เริ่มต้นเลยเราเป็น single mom ค่ะ แฟนทิ้งไปตั้งแต่ตอนที่ท้องและไม่ได้ให้ความช่วยเหลือใดๆทุกวันนี้ก็เลิกติดต่อกันไปแล้วค่ะ
แต่ตั้งแต่ท้องเราก็ทำงานจนคลอด ที่ผ่านมาก็อยู่คนเดียวมาตลอดค่ะ จะมีพี่ๆที่สนิทกัน2-3 คนเท่านั้นที่แวะมาเยี่ยมช่วงที่เราท้อง เพราะตอนท้องไม่ได้เปิดเผยให้ใครรู้นอกจากคนที่สนิท พอคลอด เราผ่าคลอดเนื่องจากเชิงกรานไม่ขยาย มีภาวะแท้งคุกคาม คลอดก่อนกำหนดค่ะ 35 วีค ลูกคลอดมาติดเชื้อในปอด ต้องอยุ่ รพ ให้ยาฆ่าเชื้อ 10 กว่าวัน ซึ่งเราก็อยู่ รพ รอลูกค่ะ เพราะคำนวนจาก ระยะทาง และค่าเดินทางแล้ว คงไม่คุ้มกันกับค่านอน รพ.(ห้องรวม) แม่เรามาเฝ้าเราแค่ 3-4 วันค่ะ แล้วก็กลับบ้านที่ ตจว. เราก็อยู่ รพ.คนเดียว จนออก มีพี่ๆที่สนิทแวะมาเยี่ยมบ้าง จนเรากลับมาอยู่ห้อง(อพาทเม้นท์ของครอบครัวคือเป็นเงินที่แม่ซื้อให้ แต่เมื่อก่อนอยู่กับพี่สาว จนพี่สาวแต่งงานไป เราก็อยู่คนเดียว) เราก็เลี้ยงลูกคนเดียวเรื่อยมา
*ปัญหาเริ่มมาแล้วค่ะ*
พอเริ่มแข็งแรง เราก็เริ่มหางานทำค่ะ ( ปล.งานที่เราทำก่อนคลอดเป็นแค่สัญญาจ้างค่ะ ) พอเราได้งาน ตอนนั้นคือเราก็แทบไม่มีเงินแล้วค่ะ กว่าจะหาคนเลี้ยงลูกให้เราได้ก็ตอนลูก 2 เดือนค่ะ เราโชคดีเจอคุณยายที่อยู่ไกล้ๆอพาทเม้น เขารับเลี้ยงเด็ก เดือนละ 3,000 บาท เราเลยเอาลูกไปให้เขาเลี้ยงและไปทำงาน ตอนนั้นเราก็ยืมเงินพี่สาวมา 5,000 บาทค่ะ เพื่อจะเอามาหมุนใช้ทำงาน พอผ่านไปไม่ถึงเดือนลูกเราป่วยหนักค่ะ เป็นหลอดลมอักเสบ ต้องดูเเสมหะ พ่นยา เราพาลูกหาหมอหลายที่ หมดเงินไปเยอะมากค่ะ เราจะทำประกันกันให้ลูกก็ไม่มีเงินค่ะตอนนั้น ก็ไปยืมเงินแม่มาอีก 10,000 บาท เพื่อพาลูกไปหาหมอค่ะ
*หลังจากนั้นลูกเราก็ป่วยเรื่อยๆค่ะ จนเราไม่เป็นอันหลับอันนอน เช้ามาต้องทำงาน เย็นมาต้องดูลูก จนดึกดื่น วนอยู่แบบนี้ค่ะ
จนอยู่มาวันนึงค่ะ
พี่สาวเราก็ยื่นข้อเสนอนึงมาให้ คือ จะเซ้งร้านคาราโอเกะของญาติกันมาให้เรา ไปดูแล กำไรเหลือเท่าไร เขาก็คือให้เราเลย เหมือนเราเป็นเจ้าของเลย
