กล่าวกันว่า หากผู้ใหญ่วางแก้วไว้กลางบ้าน แล้วเด็กเดินสะดุดแก้วแตก เด็กจะโดนด่าว่า "เดินไม่ระวัง" กลับกัน ถ้าเด็กวางแก้วไว้กลางบ้าน แล้วผู้ใหญ่เดินมาสะดุดแก้วแตก ผู้ใหญ่จะด่าเด็กว่า "วางของไม่เป็นที่" จากคำกล่าวนี้ อยากถามมุมมองของทุกท่านครับว่า
1.จากคำกล่าวข้างต้น ใครผิดใครถูก
2.จากประโยคข้างต้นสิ่งนี้สะท้อนให้เห็นอะไร และส่งผลต่อความเจริญของประเทศอย่างไรบ้าง
3.ท่านเคยเจอประสบการณ์ที่สอดคล้องกันกับคำกล่าวนี้บ้างไหมครับ เหตุการณ์เป็นอย่างไร
อันนี้เป็นสเตตัสที่ผมได้โพสขึ้นในเฟสบุ๊คของผมน่ะครับ ก็มีคนมาแสดงความคิดเห็นประมาณนี้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้อ้ายว่ามันคือความผิดร่วมนะ คนนึงก็วางของไม่เป็นที่ คนนึงก็เดินไม่ระวัง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น มันบ่งบอกถึงว่า คนไทยหลายๆคนมีพื้นฐานทางด้านนิสัยที่มีแต่ความรับชอบ ไม่รับผิด ความผิดตัวเองเท่าเส้นผมความผิดคนอื่นเท่าภูเขา ซึ่งหากบุคคลเหล่านี้ไปดำรงค์ตำแหน่งที่มีผลต่อการบริหารประเทศหรือออกนโยบายต่างๆ มักจะมีแต่เห็นว่านโยบายที่ตนออกมานั้นดีเลิสประเสริฐศรี ไม่เคยเห็นความด้อย หรือจุดบกพร่องหลายๆอย่าง ทำผิดจนเกิดความเสียหายแล้วไม่ยอมรับ อ้างนู่นอ้างนี่ เช่นโครงการประชานิยมหลายๆโครงการของประเทศไทยที่ผ่านๆมา ตั้งแต่อดีต จนปัจจุบัน ที่เห้นว่าประเทศเสียหายอย่างไร แต่ก็ยังออกมาป่าวประกาสว่าดีอย่างนั้น ดีอย่างนี้ ประมารนี้แหละมั้งครับ
อีกอันน่ะครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้จากกรณีคล้ายกันในเรื่องของ ชาติไทย ความเป็นไทย หรือ 'Thainess' ประเทศเรา ณ ปัจจุบัน ยังคงตกค้างในกรอบความคิดของการเคารพผู้ใหญ่และการมีสัมมาคารวะ (โดยเทียบตามอายุ และ เจเนเรชั่นของเขาคือช่วง Baby Boomer หรือ เด็กหลังสงครามโลกครั้งที่ 2)
ซึ่งกลายเป็นแกนนำสังคมนับตั้งแต่ช่วงปี พ.ศ. 2490 - 2520 เลยทีเดียวที่พวกเขาทำการสร้างอิทธิพล และ กำเนิดแนวคิดใหม่ ด้วยการมีลูกมากขึ้น ฐานะต้องมั่นคง และ มีความอดทนไม่เลือกมาก และมักไม่เปลี่ยนงานยอมอยู่ทนจนเกษียณ
ผลที่ได้คือบุคคลในช่วงเวลาดังกล่าว เป็นรากฐานตัวใหม่ของประเทศ แต่ไม่สามารถต่อยอดได้เหมือน บุคคลจากกลุ่ม Gen X หรือ Y ซึ่งเป็นแบบคาบเกี่ยวระหว่าง อนาลอค กับ ดิจิตอล อีกทั้งบุคคลในยุคนี้ยังโดนอิทธิพลจาก Baby Boomer ปลูกฝังการเคารพ และ ห้ามขัด ห้ามเถียงใดๆ เราจึงพบเห็นเสมอว่า ทำอะไร เสนอสิ่งใด มักจะโดนขัดหรือถ่วงไว้ตลอดเวลา
ดังนั้น ผู้ตัดสินในสถานการณ์ และ ประเทศทุกวันนี้ ยังคงเป็นกลุ่มอิทธิพลเก่า ที่เสียดายในอำนาจที่เคยมี จึงทำทุกทางเพื่อให้อำนาจตัวเองนั้นยังคงอยู่ ด้วยข้ออ้างต่างๆ ตั้งแต่ ความกตัญญู ซื่อสัตย์ สำเหนียกตน จนถึง มารยาท (ซึ่งเด็กๆนั้นมีความสามารถในการประพฤติ ปฏิบัติดีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องตอกย้ำ) จึงทำให้ประเทศนี้ยังคงตัน ค้างอยู่กับที่ เพราะกลุ่มอำนาจเก่ายังไม่อาจสลัดทิ้ง หรือ มีความยึดมั่นในค่านิยมเดิมว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
กรณีตัวอย่างที่ไม่จำเป็นต้องพูดถึงแก้วน้ำ ง่ายสุดก็คือ ผู้หญิงไทยในปัจจุบัน กับการถูกกำหนดชีวิตและแนวคิด ความเป็นกุลสตรีที่งดงาม ยังว่าเหนื่อยแล้ว (ทั้งที่งานก็ต้องทำ เงินก็ต้องทำ กลับบ้านมา ยังต้องบริการผัวอีก?) ยังมีเงื่อนไขสังคมไทยตัวใหม่ ขึ้นมาอีกว่าด้วย หญิงไทย ต้องสวย ต้องขาว ต้องดูดี (แต่ไม่ได้บอกอะไรเรื่องการศึกษา) เพราะหากดำ และ จน ก็มีค่าเท่ากับชนชั้นแรงงานและดูไม่มีจะกิน (Persaud, 2005; Esara, 2009; Chaipraditkul, 2013) แก้วน้ำและหญิงไทย อยู่ดีๆของเขาก็กลับถูกความคิดแต่โบราณส่งผลถึงปัจจุบัน มากำหนดชีวิตแต่ละบุคคล แต่ไม่เคยคิดใดๆ ถึงความมั่นคงของประเทศ... เราแต่ละคนมีความเป็นปัจเจกมากขึ้น
แล้วทุกท่านหล่ะครับ คิดเห็นอย่างไร ผมพึ่งเคยตั้งกระทู้ไม่กี่ครัง หากผิดพลาดประการใดก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยน่ะครับ
คุณคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้ครับ
1.จากคำกล่าวข้างต้น ใครผิดใครถูก
2.จากประโยคข้างต้นสิ่งนี้สะท้อนให้เห็นอะไร และส่งผลต่อความเจริญของประเทศอย่างไรบ้าง
3.ท่านเคยเจอประสบการณ์ที่สอดคล้องกันกับคำกล่าวนี้บ้างไหมครับ เหตุการณ์เป็นอย่างไร
อันนี้เป็นสเตตัสที่ผมได้โพสขึ้นในเฟสบุ๊คของผมน่ะครับ ก็มีคนมาแสดงความคิดเห็นประมาณนี้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
อีกอันน่ะครับ [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แล้วทุกท่านหล่ะครับ คิดเห็นอย่างไร ผมพึ่งเคยตั้งกระทู้ไม่กี่ครัง หากผิดพลาดประการใดก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยน่ะครับ