจระดับสูงเลยขีดจำกัดเริ่มทำให้ผมมองเห็นสายธารแห่งกาลเวลาไหลผ่านไปอย่างเรื่อยเอื่อยเลือดเย็น กัดกินทุกสิ่งทุกอย่างแม้แต่ตัวมันเอง และมันกำลังเฝ้ามองจ้องมาด้วยสายตาของอสรพิษมุ่งร้ายจะพุ่งเข้าฉกเหยื่อ ได้ยินพวกหมอแอบนินทาว่าผมเป็นล้มละลายทางสติปัญญาและมีความคิดผิดปกติ

             ไอ้พวกบ้า....!!!

            พวกหมอ พวกตำรวจนั่นล่ะบ้า..!

            พวกเขาเอาผมมาขังไว้ในห้องแสนคับแคบตำรวจต้องการแน่ใจว่าผมไม่ได้เสียสติเพื่อว่าจะจัดการเรื่องให้มันง่ายขึ้น ทนายฝ่ายผมกำลังพยายามทำอะไรบางอย่างในการทำให้ผมกลายเป็นคนบ้าสมบูรณ์แบบในสายตาของศาล แต่ผมไม่สนใจเรื่องพวกนั้นหรอก ผมมีความสุขดีในโลกแคบไม่ยินดียินร้ายกับอะไรทั้งนั้น

            ในห้องมีเตียงขนาดเล็ก และห้องน้ำในตัว พวกเขาเรียกว่าห้องบำบัด แต่ผมเรียกว่าห้องนอนเปี่ยมสุขส่วนตัว อาจมีคนเสนอหน้า มองเข้ามาทางช่องกระจกด้านบนประตูบ้างเป็นครั้งคราว แต่ก็ช่างหัวพวกมัน อยากดูอยากศึกษาอะไรก็ช่างประไร ไอ้พวกสอดรู้สอดเห็นเรื่องของคนอื่น แบบนี้น่าจะจับไปดูหนังเรื่อง แอบดูเป็นแอบดุตาย เสียให้หายบ้า

            ผมไม่จำเป็นต้องดูทีวี ฟังวิทยุ หรืออ่านอะไรทั้งนั้น

            เพราะผมดูตัวเอง ฟังตัวเอง อ่านใจตัวเอง สนุกมีสีสันกว่ากันเยอะ

            นึกถึงวันเกิดเหตุ .... มันก็ดูไม่มีอะไรพิเศษไปกว่าวันอื่นเท่าไร นอกจากการกลับบ้านในตอนเที่ยงแทนที่จะเป็นตอนเย็น เพราะต้องการให้ภรรยาตื่นเต้นกับของขวัญวันเกิดที่ใช้เวลาเก็บเงินหลายเดือน แต่ก็อย่างว่าล่ะครับ พวกเราตื่นเต้นแปลกใจกันทั้งสามคนโดยไม่นัดหมาย

           เลือดและความตายจากเพื่อนรักและคนรัก ทำให้ประสาทชาด้านสับสนจับต้นชนปลายไม่ถูก ทุกอย่างเวิ้งว้างเลื่อนลอยเหมือนความฝันยาวนาน จนชวนให้คิดว่าเหตุการณ์ดังกล่าวไม่เกิดขึ้นจริง อาจเป็นเพียงแต่ความฝัน คนดีและสุภาพเรียบร้อยอย่างผมไม่มีสายเลือดแห่งฆาตกร บางทีเรื่องพวกนั้นผมอาจนึกฝันจินตนาการขึ้นมาเองก็ได้ แต่ในที่สุดผมก็แน่ใจว่าพวกเขาตายไปแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย สีหน้าท่าทางอันเต็มไปด้วยความตื่นตกใจทรมานของพวกเขายังสว่างกระจ่างชัดในความทรงจำ

            ระยะหลังพอคิดถึงเรื่องนี้ทีไร หัวใจของผมจะเต้นแรงเลือดลมพลุ่งพล่าน

            ทั้งเพื่อนและภรรยาต้องตายไปอย่างแน่นอน

            ถ้าไม่ตายก็เป็นเรื่องตลกโหด พวกเขาอาจฟื้นขึ้นมาจากความตายเหมือนหนังสยองขวัญ คนหนึ่งเดินโซเซไปมาพลางเอามืออุดลำคอขาดวิ่นออกตามล่าตัวฆาตกร อีกคนเดินเอามือกุมท้องซึ่งอวัยวะบางส่วนถูกกินด้วยสุนัขจรจัดข้างถนน เดินตามหลังมาในสภาพเลือดท่วมตัว ท่ามกลางหมอกควันลอยปกคลุมและความหนาวเย็น คงจะเป็นภาพอันน่าดูเหลือเกิน