โดยเราและพี่สาว ได้มีการคุยกันและดูบันชีของทางเจ้าของเก่าแล้วว่ามีกำไรแน่นอน แต่ถึงอย่างนั้น เราก็ได้คุยกันแล้วค่ะ ว่าถ้าเกิดมันได้น้อย เดือนละ 1 หมื่น เราจะทำไง จะทิ้งไปไม่ได้นะ ซึ่งเราก็โอเค เพราะเราคิดว่า เราก็ไม่ได้จะใช้อะไรอยุ่แล้ว เหลือเก็บให้ลูกนิดหน่อยก็พอ อีกอย่างได้เลี้ยงลูกเอง และคิดว่าลูกน่าจะหายจากอาการหวัดเรื้อรัง
สรุปเราก็เลยตกลงที่จะลาออกจากงานมาเพื่อมาดูแลร้านนี้
ในตอนแรก เรามากับแม่ แต่พอแม่อยู่ได้ 1 เดือน แม่บอกว่ามันไม่มีกำไรเลย ซึ่งตอนแม่มาอยู่กับเรา เราก็ให้เงินเขาเป็นค่าตอบแทน ที่แม่มาอยู่ด้วย
สุดท้ายแม่กลับ กทม เราอยู่กับลูกแค่ 2 คน ที่ ตจว นี้ โดยที่ไม่มีคนรู้จักสักคนเดียว แต่เราก็รับพนักงานมาช่วยงาน 1 คนนะคะ
ตั้งแต่ที่เราเปิดร้านมา 3 เดือน เราไม่เคยปิดร้านค่ะ ไม่มีวันหยุด เพราะเสียดาย กลัวไม่ได้เงิน ค่าเช่าที่แพงมาก 15,000 (ซึ่งในตอนแรก บอกเราว่า 10,000). มาถึงปุ๊บเราต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์ ซึ่งตอนแรกที่คุยกันบอกเราว่ากลางๆปีนี้ถึงจะครบรอบจ่าย และอีกหลายๆอย่างที่เราเพิ่งมารู้ทีหลัง แต่เขาเป็นญาตืกับทางพี่เขยเรา ซึ่ง เราไม่มีเงินที่จะทำอะไรได้เลย มีมาแค่เงินเดือนงวดสุดท้าย 2 หมื่นกว่าบาท เราก็เอาส่วนนั้นมาลงทุนซื้อของ และพี่เขยเรา ก็ให้ยืมเงินจ่ายค่าลิขสิทธิ์ ประมาน 7 หมื่นค่ะ แต่คือ ที่ร้านเงียบมากๆ ลูกค้าไม่มีเลย เรานี่ถึงกับงงค่ะ แล้วที่ผ่านมารายรับมาจากไหนเป็นแสนบาทคะ
*แถมชีวิตของเรากำลังจะเปลี่ยนนับจากนี้ค่ะ *
*พอเรามาทำร้านนี่นะคะ ก็มีการตั้งกลุ่มเพื่อรายงานประจำวัน สรุปรายรับรายจ่าย รายงานทุกอย่างค่ะ กินอะไรซื้ออะไร กี่บาท ลค กี่ห้อง ประเภทไหนบ้าง ถ่ายรูปบิลอัพเป็นอัลบั้ม ซึ่งเราเข้าใจค่ะ ว่าเป็นเรื่องปกติ ของการทำธุรกิจ
*เราต้องทำบันชีแยกรายละเอียดถึง 4 เล่ม แจกแจงให้พี่เขสเข้าใจ ด้วยเหตุผลที่ว่า ถ้าไม่ทำ ต่อไปเขาจะไม่ช่วยค่ะ ด้วยความที่เราก็มีความหวังกับร้านนี้ค่ะ คิดว่าต้องทำได้ ก็ทำทุกอย่างค่ะ ถีงกับแยกรายละเอียดว่า อาหาร ทอด กับยำ กี่จานกี่บาท ต่อวันนะคะ ปล.อาหารทุกอย่างเราเป็นคนทำค่ะ นอกจากของทอดง่าย พวกเฟรนฟรายน์ จะให้น้องพนักงานทำ โดยเราต้องเอาลูกสะพายใส่เป้ไว้ด้านหลังทุกวัน เพราะลูกเราร้องค่ะ เพราะร้านเปิดกลางคืน และไม่มีคนดูเขา เมนูน้ำเราก็ทำเองทุกอย่างค่ะ น้องพนักงานทำไม่เป็น
