มีเพื่อนสมาชิกท่านหนึ่งอุตส่าห์หลังไมค์ไปถามผมที่สงสัยในกระทู้ “ข้าวที่ไหน จะสมาร์ตเท่าข้าวไทยเป็นไม่มี” ตามลิงค์นี้
http://pantip.com/topic/34791800 หลังไมค์ไปสะกิดในทำนองว่าผมเขียนเวอร์ไปหรือเปล่าที่พูดว่า “ข้าว” และ “ผู้ผลิตข้าว(ชาวนา”)มีบทบทบาทสำคัญมากถึงมากที่สุดในการสร้างปึกแผ่นของชาติไทย.... ปรกติผมจะไม่ค่อยหลังไมค์กับใครมากนัก ยิ่งคนไม่รู้จักคุ้นเคยผมจะไม่ตอบหลังไมค์ และยิ่งเกี่ยวกับข้อข้องใจในกระทู้ผมแล้ว ผมจะใช้พื้นที่สาธารณะตอบ หวังว่าเจ้าของหลังไมค์คงไม่ว่าอะไรนะครับ เรื่องที่ผมจะตอบกลับในเชิงด่านั้น วางใจได้ครับ ผมขอตัวอย่างบางตอนที่ผมเขียนมาไว้ตรงนี้ก็แล้วกันนะครับ
คิดว่าคงจะไม่เกินไปนักถ้าจะพูดว่าความมั่นคงเป็นปึกแผ่นของชาติไทยนั้น “ข้าว” และ “ผู้ผลิตข้าว” มีบทบาทสำคัญมากถึงมากที่สุด โดยทั่วๆ ไป..เวลาเราพูดถึงความมั่นคงของชาติไทยที่มีอยู่ทุกวันนี้เรามักจะระลึกถึงวีรกรรมของคนไม่กี่คนหรือกลุ่มเล็กๆ แต่โดยหลักความน่าจะเป็นแล้ว แต่ละ “ปึก” และแต่และ “แผ่น” ที่บรรพบุรุษสร้างขึ้นจนเป็นชาติไทยทุกวันนี้ บรรพบุรุษของเราแทบทุกคนมีส่วนร่วม....และที่ปิดทองหลังพระ(หรือประวัติศาสตร์ไทยแทบจะไม่เอ่ยถึงเลย)ก็คือรากหญ้าครอบครัวชาวนานี่เอง......
ยามอยู่ในภาวะปรกติก็ต้องปลูกข้าว และเสียภาษีส่งหางข้าวเข้ายุ้งหลวงในอัตราชัก ข้าว๒ถังต่อหนึ่งไร่ (ต่อมาสมัยสมเด็จพระนารายณ์เปลี่ยนจากภาษีข้าวมาเป็นเงิน คือหนึ่งสลึงต่อหนึ่งไร่) และในฐานะที่เป็นทั้งไพร่ทั้งชาวนา...ก็ต้องทำหน้าที่ไพร่สมเข้าเวรหกเดือน(เข้าเดือนออกเดือน)ทุกๆ ปี
ในภาวะสงคราม ชาวนาเหล่านี้ก็ต้องถูกเกณฑ์ไปออกศึกสงครามอยู่แนวหน้า(เพราะเป็นทหารชั้นเลว??) เลือดที่หลั่งนองทาแผ่นดินเพื่อปกป้องแว่นแคว้นแห่งตนเอาไว้ก็คือเลือดไพร่และเลือดชาวนาซะส่วนใหญ่ และข้าวอันเป็นเสบียงหลักของกองทัพก็มาจากหยาดเหงื่อแรงงานของพวกเขาด้วย
พูดโดยหลักความจริง ผมคิดว่าผมไม่เวอร์นะที่บอกว่า “ข้าว” และ “คนปลูกข้าว” มีบทบาทสำคัญมากในการสร้างปึกแผ่นให้กับชาติไทย คือง่ายสุดแบบกำปั้นทุบดิ้นเปรี้ยงเลยนะครับ ข้าวและคนปลูกข้าวคือสิ่งและบุคคลที่ส่งเสริมการดำรงอยู่ของชาติไทยในอดีต ไม่ว่าจะเชิงเศรษฐกิจ สงคราม การเมือง การใช้ชีวิตประจำวัน ความสำคัญของ “ข้าว”มีมาตั้งแต่มนุษย์รู้จักการปลูกข้าวครั้งแรก(แต่แปลไหม? ความสำคัญของ “คนปลูกข้าว” กลับถูกมองข้ามและเหยียดหยามมาตลอด เพราะสถานะความเป็นไพร่ของคนปลูกข้าวนั่นเอง อันนี้ผมตั้งข้อสังเกตุเองนะครับ)