            แน่นอนว่าพวกเขาคงไม่เดินโทงๆ ตามถนนอย่างสง่าผ่าเผย คงต้องหลบซ่อนในเวลากลางวัน เพื่อหลบสายตาผู้คน และออกเดินทางในเวลากลางคืน มุ่งหน้าออกมาจากสถานที่เก็บศพ ตรงมายังบ้านของผมเพื่อล้างแค้น

            นึกแค่นี้ผมก็อดหัวเราะออกมาอย่างสมน้ำหน้าไม่ได้ เสียงหัวเราะเริ่มดังขึ้นจนต้องเอามืออุดปากตัวเองเอาไว้จนร่างไหวสะท้าน  ..ถ้าเป็นเรื่องจริงต้องน่าขำหัวเราะแทบขาดใจ ซอมบี้เน่าสองตัวเดินทางไกลเพื่อจะพบกับบ้านอันว่างเปล่า ถ้าจะเดินมายังสถาบันบำบัดทางจิตคงต้องใช้เวลาเป็นเดือน จนพวกเขาคงย่อยสลายเน่าเปื่อยผุพังระหว่างการเดินทางยาวนานไปเสียก่อน

            เจ้าหน้าที่คนหนึ่งคงบังเอิญ มองผ่านช่องกระจกเล็กหน้าประตู เขาส่ายหน้าเหมือนจะบอกว่า ไอ้หมอนี่บ้าสมบูรณ์แบบ จู่ๆ ก็หัวเราะคนเดียว...แต่ช่างหัวมัน!

            นึกภาพต่อไปอย่างมีความสุข....สมมุติว่าสองผีตายซากเดินทางไปจนถึงบ้านของผมโดยสวัสดิภาพ พวกเขาคงต้องประหลาดใจและผิดหวังอย่างหนัก เมื่อพบว่าห้องว่างเปล่า บ้านว่างเปล่าเพราะสิ่งของทั้งหลายถูกขนย้ายออกไปจนหมดสิ้น ญาติพี่น้องและตัวผมเองไม่ต้องการจะใช้ชีวิตอยู่กับความทรงจำเปื้อนเลือด

             พวกเขา...ซอมบี้ผู้น่าสงสารคงมองหน้ากันและปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรต่อไป แน่นอนว่าพวกเขาไม่มีทางนึกออกเด็ดขาด สิ่งที่รอคอยพวกเขาอยู่หลังความเพียรพยายามเดินทางมายาวนานและเหน็ดเหนื่อยคือความว่างเปล่า… และคงไม่น่าประหลาดใจเลยถ้าพวกเขาจะสูญเสียพลังร่างกายและจิตใจไร้เรี่ยวแรงจนล้มลงฟาดพื้นกลายเป็นศพเก่าเน่าผุพังอยู่กลางห้อง แม่บ้านผู้คอยดูและความสะอาดเปิดประตูเข้ามาเห็นคงสติแตกในตอนสายของวันนั้น

             นึกถึงสีหน้าตกใจของแม่บ้านแล้วก็ต้องหัวเราะออกมาเสียงดัง

             ควรจะตั้งชื่อเหตุการณ์นี้ว่าอย่างไรดีนะ....ศพสิ้นหวัง...หรือ ความสิ้นหวังหลังความตาย...หรือรุ่งอรุณแห่งความสิ้นหวัง...กันดีนะ

             มันเป็นความโชคดีของผมกรณีเจ้าหน้าที่พาตัวผมมาอยู่ในสถาบันทางจิต เพราะซากศพเน่าผุพังพวกนั้นไม่มีทางเดินมาถึง มันเป็นระยะทางไกลเกินไป   ผมจึงมีเวลานั่งนึกดูว่าถ้าผมเก็บศพของทั้งสอง ควรซ่อนหรือทำลายหลักฐานให้ดี บางทีผมก็ยังสามารถใช้ชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างเป็นปกติสุข วิธีการกำจัดศพก็มีมากมายให้ดูให้ศึกษา ทั้งจากหนังสือ จากข่าวต่างๆ มีคนทำให้เห็นเป็นตัวอย่างมากมาย เช่นอาจจะเอาทั้งสองซ่อนในผนังโดยก่อผนังอิฐทับอีกชั้นหนึ่ง หาภาพสวยๆมาปิดผนัง  แน่นอนว่าผมจะต้องตรวจดูให้แน่ใจว่าไม่มีแมวดำบังเอิญหลุดเข้าไปหลังกำแพงด้วยแบบในนิยายเขย่าขวัญ หรือเอาไปโยนลงบ่อน้ำก็พอได้ แต่อาจมีปัญหาตอนดูทีวีเพราะไม่แน่ใจว่าจะมีผีผมยาวคลานออกมาทางจอทีวีหรือไม่