**ปล. ของทุกอย่างที่ขายในร้าน ต้องมีการจัดทำสต้อกทุกวัน ซึ่งเราและน้องพนักงานอีก1 คนจะช่วยกันทำ
*พี่เขยเราเอารถพี่สาวเรามาให้ใช้ เป็นรถอีโค่คาร์ที่ผ่อนเดือนละ 13,000 เพราะอยุ่ ตจว ไม่มีรถไปไหนกับลูกลำบาก โดยค่าผ่อนหักจากเงินของร้าน แต่ก่อนน่านี้เราผ่อนโดยเงินเดือนเราค่ะ ราคาขายเราคือ 4 แสน ซึ่งก็คือแพงมากสำหรับเรา แต่เราทำงานเป็นเซล เงินเดือนรวมค่าเสื่อมอยุ่ที่ 24,*** ค่าน้ำมันเราadvance ไปก่อนละมาเบิก บริษัทตามจริงสัปดาละไม่เกิน 2,000 ค่าทางด่วนเบิกได้ ค่าคอมมิชชั่นต่างหากค่ะ
แต่ว่า ร้านนี้ตั้งแต่ทำมา ติดลบทุกเดือนค่ะ จนตอนนี้ เราเป็นหนี้พี่เขยเกือบแสนบาทแล้ว โดยเราได้คุยแล้วเบื้องต้นกับพี่สาวคือ ถ้าเรากลับ กทม รถเราก็ต้องคืนค่ะ (ทั้งๆที่หักจากเงินร้าน)
ฃแต่เราเข้าใจว่าเขาคงเอากลบหนี้ที่ติดเขาอยู่ ทุกวันนี้เราไม่ได้กินใช้อะไรนอกจากซื้อกับข้าว แต่ว่าตอนนี้พี่สาวเราส่งข้าวสารกับกุนเชียงและผักกาดกระป๋องมาให้เราเพื่อที่เราจะได้ไม่ต้องซื้อกับข้าว และไม่ต้องมีรายจ่าย แต่ก็ยังมีค่านมลูก ค่าโทรสับ ค่าแพมเพิส และของกินอื่นๆเช่นผลไม้หรือผักที่เราซื้อให้ลูกเรา
**อีก3-4 เดือน ลูกเราจะ 1 ขวบค่ะ ตอนนี้เราไม่มีอะไรเลยค่ะ เงินมีติดตัวแค่ 300 บาท นอกนั้นเข้าบันชีร้านหมดค่ะ แถมติดลบ
เราร้องไห้ทุกวันเลยค่ะ เครียด อยากกลับ กทม จะเซ้งร้าน พี่เราก็บอกว่าจะเซ้งได้ไง บันชีร้านติดลบแบบนี้ ใครจะเซ้ง
เราก็เลยบอกว่า ก็ถ้ากิจการดีๆใครเขาจะเซ้งอ่ะ หรือไม่ก็จ้างคนอื่นมาเฝ้าแทนเรา เพราะทุกวันนี้เราก็เหมือนแค่พนักงานเฝ้าร้านคนนึง ที่ต้องทำตามที่เขาบอกทุกอย่าง ขนาดกาน้ำร้อนเสีย เรายังต้องรอเขาอนุญาตให้ไปซื้อได้ รอไป 4-5 วัน เราต้องเอาหม้อไปตั้งแก๊สต้มน้ำชงนมให้ลูกเรา
