...แม่เป็นมะเร็ง...
ผลการตรวจเอกซ์เรย์ด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า(Magnetic resonance imaging, MRI) ที่ฉันถืออยู่ในมือสั่นระริก ใจฉันหาย...จนต้องยกมืออีกข้างกุมหน้าอกข้างซ้ายเอาไว้...
ความจริงหัวใจมันยังอยู่ที่เดิม แต่ที่หล่นหายไปคือพลังใจ พลังชีวิตของฉันนั่นไง มันหลุดลอยและหายวับไปในทันทีที่ฉันเห็นข้อความในกระดาษแผ่นนั้น
แม่จ๋า...
ราวฟ้ากลั่นแกล้ง เราพึ่งได้อยู่ด้วยกันเพียงแค่ห้าปี...แค่ห้าปีเท่านั้น
ก่อนหน้านั้นหนูได้แต่เฝ้ามองแม่อยู่ห่าง ๆ แม่ทำงานหนัก ต้องเลี้ยงน้อง ๆ อีกสองคน...เพียงลำพัง
ผู้ชายที่พวกเราเรียกว่าพ่อไม่เคยมาดูดำดูดี แม่ยุ่ง เหนื่อย บางครั้งเมื่อหนูมาหา หนูก็เห็นแววท้อแท้อ่อนล้าในดวงตาคู่นั้นของแม่ แต่หนูรู้แม่ยังสู้...แม่สู้เพื่อลูก ๆ เสมอ
แม่จ๋า...
หนูรักแม่ ถึงแม้หนูโตมากับยาย แต่หนูเข้าใจดีว่าเพราะอะไรแม่จึงต้องฝากหนูไว้กับยาย หนูเข้าใจตั้งแต่เริ่มจำความได้เพราะมีคนบอกเล่า และเข้าใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามอายุและโลกที่ผ่าน
หนูรอโอกาสที่เราสองคนพร้อมจะอยู่ด้วยกันโดยไม่มีเงื่อนไขเกี่ยวกับปากท้อง หรือความฝืดเคืองเรื่องเงินทองมากั้นกลางระหว่างเรา
...หนูพยายาม...จนในที่สุดวันนั้นก็มาถึง วันที่เราต่างประสบความสำเร็จ วันที่เราสองคนต่างยิ้มให้กัน วันที่เราสองคนต่างมองเห็นความสุขสบายของกันและกัน มันแสนชื่นใจ...แต่มันเป็นเช่นนั้นได้แค่ห้าปี
และแล้วราวฟ้าถล่มลงมาตรงหน้า ทำไมวันเวลาแห่งความหวานชื่นจึงไม่เคยยืนยาว
ฉันรอวันฟ้าสว่างมาตลอดห้าสิบปี รอมาอย่างอดทน แต่วินาทีที่กระดาษแผ่นบางนั้นมาถึงมือ...ฟ้ากลับมืดดำไปเสียสิ้น วันพรุ่งนี้ของฉันฟ้าไม่สวยใสอีกต่อไป
หมอบอกว่า...อีกแค่สี่เดือน...สำหรับมะเร็งปอดที่แพร่กระจายไปยังกระดูกสันหลังละต่อมน้ำเหลือง
สี่เดือน...
สองเดือนแรกสำหรับการตระเวนตรวจรักษาอาการข้างเคียงต่าง ๆ และโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่ตามมา รวมทั้งโรคที่มีอยู่เดิม เราแม่ลูกระหกระเหินไปตามสถานพยาบาลทั้งของรัฐและเอกชน...เราบอกกันว่า เราสู้!
สองเดือนต่อมาแม่ขยับท่อนล่างไม่ได้ ระบบขับถ่ายมีปัญหา เราสองคนต้องมีชีวิตกินนอนอยู่แต่ในโรงพยาบาล ที่สาหัสที่สุดก็คือความเจ็บปวดจากมะเร็งร้าย!!!