             แค่คิดก็น่าตื่นเต้นแล้ว บางคืนผมอาจพาผู้หญิงคนอื่นมานอนค้างคืนในห้อง ให้พวกซากศพหลังกำแพงอิฐคงพากันจ้องมองผ่านคอนกรีตอันหนาทึบอย่างทุรนทุราย หรือบางคืนอาจนอนฟังเพลงเบาๆ ให้พวกเขาอิจฉาเล่น

            จะใช้เวลากี่ปีกี่ชาติที่ซากศพพวกเขาจะสลายกลายเป็นฝุ่น หรือจนกว่าจะมีการรื้อบ้านเพื่อเปิดเผยร่องรอยฆาตกรรม แน่นอนว่าผมคงเผ่นไปที่อื่นนานแล้วหรือไม่ผมก็อาจตายหนีคดีความเรียบร้อย

            หากเพื่อนฝูงมีโอกาสมาเยี่ยมเยือน คงชื่นชมกับภาพเขียนบนผนังโดยหารู้ไม่ว่าเบื้องหลังมีซากศพกำลังจ้องมองผ่านดวงตาอันเน่าเปื่อยผุพัง  ผมแน่ใจว่าคงจะนอนอย่างมีความสุข ไม่เงียบเหงาอ้างว้างอีกต่อไป แน่ล่ะ...คนหนึ่งเป็นคนรัก อีกคนหนึ่งเป็นเพื่อนแท้ จะเงียบเหงาได้อย่างไรเมื่ออยู่กับพร้อมหน้าพร้อมตากันขนาดนี้ คุณว่าไหม.....?

            บางทีพวกเขาอาจจะพูดคุยกันแผ่วเบาอย่างมีเลศนัย กลัวว่าจะมีคนได้ยิน ซึ่งความจริงแล้วพวกเขาไม่เห็นต้องกลัวระแวงอะไรเลย คนตายไปแล้วยังจะกลัวหรือกังวลใจอะไรอีก

            แต่เสียงพึมพำของพวกนั้นจะต้องรบกวนสมาธิในการเขียนหนังสือเหลือเกิน บางทีเหมือนพวกเขากำลังหัวเราะเยาะอยู่ในลำคอ จนอดไม่ได้ที่จะต้องเดินไปเอามือทุบผนังแรงๆ หลายครั้ง

            “เบาๆ หน่อยสิ พวกคุณ ผมไม่มีสมาธิเขียนหนังสือแล้ว”

             ผมคงต้องตะโกนใส่ผนังเหมือนคนบ้าเพื่อตักเตือนพวกเขา แล้วเสียงรบกวนก็เงียบหายไป แต่เป็นความเงียบดูมีเล่ห์เหลี่ยมและชั้นเชิงอันคาดเดาไม่ได้ บางทีพวกเขาอาจต้องการแก้แค้นอยู่ก็เป็นได้

            แต่ขณะกำลังเคาะผนัง ผมอาจจะสังเกตเห็นว่าผนังมีรอยแตกจางๆ เหมือนอะไรบางอย่างกำลังจะทะลุออกมา ตอนแรกผมก็ไม่ใส่ใจนัก แต่วันต่อมารอยนั้นก็เปลี่ยนเป็นรูเล็กๆ และขยายใหญ่ทุกวันจนกลายเป็นโพรงบนผนัง เมื่อมองเข้าไปก็พบแต่ความมืดและกลิ่นเน่าเหม็นโชยออกมา