แต่เราก็คิดว่า จะกลายเป็นว่า พอขาดทุน เราก็จะทิ้งไปงั้นหรือ พี่เขยเราบอกว่าขาดทุนไม่เป็นไร แต่เราเต็มที่กว่านี้และไม่ตั้งใจกว่านี้ คือมีประเด็นว่าเราลืมเปิดไฟหน้าร้านค่ะ ก็เลยกลายเป็นว่า ทำไมเราไม่รอบคอบ ลมพัดป้ายโปรโมชั่นล้ม ทำไมเราไม่ไปดู ปล.ญาติของพี่เขยที่เป็นเจ้าของร้านเดิมจะคอยรายงานอยู่ค่ะ แต่คือ บางทีเราวุ่นจิงๆค่ะ และไม่ได้ออกไปหน้าร้านเลย เพราะวันๆไม่ได้ไปไหนเลยค่ะ และเราก็คิดว่าเราทนมากๆแล้ว ขนาดเราไม่สบาย ก็ไม่ให้เราไปหาหมอ บอกว่าพรุ่งนี้ค่อยไป ทนอีกวัน บอกอยู่แบบนี้ จนเราหายไข้ค่ะ เราป่วยอยู่ 2 อาทิตนะคะ ทั้งร้านทั้งลูก ต้องเปิดร้านบ่าย 3 ปิดตี 1.30 กว่าจะเก็บร้าน ทำบันชี ส่งรายงานกลุ่ม ลูกเราก็ตื่นพอดี กว่าลูกเราจะนอนอีกทีก็เช้าเลย เวลารวนไปหมด
แต่ข้อดีคือลูกเราไม่ป่วยเลย อาจเป็นเพราะ ไม่ได้ฝากเลี้ยง ไม่เจอเด็กหลายคน เลยไม่ติดหวัดกัน
เราไม่รู้จะเอายังไงกับชีวิตดีค่ะ ถ้ากลับไป กทม หางานอะไรดี นอกจากเซล แต่เราคิดแล้วว่ารถต้องคืนแน่นอน และเราจะทำอะไรดี เพราะถ้าทำงานออฟฟิส ค่าเดินทางไปทำงาน รวมถึงรับ-ส่งลูกในซอยก็วันละ 2++ เดือนนึงเกือบ 7 พัน เราจะผ่อนรถถูกๆราคาแสนนิดๆไว้ใช้ทำงานดีไหม แต่เราจะเอาเงินที่ไหนตอนนี้ จะเอาของมาขายก็ไม่มีอะไรให้ขาย เสื้อผ้าก็มีแค่พอใส่ นอกนั้นอยู่ กทม หมด
คิดอยู่ว่าจะทำสบู่สมุนไพรขาย เป็นโฮมเมด ตอนอยุ่กทม เราทำไว้ใช้บ่อยๆค่ะ แต่ไม่เคยทำขาย แต่จะขายได้ไหม เพื่อจะหาเงินที่พอทำได้ตอนนี้ เพราะต้นทุนไม่สูง ลงทุนไม่มากแต่ได้ของดีๆไว้ใช้เลย
ปล.หน้าร้านเราไม่สามารถตั้งอะไรขายได้เลยคะ เพราะมีต้นไม้ใหญ่มากๆๆๆๆ ขึ้นอยุ่หน้าร้านพอดีเป๊ะ บังมิดค่ะ ซึ่งเราก็ไม่เคยเห็นร้านนี้มาก่อน ถ้าเห็นคงไม่ตกลงใจมา
แต่ถ้าเราจะออกไปจากตรงนี้ เราก็ต้องใช้เหตุผลว่า เราไม่ไหว เราเหนื่อย เราทำไม่ไหว รับผิดชอบไม่ไหว ซึ่งทีนี้ทางฝั่งญาติๆของพี่เขย รวมถึงพี่เขยเรา ก็ต้องมองว่า เราไม่เอาไหน และสุดท้ายจะเป็นปัญหากับพี่สาวเราอีก
ปล.ที่ผ่านมาเราไม่เคยขอความช่วยเหลือ หรือรบกวนทางครอบครัวของพี่สาวเลยค่ะ เพิ่งจะมีก็ตอนเรามีลูกน้อยนี่แหละค่ะ
ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับทุกความคิดเห็นนะคะ.