โอ...ความปวดของมันร้ายกาจเสียยิ่งกว่าความตายเสียอีก
...แม่บอกอย่างนั้น ฉันได้แต่ร้องไห้ กอดแม่ไว้...แม่จ่า หนูจะพยายามหาทางให้แม่หายปวดให้ได้
มันเป็นสองเดือนแห่งความทุกข์ทรมานทั้งร่างกายและจิตใจ แต่ในขณะเดียวกัน...เป็นครั้งแรกที่เราแม่ลูกได้อยู่ด้วยกันจริง ๆ
เช้ามาหนูเช็ดตัว ล้างหน้าแปรงฟัน หวีผม ทาแป้งทาลิปสติกให้แม่ ป้อนข้าวป้อนยา หนูพยายามทำให้แม่มีความสุขที่สุดเท่าที่หนูมีแรงทำได้ แล้วเราก็ถ่ายรูปเล่นด้วยกัน หนูชมว่าแม่เป็นคนไข้ที่สวยที่สุดและดูมีความสุข หมอและพยาบาลต่างเข้ามาชมแม่กันทั้งนั้น...ดูไม่รู้เลยว่าเป็นคนป่วย...แม่บอกหมอว่า แม่มีความสุขดี ยกเว้นตอนที่แม่ปวด!!!
วันเวลาเหล่านั้นผู้คนต่างถามไถ่ ทำไมฉันช่างทรหดไม่ยอมให้ใครมาเปลี่ยนดูแลที่โรงพยาบาล
ไม่มีใครเข้าใจหรอก...นี่เป็นเวลาแห่งความสุขที่แอบแฝงอยู่ในความทุกข์ ฉันได้อยู่ในอ้อมกอดแม่ทุกวัน...ใช่แล้ว เราอยู่ในอ้อมกอดของกันและกันทุกวัน
จนกระทั่งแม่จากฉันไป...
ฉันเก็บถุงยาของแม่เอาไว้ ยามมองดูมัน...และแล้วฉันก็เห็นภาพนั้น ทุกวันทุกคืนที่เราอยู่ด้วยกันในห้องของโรงพยาบาล สิ่งที่เราทำด้วยกัน พูดหยอกล้อกัน มันเหมือนกับฉันยังได้ดูแลแม่ ป้อนยาให้แม่ ทำให้แม่หายปวด...ณ เวลานั้นฉันมีความสุข
ฉันจึงยังวางถุงยาของแม่เอาไว้ไม่เคยให้ห่างตา...
(ยังมีงานเขียนเรื่องสั้นและนิยายของลิอยู่ตามลิ้งค์ข้างล่างนี้ ส่วนมากเค้าโครงเรื่องจากเรื่องจริงที่ได้พบเจอค่ะ หากสนใจลองเข้าไปอ่านได้นะคะ)
https://www.facebook.com/L.Wilissamara/
ถุงยาของแม่
...แม่เป็นมะเร็ง...
ผลการตรวจเอกซ์เรย์ด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า(Magnetic resonance imaging, MRI) ที่ฉันถืออยู่ในมือสั่นระริก ใจฉันหาย...จนต้องยกมืออีกข้างกุมหน้าอกข้างซ้ายเอาไว้...
ความจริงหัวใจมันยังอยู่ที่เดิม แต่ที่หล่นหายไปคือพลังใจ พลังชีวิตของฉันนั่นไง มันหลุดลอยและหายวับไปในทันทีที่ฉันเห็นข้อความในกระดาษแผ่นนั้น
แม่จ๋า...
ราวฟ้ากลั่นแกล้ง เราพึ่งได้อยู่ด้วยกันเพียงแค่ห้าปี...แค่ห้าปีเท่านั้น
ก่อนหน้านั้นหนูได้แต่เฝ้ามองแม่อยู่ห่าง ๆ แม่ทำงานหนัก ต้องเลี้ยงน้อง ๆ อีกสองคน...เพียงลำพัง
ผู้ชายที่พวกเราเรียกว่าพ่อไม่เคยมาดูดำดูดี แม่ยุ่ง เหนื่อย บางครั้งเมื่อหนูมาหา หนูก็เห็นแววท้อแท้อ่อนล้าในดวงตาคู่นั้นของแม่ แต่หนูรู้แม่ยังสู้...แม่สู้เพื่อลูก ๆ เสมอ
แม่จ๋า...
