ชีวิตในรั้วแดง กำแพงเหลือง

กระทู้สนทนา
การเป็นเด็กวัด ใครๆก็จินตนาการไปแล้ว ว่าการเป็นเด็กวัดนั้น ต้องดูขมุกขมัว ต้องกินข้าวก้นบาตร ต้องเดินตามพระ
ต้องเรียนกับพระ และต้องทำอะไรอีกหลายๆอย่างแบบในละครหลังข่าว บางคนไม่ภูมิใจกับการเป็นเด็กวัดแถมอายด้วยซ้ำที่ใครๆรู้ว่าเรียนจบมาจากที่วัด
ผิดกับเด็กวัดอย่างเราที่จะขอพูดถึงชีวิตในวัยเด็กช่วงหนึ่งของผู้เขียน เราเป็นเด็กวัดก็จริงแต่เราก็ภูมิใจที่จบจากที่นี่ ได้รับการศึกษาจากที่นี่ ต้องขอขอบคุณครูบาอาจารย์ทุกท่านและพระอาจารย์ทุกรูปที่บ่มสอนพวกเรามา

ก้าวแรกในรั้วแดงกำแพงเหลือง

    วันแรกของการไปโรงเรียนที่นี่ ใช่แล้ว รั้วต้องแดงและกำแพงต้องสูง ใช่ มันสูงมากๆเมื่อเทียบกับความสูงอันน้อยนิดของเด็กผู้หญิงตัวกะจิดริดอย่างฉัน ถึงจะเคยมาสอบข้อเขียน สัมภาษณ์และนั่งสมาธิไปแล้วสามวันสามคืน แต่ก็ใช่ว่าจะคุ้นเคยกันสักทีเดียว
เท่าที่จำได้ทางโรงเรียนจัดให้มีการทดลองอยู่หอพักก่อนสองอาทิตย์หรือหนึ่งเดือนอันนี้ก็จำไม่ได้ แหม ก็สิบกว่าปีแล้วนะ
จากวันแรกจนถึงวันนี้ที่นั่งพิมพ์อยู่ ที่ทางโรงเรียนให้มีการทดลองอยู่หอพักก่อนนั้น เพื่อที่จะให้เด็กดูว่าตนเองสามารถที่จะอยู่ได้หรือเปล่า
มันก็ดีสำหรับบางคนนะ ที่คิดว่า ฉันอยู่ได้แน่ๆ ฉันอยากเรียนที่นี่ พ่อแม่บ้างก็บอกว่าที่นี่น่าเรียน แต่ถ้าตนเองไม่ได้สัมผัสจริงๆ คงไม่รู้หรอกว่าตัวเราเองนั้นชอบหรือเปล่า อยู่ได้ไหม ต้องตื่นมาสวดมนต์ตอนเช้าตรู่ บทสวดก็แสนจะยาว กว่าจะจบสับปงกแล้วสับปงกอีก แต่พวกเราก็ผ่านมาได้ ใช่ ช่วงระยะเวลาสั้นๆนั้น มันสนุกดีนะ ฉันก็เลยตัดสินใจที่จะมาเป็นเด็กวัดที่นี่แล้วหละ
    เปิดเทอมวันแรก ผู้ปกครองมาส่งได้ใต้หอเท่านั้น หลังจากนั้นต้องกลับบ้านไป เด็กๆต้องเก็บกระเป๋าลากเข้าห้องเอง
ฟังดูเหมือนลากกระเป๋าเข้าบ้านเอเอฟเลย พ่อแม่ไม่ต้องห่วงเลยว่าลูกๆจะไม่มีคนดูแลและไม่ปลอดภัย หอพักที่นี่จะแยกหอหญิงและหอชายเป็นสัดส่วน
ตึกสีเหลืองสามชั้นเป็นรูปตัวยูแยกเป็นสัดส่วนพร้อมมีลูกกรงตาข่ายเหล็กล้อมรอบอีกต่างหาก คนอื่นที่มาส่งคงคิดว่าที่นี่ดูเหมือนคุกก็ว่าได้ ใครๆก็พูดแบบนั้น
ไอ้ตัวเรานั้นก็เป็นเด็กที่ไม่เคยอยู่ห่างจากแม่เลยก็ว่าได้ แม่มาส่งที่ตีนบันไดหอพัก ยังจำความรู้สึกได้เลยว่า มันโหวงเหวงแบบบอกไม่ถูก