ขอคำแนะนำจิงๆค่ะ
ตอนนี้มีปัญหาชีวิตมากเลยค่ะ ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไปดี
แต่ตั้งแต่ท้องเราก็ทำงานจนคลอด ที่ผ่านมาก็อยู่คนเดียวมาตลอดค่ะ จะมีพี่ๆที่สนิทกัน2-3 คนเท่านั้นที่แวะมาเยี่ยมช่วงที่เราท้อง เพราะตอนท้องไม่ได้เปิดเผยให้ใครรู้นอกจากคนที่สนิท พอคลอด เราผ่าคลอดเนื่องจากเชิงกรานไม่ขยาย มีภาวะแท้งคุกคาม คลอดก่อนกำหนดค่ะ 35 วีค ลูกคลอดมาติดเชื้อในปอด ต้องอยุ่ รพ ให้ยาฆ่าเชื้อ 10 กว่าวัน ซึ่งเราก็อยู่ รพ รอลูกค่ะ เพราะคำนวนจาก ระยะทาง และค่าเดินทางแล้ว คงไม่คุ้มกันกับค่านอน รพ.(ห้องรวม) แม่เรามาเฝ้าเราแค่ 3-4 วันค่ะ แล้วก็กลับบ้านที่ ตจว. เราก็อยู่ รพ.คนเดียว จนออก มีพี่ๆที่สนิทแวะมาเยี่ยมบ้าง จนเรากลับมาอยู่ห้อง(อพาทเม้นท์ของครอบครัวคือเป็นเงินที่แม่ซื้อให้ แต่เมื่อก่อนอยู่กับพี่สาว จนพี่สาวแต่งงานไป เราก็อยู่คนเดียว) เราก็เลี้ยงลูกคนเดียวเรื่อยมา
*ปัญหาเริ่มมาแล้วค่ะ*
พอเริ่มแข็งแรง เราก็เริ่มหางานทำค่ะ ( ปล.งานที่เราทำก่อนคลอดเป็นแค่สัญญาจ้างค่ะ ) พอเราได้งาน ตอนนั้นคือเราก็แทบไม่มีเงินแล้วค่ะ กว่าจะหาคนเลี้ยงลูกให้เราได้ก็ตอนลูก 2 เดือนค่ะ เราโชคดีเจอคุณยายที่อยู่ไกล้ๆอพาทเม้น เขารับเลี้ยงเด็ก เดือนละ 3,000 บาท เราเลยเอาลูกไปให้เขาเลี้ยงและไปทำงาน ตอนนั้นเราก็ยืมเงินพี่สาวมา 5,000 บาทค่ะ เพื่อจะเอามาหมุนใช้ทำงาน พอผ่านไปไม่ถึงเดือนลูกเราป่วยหนักค่ะ เป็นหลอดลมอักเสบ ต้องดูเเสมหะ พ่นยา เราพาลูกหาหมอหลายที่ หมดเงินไปเยอะมากค่ะ เราจะทำประกันกันให้ลูกก็ไม่มีเงินค่ะตอนนั้น ก็ไปยืมเงินแม่มาอีก 10,000 บาท เพื่อพาลูกไปหาหมอค่ะ
*หลังจากนั้นลูกเราก็ป่วยเรื่อยๆค่ะ จนเราไม่เป็นอันหลับอันนอน เช้ามาต้องทำงาน เย็นมาต้องดูลูก จนดึกดื่น วนอยู่แบบนี้ค่ะ
จนอยู่มาวันนึงค่ะ
พี่สาวเราก็ยื่นข้อเสนอนึงมาให้ คือ จะเซ้งร้านคาราโอเกะของญาติกันมาให้เรา ไปดูแล กำไรเหลือเท่าไร เขาก็คือให้เราเลย เหมือนเราเป็นเจ้าของเลย