            มันชักจะแปลกเกินไปแล้ว และแน่นอนว่าการค้นพบครั้งนี้ข่าวจะไม่รั่วไหลออกไปถึงแม่บ้านคนดูแลตึกเด็ดขาด เพราะมันเป็นการเชื้อเชิญแขกผู้มีเกียรติมาจากสถานีตำรวจโดยไม่จำเป็น ดังนั้นผมจึงเลือกวิธีไปซื้อปูนขาวราคาถูก มาจัดการกับโพรงลึกลับ และจัดการปิดทับอีกทีด้วยภาพดาราสาวสุดเซ็กซี่คนโปรดในชุดนุ่งน้อยห่มนิด

            หลังจากจบงานอันเหน็ดเหนื่อย ผมแวะไปซื้ออาหารสองสามอย่างจากแผงลอยข้างถนน ทักทายคนดูแลตึกสองสามคำพอเป็นพิธีและมารยาท ก่อนขึ้นมาบนห้องปิดประตูฉลองผลงานของตัวเองคนเดียว

            อากาศค่อนข้างเย็น แต่ผมยังเดินไปเปิดหน้าต่างรับลมเย็น ด้านนอกมืดแล้ว แต่ชีวิตของผู้คนยังดำเนินต่อไปไม่หยุดยั้ง บนถนนยังคงพลุกพล่านเต็มไปด้วยยวดยานพาหนะ แท่งสี่เหลี่ยมซึ่งติดไฟสว่างราวหอคอยเมืองคอนกรีต กักขังชีวิตผู้คนมากมาย ไกลออกไปห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ซึ่งมีประตูทางเข้าเป็นเหมือนปากขนาดยักษ์กำลังกลืนกินผู้คน ดูดรีดเค้นเอาทรัพย์สินเงินทองออกมาแทบหมดตัวแล้วคายกลับออกมาในสภาพคนบ้าหอบฟาง

             ชีวิตพวกเขาจะเป็นอย่างไรกันบ้างนะ...ทุกข์สุขของแต่ละคนต้องเผชิญ ยิ่งคิดยิ่งปวดหัว ผมหันกลับมา จัดการกับอาหารมื้อค่ำอย่างเงียบเชียบ ใช่..มันเงียบเกินไป ผมหันไปยังเครื่องเสียงมุมห้อง วางแผ่นซีดีเพลงโปรดลงไป เครื่องเล่นซีดีส่งเสียงครวญครางเหมือนคนใจขาดก่อนจะสำลักแผ่นออกมาอย่างรีบร้อน

            “ไอ้เครื่องเฮงซวย..”

            ผมสบถให้กับความอัปลักษณ์ของเจ้าเครื่องผลิตเสียง นึกจะเสียก็ไม่บอกล่วงหน้า ไม่เป็นไร ฟังเพลงจากวิทยุก็ได้

            แต่เสียงที่ดังออกมาจากลำโพงทั้งสองตู้มีแต่เสียงแปลกประหลาดจับใจความไม่ได้ บางครั้งมันแหบโหยต่ำพร่า บางครั้งหวีดหวิวเหมือนเสียงร้องผ่านประตูนรกและหลุมฝังศพอันหนาวเย็น รวมทั้งเสียงซ่าเหมือนกับรับคลื่นไม่ชัดแทรกมาเป็นระยะ

            ลองใช้วิธีการรักษาอาการรวนของเครื่องใช้ไฟฟ้าเบื้องต้น โดยการเคาะแรงๆ สามสี่ครั้ง แต่เสียงนั้นยังคงดังอยู่

            มันชักจะมากเกินไปแล้วนะ..ผมคำรามในใจ จัดการปิดเจ้าเครื่องเสียงราคาพอประมาณเพื่อให้พ้นจากเสียงอันน่ารำคาญ  ก็ได้...ก็ได้...ฉันไม่ง้อแกก็ได้

             แต่แล้วผมก็ยืนตัวแข็ง เมื่อหูยังได้ยินเสียงแปลกประหลาดเหมือนเดิม หันไปมองอย่างไม่แน่ใจ แต่สองตายังเห็นชัดว่าไฟหน้าปัดเครื่องเสียงดับลงหมดแล้ว .....หมายถึงอาการหลับสนิทปิดเรียบร้อยของมัน เสียงหวีดหวิวผสมกับกลิ่นแปลกๆทวีมากขึ้นทุกที มันเหมือนกลิ่นธูปซึ่งปักวางอยู่ในงานศพ ทันใดนั้นเองผมก็รู้สึกขึ้นมาอย่างทันทีทันใด เสียงและกลิ่นพวกนั้นไม่ได้มาจากลำโพงเครื่องเสียง แต่มันมาจากผนังห้อง




            .............................
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่