แม่ก็ร้องไห้ เราก็ร้องไห้ ต่างคนต่างร้องแต่ก็ต้องแยกกันเดินไปคนละทาง ขึ้นหอมาได้พี่ๆเค้าก็มารอรับน้องๆ น้องคนไหนผมยาวมาจะโดนตัดตอนนั้นเลย ยังจำได้เลยว่าเพื่อนเราคนนึงผมยาวสลวยกลางหลังมาเลย ลากกระเป๋ามาเหมือนพจมานเข้าบ้านทรายทอง สุดท้ายโดนจับตัดผมสั้นเสมอติ่งหู *-*
    ห้องพักที่นี่แบ่งเป็น 32 ห้องมีเลขหน้าห้องบอกตั้งแต่ห้องเบอร์หนึ่งจนถึงสามสิบสองเรียงยาวกันไป ห้องเป็นแนวลึกอยู่กันได้ 3-4 คนต่อห้อง
มีห้องน้ำสามห้องอยู่ในตัว ประตูกลางห้องทะลุถึงกันหมด ใช่มันทะลุตั้งแต่ห้องแรกจนถึงห้องสุดท้ายเลย คิดว่าจะเดินไปห้องไหนตามอำเภอใจก็ได้หรอ เปล่าเลย ยังไงเดี๋ยวค่อยมาเล่าต่อตอนต่อไปนะ มาต่อกันที่ห้องแต่ละห้องดีกว่า ในชั้นนี้จะมีห้องใหญ่ที่สามารถจุคนได้ทั้งหอเราเรียกกันว่าห้องรวม
มีทีวีหนึ่งเครื่อง มีโต๊ะทำการบ้านเต็มไปหมด ไว้สำหรับทำการบ้านหลังสวดมนต์เสร็จและดูละครหรือดูหนังในช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์ เปิดปิดเป็นเวลา
ไม่ใช่ใครอยากดูก็มาดูหรอกนะ อีกอย่างที่นี่จะใช้เสียงนกหวีดในการบอกสัญญาณไม่ว่าจะเป็นเวลากินข้าว ตั้งแถว สวดมนต์ ปิดไฟ และใช่.....มันเป็นนาฬิกาปลุกอีกต่างหาก อยู่ที่นี่มาสี่ปี ได้ยินเสียงนกหวีดทีไรสะดุ้งทุกที เป่าที่หอนี้ได้ยินไปถึงหอนู้นเลย คนเป่าก็หน้าดำหน้าแดงกันไป
ห้องนอนจะเป็นห้องเปล่าที่มีพัดลมผนังและพัดลมเพดาน ตู้เหล็กใส่เสื้อผ้าอีกสามตู้ ซึ่งถ้าคนจำนวนมากกว่าตู้ก็แบ่งๆกันไป น้องๆก็ต้องแบ่งตู้กันเป็นสัดส่วน แล้วแต่ว่าแต่ละห้องจะแบ่งกันยังไง มีพื้นที่หน้าห้องและหลังห้องกว้างมากๆ ใช่ รวมๆแล้วห้องนอนเรายาวมากๆเลย
ห้องหนึ่งห้องจะมีรุ่นพี่และรุ่นน้องอยู่ด้วยกัน คละๆกันไป ยังมีพี่น้องบัดดี้อีกนะ พี่ต้องดูแลน้อง ไม่ว่าจะเป็นโอนมรดกเสื้อนักเรียนมัธยมต้นให้รุ่นน้อง ปักชื่อเราก็ปักกันเองนะ เบี้ยวบ้างอะไรบ้างตามประสา แต่ก็สนุกดีนะพอมานึกถึงตอนนั้น พี่สาวก็จะมีเขียนจดหมายน้อยมาให้ด้วยก่อนนอน ฝันดีอะไรแบบนี้ สอนนู่นนี่นั่น ว่าต้องทำอย่างไร ทำอะไรบ้าง คือเทคนิคในการดำรงชีวิตในหอนี้ก็ว่าได้ มันดีนะ  เราเลยมีพี่สาวน้องสาวคอยช่วยเหลือและดูแลซึ่งกันและกัน ก็น่ารักดีนะ จดหมายน้อยจดหมายใหญ่เต็มกล่องไปหมดเลยแหละ ต่อไปจะเขียนเป็นตอนๆหละกันเนอะ ฉากประทับใจมีเยอะ เพื่อนๆเข้ามาอ่านคงรู้เลยว่าใครเป็นใคร ดีไม่ดียังไง แนะนำติชมได้เลย รับฟังคะ ^^*
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่