ความสำคัญของข้าวในระดับชาตินั้น ในสมัยโบราณจากอยุธยาถึงรัตนโกสินทร์ถึงกับมีการออกกฏหมายว่าด้วยการละเมิดเกี่ยวกับกสิกรรม ที่เกี่ยวกับข้าวไว้อย่างละเอียดและมากมาย เช่นการกำหนดเงินปรับไหมต่อการขโมยข้าว โดยกำหนดอัตราการปรับไว้ ๕ ขั้นตามระยะการเติบโตของต้นข้าว และตามระยะของกิจการที่ได้กระทำ(ปลูกข้าว)ไปมากน้อยเพียงใด เงินปรับไหมนั้นให้คำนวนตามจำฟ่อนหรือกำข้าว แต่ถ้าเป็นข้าวซึ่งนำเอาเก็บแล้วให้ติดเงินปรับเป็นสองเท่าของราคาในตลาด ถ้าข้าวที่ถูกขโมยไปมีจำนวนมาก ผู้ลักจะต้องถูกชำระโทษทางอาญาเพิ่ม (คือเรียกได้ว่าโดนทั้งแพ่งทั้งอาญา : วัชรานนท์)(ประวัติกฏหมายไทยเล่มหนึ่ง หน้า ๑๓๑)
และยังมีหยุมหยิมอีกหลายกรณีเกี่ยวกับการละเมิดทางกสิกรรมที่เกี่ยวกับข้าว เช่น ผู้ที่ต้ดต้นไม้โค่นทับนาทำให้ข้าวผู้อื่นเสียหาย/ผู้ที่ถอนข้าวในนาผู้อื่นผู้ที่จับปลาในนาผู้อื่น/ผู้ที่ถ่ายอุจาระในนาหรือในเกวียนผู้อื่น/ผู้ที่ถ่อเรือลัดเข้าไปในนาทำให้ข้าวแหลกลู่/ผู้ที่ลอบไขน้ำออกจากนาผู้อื่น/ผู้ที่ทำให้นาของผู้อื่นแห้งโดยไขน้ำออกจากนา/ผู้ที่ขุดดินในนาของผู้อื่นแล้วลักเอาดินนั้นไป/ผู้ที่ไปชิงไถนาของผู้ที่ไถอยู่/ผู้ที่เข้าไปไถนาผู้อื่นที่เขาได้ปลูกข้าวแล้ว/ผู้ที่เข้าปักดำนาผู้อื่น/ผู้ที่เข้าพูดโคกหรือปลูกห้างในนาผู้อื่น ฯลฯ (ประวัติกฏหมายไทยเล่มหนึ่ง หน้า ๑๓๖) ที่ยกมานี่เอาเฉพาะที่เกี่ยวกับ “ข้าว” นะครับ มาตราที่ว่าด้วยแอก คันไถ วัว ควาย เกวียนก็มีละเอียดปลีกย่อยอีก
เป็นความสำคัญของข้าวที่ทางการต้องออกมาตราปกป้องคุ้มครองไว้ละเอียดครับ ในยุคนั้นยังไม่มีพิชซ่า เคเอฟซี อะไรต่อมิอะไรเหมือนสมัยนี้ ข้าวและคนปลูกข้าวจึงมีบทบาทสำคัญระดับชาติระดับประเทศ บางสถานการณ์ก็ชี้เป็นชี้ตายอนาคตของชาติได้เลย....แต่ทำไม๊? ทำไม? ทั้งข้าวและคนปลูกข้าวมักจะถูกมองเสมอโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยนี้