โดยเราและพี่สาว ได้มีการคุยกันและดูบันชีของทางเจ้าของเก่าแล้วว่ามีกำไรแน่นอน แต่ถึงอย่างนั้น เราก็ได้คุยกันแล้วค่ะ ว่าถ้าเกิดมันได้น้อย เดือนละ 1 หมื่น เราจะทำไง จะทิ้งไปไม่ได้นะ ซึ่งเราก็โอเค เพราะเราคิดว่า เราก็ไม่ได้จะใช้อะไรอยุ่แล้ว เหลือเก็บให้ลูกนิดหน่อยก็พอ อีกอย่างได้เลี้ยงลูกเอง และคิดว่าลูกน่าจะหายจากอาการหวัดเรื้อรัง
สรุปเราก็เลยตกลงที่จะลาออกจากงานมาเพื่อมาดูแลร้านนี้
ในตอนแรก เรามากับแม่ แต่พอแม่อยู่ได้ 1 เดือน แม่บอกว่ามันไม่มีกำไรเลย ซึ่งตอนแม่มาอยู่กับเรา เราก็ให้เงินเขาเป็นค่าตอบแทน ที่แม่มาอยู่ด้วย
สุดท้ายแม่กลับ กทม เราอยู่กับลูกแค่ 2 คน ที่ ตจว นี้ โดยที่ไม่มีคนรู้จักสักคนเดียว แต่เราก็รับพนักงานมาช่วยงาน 1 คนนะคะ
ตั้งแต่ที่เราเปิดร้านมา 3 เดือน เราไม่เคยปิดร้านค่ะ ไม่มีวันหยุด เพราะเสียดาย กลัวไม่ได้เงิน ค่าเช่าที่แพงมาก 15,000 (ซึ่งในตอนแรก บอกเราว่า 10,000). มาถึงปุ๊บเราต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์ ซึ่งตอนแรกที่คุยกันบอกเราว่ากลางๆปีนี้ถึงจะครบรอบจ่าย และอีกหลายๆอย่างที่เราเพิ่งมารู้ทีหลัง แต่เขาเป็นญาตืกับทางพี่เขยเรา ซึ่ง เราไม่มีเงินที่จะทำอะไรได้เลย มีมาแค่เงินเดือนงวดสุดท้าย 2 หมื่นกว่าบาท เราก็เอาส่วนนั้นมาลงทุนซื้อของ และพี่เขยเรา ก็ให้ยืมเงินจ่ายค่าลิขสิทธิ์ ประมาน 7 หมื่นค่ะ แต่คือ ที่ร้านเงียบมากๆ ลูกค้าไม่มีเลย เรานี่ถึงกับงงค่ะ แล้วที่ผ่านมารายรับมาจากไหนเป็นแสนบาทคะ
*แถมชีวิตของเรากำลังจะเปลี่ยนนับจากนี้ค่ะ *
*พอเรามาทำร้านนี่นะคะ ก็มีการตั้งกลุ่มเพื่อรายงานประจำวัน สรุปรายรับรายจ่าย รายงานทุกอย่างค่ะ กินอะไรซื้ออะไร กี่บาท ลค กี่ห้อง ประเภทไหนบ้าง ถ่ายรูปบิลอัพเป็นอัลบั้ม ซึ่งเราเข้าใจค่ะ ว่าเป็นเรื่องปกติ ของการทำธุรกิจ
*เราต้องทำบันชีแยกรายละเอียดถึง 4 เล่ม แจกแจงให้พี่เขสเข้าใจ ด้วยเหตุผลที่ว่า ถ้าไม่ทำ ต่อไปเขาจะไม่ช่วยค่ะ ด้วยความที่เราก็มีความหวังกับร้านนี้ค่ะ คิดว่าต้องทำได้ ก็ทำทุกอย่างค่ะ ถีงกับแยกรายละเอียดว่า อาหาร ทอด กับยำ กี่จานกี่บาท ต่อวันนะคะ ปล.อาหารทุกอย่างเราเป็นคนทำค่ะ นอกจากของทอดง่าย พวกเฟรนฟรายน์ จะให้น้องพนักงานทำ โดยเราต้องเอาลูกสะพายใส่เป้ไว้ด้านหลังทุกวัน เพราะลูกเราร้องค่ะ เพราะร้านเปิดกลางคืน และไม่มีคนดูเขา เมนูน้ำเราก็ทำเองทุกอย่างค่ะ น้องพนักงานทำไม่เป็น