หนูรักแม่ ถึงแม้หนูโตมากับยาย แต่หนูเข้าใจดีว่าเพราะอะไรแม่จึงต้องฝากหนูไว้กับยาย หนูเข้าใจตั้งแต่เริ่มจำความได้เพราะมีคนบอกเล่า และเข้าใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามอายุและโลกที่ผ่าน
หนูรอโอกาสที่เราสองคนพร้อมจะอยู่ด้วยกันโดยไม่มีเงื่อนไขเกี่ยวกับปากท้อง หรือความฝืดเคืองเรื่องเงินทองมากั้นกลางระหว่างเรา
...หนูพยายาม...จนในที่สุดวันนั้นก็มาถึง วันที่เราต่างประสบความสำเร็จ วันที่เราสองคนต่างยิ้มให้กัน วันที่เราสองคนต่างมองเห็นความสุขสบายของกันและกัน มันแสนชื่นใจ...แต่มันเป็นเช่นนั้นได้แค่ห้าปี
และแล้วราวฟ้าถล่มลงมาตรงหน้า ทำไมวันเวลาแห่งความหวานชื่นจึงไม่เคยยืนยาว
ฉันรอวันฟ้าสว่างมาตลอดห้าสิบปี รอมาอย่างอดทน แต่วินาทีที่กระดาษแผ่นบางนั้นมาถึงมือ...ฟ้ากลับมืดดำไปเสียสิ้น วันพรุ่งนี้ของฉันฟ้าไม่สวยใสอีกต่อไป
หมอบอกว่า...อีกแค่สี่เดือน...สำหรับมะเร็งปอดที่แพร่กระจายไปยังกระดูกสันหลังละต่อมน้ำเหลือง
สี่เดือน...
สองเดือนแรกสำหรับการตระเวนตรวจรักษาอาการข้างเคียงต่าง ๆ และโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่ตามมา รวมทั้งโรคที่มีอยู่เดิม เราแม่ลูกระหกระเหินไปตามสถานพยาบาลทั้งของรัฐและเอกชน...เราบอกกันว่า เราสู้!
สองเดือนต่อมาแม่ขยับท่อนล่างไม่ได้ ระบบขับถ่ายมีปัญหา เราสองคนต้องมีชีวิตกินนอนอยู่แต่ในโรงพยาบาล ที่สาหัสที่สุดก็คือความเจ็บปวดจากมะเร็งร้าย!!!
โอ...ความปวดของมันร้ายกาจเสียยิ่งกว่าความตายเสียอีก
...แม่บอกอย่างนั้น ฉันได้แต่ร้องไห้ กอดแม่ไว้...แม่จ่า หนูจะพยายามหาทางให้แม่หายปวดให้ได้
มันเป็นสองเดือนแห่งความทุกข์ทรมานทั้งร่างกายและจิตใจ แต่ในขณะเดียวกัน...เป็นครั้งแรกที่เราแม่ลูกได้อยู่ด้วยกันจริง ๆ
เช้ามาหนูเช็ดตัว ล้างหน้าแปรงฟัน หวีผม ทาแป้งทาลิปสติกให้แม่ ป้อนข้าวป้อนยา หนูพยายามทำให้แม่มีความสุขที่สุดเท่าที่หนูมีแรงทำได้ แล้วเราก็ถ่ายรูปเล่นด้วยกัน หนูชมว่าแม่เป็นคนไข้ที่สวยที่สุดและดูมีความสุข หมอและพยาบาลต่างเข้ามาชมแม่กันทั้งนั้น...ดูไม่รู้เลยว่าเป็นคนป่วย...แม่บอกหมอว่า แม่มีความสุขดี ยกเว้นตอนที่แม่ปวด!!!
วันเวลาเหล่านั้นผู้คนต่างถามไถ่ ทำไมฉันช่างทรหดไม่ยอมให้ใครมาเปลี่ยนดูแลที่โรงพยาบาล
ไม่มีใครเข้าใจหรอก...นี่เป็นเวลาแห่งความสุขที่แอบแฝงอยู่ในความทุกข์ ฉันได้อยู่ในอ้อมกอดแม่ทุกวัน...ใช่แล้ว เราอยู่ในอ้อมกอดของกันและกันทุกวัน
จนกระทั่งแม่จากฉันไป...
ฉันเก็บถุงยาของแม่เอาไว้ ยามมองดูมัน...และแล้วฉันก็เห็นภาพนั้น ทุกวันทุกคืนที่เราอยู่ด้วยกันในห้องของโรงพยาบาล สิ่งที่เราทำด้วยกัน พูดหยอกล้อกัน มันเหมือนกับฉันยังได้ดูแลแม่ ป้อนยาให้แม่ ทำให้แม่หายปวด...ณ เวลานั้นฉันมีความสุข
ฉันจึงยังวางถุงยาของแม่เอาไว้ไม่เคยให้ห่างตา...
(ยังมีงานเขียนเรื่องสั้นและนิยายของลิอยู่ตามลิ้งค์ข้างล่างนี้ ส่วนมากเค้าโครงเรื่องจากเรื่องจริงที่ได้พบเจอค่ะ หากสนใจลองเข้าไปอ่านได้นะคะ)
https://www.facebook.com/L.Wilissamara/