เล่าเกร็ดประวัติศาสตร์ก่อนที่กรุงศรีอุยธาจะเสียกรุงครั้งที่สองพร้อมวิเคราะห์แบบส่วนตัวให้ฟัง พม่าได้ส่งไพร่พลพม่าเข้ามาปลูกข้าวแถวๆ กำแพงเพชรล่วงหน้าเป็นปีเพื่อเก็บไว้เป็นเสบียงให้กับกองทัพของเนเมียวสีหบดีซึ้งกำลังไล่ตีตั้งแต่เชียงใหม่ลงมา พม่าคะเนว่าคงจะใช้เวลาตีกรุงศรีฯ อยู่นานถึงจะแตก จึงเตรียมตุนเสบียงไว้ล่วงหน้าเช่นนี้ ส่วนกรุงศรีก็ใช้กลยุทธ์ปิดประตูเมือง “ตั้งรับ” ประวิงเวลาให้พม่าหมดเสบียงอาหารไป และฝากชะตากรรมไว้ที่ฤดูน้ำหลากที่จะมาถึง จะเห็นว่าทั้งกลุยุทธ์เข้าตีและตั้งรับนั้น มีข้าวคือเสบียงเป็นตัวแปร
หนึ่งในสาระสำคัญของสนธิสัญญาเบาริ่งที่สยามต้องยอมทำกับอังกฤษนั้นก็มี “ข้าว”ในสนธิสัญญานั้นด้วย และหลังการตกลงสนธิสัญญาเบาริ่ง รัฐบาลไทยก็ได้ออกประกาศเตือนราษฏรหลายฉบับที่เกี่ยวกับข้าวไว้ใน “ประชุมประกาศรัชกาลที่๔” เช่นประกาศฉับที่ ๘๘ ปี ๒๔๙๙ เรื่องประกาศให้ราษฏรซื้อข้าว เพราะข้าวจะถูกเปิดให้ออกจำหน่ายนอกประเทศ(ราคาจะสูงขึ้น : วัชรานนท์) ประกาศฉบับที่ ๑๐๔ ว่าด้วยการซื้อข้าวในปีมะเส็ง ประกาศฉบับที่ ๒๔๓ ว่าด้วยการสงวนข้าวไว้ให้พอกินตลอดปี ประกาศฉบับที่ ๒๕๒ ว่าด้วยเรื่องราคาข้าว ประกาศฉบับที่ ๒๕๖ ว่าด้วยห้ามมิให้จำหน่ายข้าวออกนอกประเทศ ประกาศฉบับที่ ๒๖๖ ว่าด้วยห้ามมิให้พิกัดราคาข้าว ฯลฯ
พิมพ์มาซะยืดยาวเพื่ออยากจะอธิบายเพื่อนสมาชิกที่หลังไมค์ไปสะกิดผมว่าผมยกความสำคัญให้ข้าวและคนปลูกข้าวระเวอร์ไปถึงขั้นว่าเป็นส่วนสำคัญของความปึกแผ่นของชาตินั้น ผมยืนยันว่าผมไม่เวอร์นะครับ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้นะครับ.....
ตอบเพื่อนสมาชิกบางท่านว่าด้วยกระทู้..."ข้าวที่ไหน จะสมาร์ตเท่าข้าวไทยเป็นไม่มี"
คิดว่าคงจะไม่เกินไปนักถ้าจะพูดว่าความมั่นคงเป็นปึกแผ่นของชาติไทยนั้น “ข้าว” และ “ผู้ผลิตข้าว” มีบทบาทสำคัญมากถึงมากที่สุด โดยทั่วๆ ไป..เวลาเราพูดถึงความมั่นคงของชาติไทยที่มีอยู่ทุกวันนี้เรามักจะระลึกถึงวีรกรรมของคนไม่กี่คนหรือกลุ่มเล็กๆ แต่โดยหลักความน่าจะเป็นแล้ว แต่ละ “ปึก” และแต่และ “แผ่น” ที่บรรพบุรุษสร้างขึ้นจนเป็นชาติไทยทุกวันนี้ บรรพบุรุษของเราแทบทุกคนมีส่วนร่วม....และที่ปิดทองหลังพระ(หรือประวัติศาสตร์ไทยแทบจะไม่เอ่ยถึงเลย)ก็คือรากหญ้าครอบครัวชาวนานี่เอง......