**ปล. ของทุกอย่างที่ขายในร้าน ต้องมีการจัดทำสต้อกทุกวัน ซึ่งเราและน้องพนักงานอีก1 คนจะช่วยกันทำ
*พี่เขยเราเอารถพี่สาวเรามาให้ใช้ เป็นรถอีโค่คาร์ที่ผ่อนเดือนละ 13,000 เพราะอยุ่ ตจว ไม่มีรถไปไหนกับลูกลำบาก โดยค่าผ่อนหักจากเงินของร้าน แต่ก่อนน่านี้เราผ่อนโดยเงินเดือนเราค่ะ ราคาขายเราคือ 4 แสน ซึ่งก็คือแพงมากสำหรับเรา แต่เราทำงานเป็นเซล เงินเดือนรวมค่าเสื่อมอยุ่ที่ 24,*** ค่าน้ำมันเราadvance ไปก่อนละมาเบิก บริษัทตามจริงสัปดาละไม่เกิน 2,000 ค่าทางด่วนเบิกได้ ค่าคอมมิชชั่นต่างหากค่ะ
แต่ว่า ร้านนี้ตั้งแต่ทำมา ติดลบทุกเดือนค่ะ จนตอนนี้ เราเป็นหนี้พี่เขยเกือบแสนบาทแล้ว โดยเราได้คุยแล้วเบื้องต้นกับพี่สาวคือ ถ้าเรากลับ กทม รถเราก็ต้องคืนค่ะ (ทั้งๆที่หักจากเงินร้าน)
ฃแต่เราเข้าใจว่าเขาคงเอากลบหนี้ที่ติดเขาอยู่ ทุกวันนี้เราไม่ได้กินใช้อะไรนอกจากซื้อกับข้าว แต่ว่าตอนนี้พี่สาวเราส่งข้าวสารกับกุนเชียงและผักกาดกระป๋องมาให้เราเพื่อที่เราจะได้ไม่ต้องซื้อกับข้าว และไม่ต้องมีรายจ่าย แต่ก็ยังมีค่านมลูก ค่าโทรสับ ค่าแพมเพิส และของกินอื่นๆเช่นผลไม้หรือผักที่เราซื้อให้ลูกเรา
**อีก3-4 เดือน ลูกเราจะ 1 ขวบค่ะ ตอนนี้เราไม่มีอะไรเลยค่ะ เงินมีติดตัวแค่ 300 บาท นอกนั้นเข้าบันชีร้านหมดค่ะ แถมติดลบ
เราร้องไห้ทุกวันเลยค่ะ เครียด อยากกลับ กทม จะเซ้งร้าน พี่เราก็บอกว่าจะเซ้งได้ไง บันชีร้านติดลบแบบนี้ ใครจะเซ้ง
เราก็เลยบอกว่า ก็ถ้ากิจการดีๆใครเขาจะเซ้งอ่ะ หรือไม่ก็จ้างคนอื่นมาเฝ้าแทนเรา เพราะทุกวันนี้เราก็เหมือนแค่พนักงานเฝ้าร้านคนนึง ที่ต้องทำตามที่เขาบอกทุกอย่าง ขนาดกาน้ำร้อนเสีย เรายังต้องรอเขาอนุญาตให้ไปซื้อได้ รอไป 4-5 วัน เราต้องเอาหม้อไปตั้งแก๊สต้มน้ำชงนมให้ลูกเรา