ยามอยู่ในภาวะปรกติก็ต้องปลูกข้าว และเสียภาษีส่งหางข้าวเข้ายุ้งหลวงในอัตราชัก ข้าว๒ถังต่อหนึ่งไร่ (ต่อมาสมัยสมเด็จพระนารายณ์เปลี่ยนจากภาษีข้าวมาเป็นเงิน คือหนึ่งสลึงต่อหนึ่งไร่) และในฐานะที่เป็นทั้งไพร่ทั้งชาวนา...ก็ต้องทำหน้าที่ไพร่สมเข้าเวรหกเดือน(เข้าเดือนออกเดือน)ทุกๆ ปี
ในภาวะสงคราม ชาวนาเหล่านี้ก็ต้องถูกเกณฑ์ไปออกศึกสงครามอยู่แนวหน้า(เพราะเป็นทหารชั้นเลว??) เลือดที่หลั่งนองทาแผ่นดินเพื่อปกป้องแว่นแคว้นแห่งตนเอาไว้ก็คือเลือดไพร่และเลือดชาวนาซะส่วนใหญ่ และข้าวอันเป็นเสบียงหลักของกองทัพก็มาจากหยาดเหงื่อแรงงานของพวกเขาด้วย
พูดโดยหลักความจริง ผมคิดว่าผมไม่เวอร์นะที่บอกว่า “ข้าว” และ “คนปลูกข้าว” มีบทบาทสำคัญมากในการสร้างปึกแผ่นให้กับชาติไทย คือง่ายสุดแบบกำปั้นทุบดิ้นเปรี้ยงเลยนะครับ ข้าวและคนปลูกข้าวคือสิ่งและบุคคลที่ส่งเสริมการดำรงอยู่ของชาติไทยในอดีต ไม่ว่าจะเชิงเศรษฐกิจ สงคราม การเมือง การใช้ชีวิตประจำวัน ความสำคัญของ “ข้าว”มีมาตั้งแต่มนุษย์รู้จักการปลูกข้าวครั้งแรก(แต่แปลไหม? ความสำคัญของ “คนปลูกข้าว” กลับถูกมองข้ามและเหยียดหยามมาตลอด เพราะสถานะความเป็นไพร่ของคนปลูกข้าวนั่นเอง อันนี้ผมตั้งข้อสังเกตุเองนะครับ)
ความสำคัญของข้าวในระดับชาตินั้น ในสมัยโบราณจากอยุธยาถึงรัตนโกสินทร์ถึงกับมีการออกกฏหมายว่าด้วยการละเมิดเกี่ยวกับกสิกรรม ที่เกี่ยวกับข้าวไว้อย่างละเอียดและมากมาย เช่นการกำหนดเงินปรับไหมต่อการขโมยข้าว โดยกำหนดอัตราการปรับไว้ ๕ ขั้นตามระยะการเติบโตของต้นข้าว และตามระยะของกิจการที่ได้กระทำ(ปลูกข้าว)ไปมากน้อยเพียงใด เงินปรับไหมนั้นให้คำนวนตามจำฟ่อนหรือกำข้าว แต่ถ้าเป็นข้าวซึ่งนำเอาเก็บแล้วให้ติดเงินปรับเป็นสองเท่าของราคาในตลาด ถ้าข้าวที่ถูกขโมยไปมีจำนวนมาก ผู้ลักจะต้องถูกชำระโทษทางอาญาเพิ่ม (คือเรียกได้ว่าโดนทั้งแพ่งทั้งอาญา : วัชรานนท์)(ประวัติกฏหมายไทยเล่มหนึ่ง หน้า ๑๓๑)
และยังมีหยุมหยิมอีกหลายกรณีเกี่ยวกับการละเมิดทางกสิกรรมที่เกี่ยวกับข้าว เช่น ผู้ที่ต้ดต้นไม้โค่นทับนาทำให้ข้าวผู้อื่นเสียหาย/ผู้ที่ถอนข้าวในนาผู้อื่นผู้ที่จับปลาในนาผู้อื่น/ผู้ที่ถ่ายอุจาระในนาหรือในเกวียนผู้อื่น/ผู้ที่ถ่อเรือลัดเข้าไปในนาทำให้ข้าวแหลกลู่/ผู้ที่ลอบไขน้ำออกจากนาผู้อื่น/ผู้ที่ทำให้นาของผู้อื่นแห้งโดยไขน้ำออกจากนา/ผู้ที่ขุดดินในนาของผู้อื่นแล้วลักเอาดินนั้นไป/ผู้ที่ไปชิงไถนาของผู้ที่ไถอยู่/ผู้ที่เข้าไปไถนาผู้อื่นที่เขาได้ปลูกข้าวแล้ว/ผู้ที่เข้าปักดำนาผู้อื่น/ผู้ที่เข้าพูดโคกหรือปลูกห้างในนาผู้อื่น ฯลฯ (ประวัติกฏหมายไทยเล่มหนึ่ง หน้า ๑๓๖) ที่ยกมานี่เอาเฉพาะที่เกี่ยวกับ “ข้าว” นะครับ มาตราที่ว่าด้วยแอก คันไถ วัว ควาย เกวียนก็มีละเอียดปลีกย่อยอีก
เป็นความสำคัญของข้าวที่ทางการต้องออกมาตราปกป้องคุ้มครองไว้ละเอียดครับ ในยุคนั้นยังไม่มีพิชซ่า เคเอฟซี อะไรต่อมิอะไรเหมือนสมัยนี้ ข้าวและคนปลูกข้าวจึงมีบทบาทสำคัญระดับชาติระดับประเทศ บางสถานการณ์ก็ชี้เป็นชี้ตายอนาคตของชาติได้เลย....แต่ทำไม๊? ทำไม? ทั้งข้าวและคนปลูกข้าวมักจะถูกมองเสมอโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยนี้
เล่าเกร็ดประวัติศาสตร์ก่อนที่กรุงศรีอุยธาจะเสียกรุงครั้งที่สองพร้อมวิเคราะห์แบบส่วนตัวให้ฟัง พม่าได้ส่งไพร่พลพม่าเข้ามาปลูกข้าวแถวๆ กำแพงเพชรล่วงหน้าเป็นปีเพื่อเก็บไว้เป็นเสบียงให้กับกองทัพของเนเมียวสีหบดีซึ้งกำลังไล่ตีตั้งแต่เชียงใหม่ลงมา พม่าคะเนว่าคงจะใช้เวลาตีกรุงศรีฯ อยู่นานถึงจะแตก จึงเตรียมตุนเสบียงไว้ล่วงหน้าเช่นนี้ ส่วนกรุงศรีก็ใช้กลยุทธ์ปิดประตูเมือง “ตั้งรับ” ประวิงเวลาให้พม่าหมดเสบียงอาหารไป และฝากชะตากรรมไว้ที่ฤดูน้ำหลากที่จะมาถึง จะเห็นว่าทั้งกลุยุทธ์เข้าตีและตั้งรับนั้น มีข้าวคือเสบียงเป็นตัวแปร
หนึ่งในสาระสำคัญของสนธิสัญญาเบาริ่งที่สยามต้องยอมทำกับอังกฤษนั้นก็มี “ข้าว”ในสนธิสัญญานั้นด้วย และหลังการตกลงสนธิสัญญาเบาริ่ง รัฐบาลไทยก็ได้ออกประกาศเตือนราษฏรหลายฉบับที่เกี่ยวกับข้าวไว้ใน “ประชุมประกาศรัชกาลที่๔” เช่นประกาศฉับที่ ๘๘ ปี ๒๔๙๙ เรื่องประกาศให้ราษฏรซื้อข้าว เพราะข้าวจะถูกเปิดให้ออกจำหน่ายนอกประเทศ(ราคาจะสูงขึ้น : วัชรานนท์) ประกาศฉบับที่ ๑๐๔ ว่าด้วยการซื้อข้าวในปีมะเส็ง ประกาศฉบับที่ ๒๔๓ ว่าด้วยการสงวนข้าวไว้ให้พอกินตลอดปี ประกาศฉบับที่ ๒๕๒ ว่าด้วยเรื่องราคาข้าว ประกาศฉบับที่ ๒๕๖ ว่าด้วยห้ามมิให้จำหน่ายข้าวออกนอกประเทศ ประกาศฉบับที่ ๒๖๖ ว่าด้วยห้ามมิให้พิกัดราคาข้าว ฯลฯ
พิมพ์มาซะยืดยาวเพื่ออยากจะอธิบายเพื่อนสมาชิกที่หลังไมค์ไปสะกิดผมว่าผมยกความสำคัญให้ข้าวและคนปลูกข้าวระเวอร์ไปถึงขั้นว่าเป็นส่วนสำคัญของความปึกแผ่นของชาตินั้น ผมยืนยันว่าผมไม่เวอร์นะครับ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้นะครับ.....