แต่เราก็คิดว่า จะกลายเป็นว่า พอขาดทุน เราก็จะทิ้งไปงั้นหรือ พี่เขยเราบอกว่าขาดทุนไม่เป็นไร แต่เราเต็มที่กว่านี้และไม่ตั้งใจกว่านี้ คือมีประเด็นว่าเราลืมเปิดไฟหน้าร้านค่ะ ก็เลยกลายเป็นว่า ทำไมเราไม่รอบคอบ ลมพัดป้ายโปรโมชั่นล้ม ทำไมเราไม่ไปดู ปล.ญาติของพี่เขยที่เป็นเจ้าของร้านเดิมจะคอยรายงานอยู่ค่ะ แต่คือ บางทีเราวุ่นจิงๆค่ะ และไม่ได้ออกไปหน้าร้านเลย เพราะวันๆไม่ได้ไปไหนเลยค่ะ และเราก็คิดว่าเราทนมากๆแล้ว ขนาดเราไม่สบาย ก็ไม่ให้เราไปหาหมอ บอกว่าพรุ่งนี้ค่อยไป ทนอีกวัน บอกอยู่แบบนี้ จนเราหายไข้ค่ะ เราป่วยอยู่ 2 อาทิตนะคะ ทั้งร้านทั้งลูก ต้องเปิดร้านบ่าย 3 ปิดตี 1.30 กว่าจะเก็บร้าน ทำบันชี ส่งรายงานกลุ่ม ลูกเราก็ตื่นพอดี กว่าลูกเราจะนอนอีกทีก็เช้าเลย เวลารวนไปหมด
แต่ข้อดีคือลูกเราไม่ป่วยเลย อาจเป็นเพราะ ไม่ได้ฝากเลี้ยง ไม่เจอเด็กหลายคน เลยไม่ติดหวัดกัน
เราไม่รู้จะเอายังไงกับชีวิตดีค่ะ ถ้ากลับไป กทม หางานอะไรดี นอกจากเซล แต่เราคิดแล้วว่ารถต้องคืนแน่นอน และเราจะทำอะไรดี เพราะถ้าทำงานออฟฟิส ค่าเดินทางไปทำงาน รวมถึงรับ-ส่งลูกในซอยก็วันละ 2++ เดือนนึงเกือบ 7 พัน เราจะผ่อนรถถูกๆราคาแสนนิดๆไว้ใช้ทำงานดีไหม แต่เราจะเอาเงินที่ไหนตอนนี้ จะเอาของมาขายก็ไม่มีอะไรให้ขาย เสื้อผ้าก็มีแค่พอใส่ นอกนั้นอยู่ กทม หมด
คิดอยู่ว่าจะทำสบู่สมุนไพรขาย เป็นโฮมเมด ตอนอยุ่กทม เราทำไว้ใช้บ่อยๆค่ะ แต่ไม่เคยทำขาย แต่จะขายได้ไหม เพื่อจะหาเงินที่พอทำได้ตอนนี้ เพราะต้นทุนไม่สูง ลงทุนไม่มากแต่ได้ของดีๆไว้ใช้เลย
ปล.หน้าร้านเราไม่สามารถตั้งอะไรขายได้เลยคะ เพราะมีต้นไม้ใหญ่มากๆๆๆๆ ขึ้นอยุ่หน้าร้านพอดีเป๊ะ บังมิดค่ะ ซึ่งเราก็ไม่เคยเห็นร้านนี้มาก่อน ถ้าเห็นคงไม่ตกลงใจมา
แต่ถ้าเราจะออกไปจากตรงนี้ เราก็ต้องใช้เหตุผลว่า เราไม่ไหว เราเหนื่อย เราทำไม่ไหว รับผิดชอบไม่ไหว ซึ่งทีนี้ทางฝั่งญาติๆของพี่เขย รวมถึงพี่เขยเรา ก็ต้องมองว่า เราไม่เอาไหน และสุดท้ายจะเป็นปัญหากับพี่สาวเราอีก
ปล.ที่ผ่านมาเราไม่เคยขอความช่วยเหลือ หรือรบกวนทางครอบครัวของพี่สาวเลยค่ะ เพิ่งจะมีก็ตอนเรามีลูกน้อยนี่แหละค่ะ
ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับทุกความคิดเห็นนะคะ.
ขอคำแนะนำจิงๆค่ะ