จะเลือกเดินหน้าหรือถอยหลัง เราเท่านั้นต้อง รู้จริงก่อนจึงตัดสินใจ
ที่มา
http://www.posttoday.com/analysis/politic/415685
โดย..อุเทน ชาติภิญโญ....
ประเด็นร้อนแรงและได้รับความสนใจมากที่สุดในช่วงนี้ คงหนีไม่พ้นเรื่องร่างรัฐธรรมนูญร่างแรกของ คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ที่มี คุณมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธาน พร้อมด้วยกรรมการรวม 21 คน ซึ่งได้เผยโฉมออกสู่สาธารณะเมื่อช่วงปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา
เพียงสัปดาห์เศษร่างรัฐธรรมนูญร่างแรกของ กรธ.ที่อวดว่าเป็นฉบับที่ป้องกันการทุจริต มีบทลงโทษผู้กระทำความผิดที่เข้มงวด หรือที่คุณมีชัยและคณะบอกว่าเป็น "ฉบับปราบโกง" ก็ถูกชำแหละจากหลายฝ่ายจนแทบไม่เหลือชิ้นดี อย่างผมเองก็มีน้องๆสื่อมวลชนมาสอบถามความคิดเห็น และนำไปเสนอเป็นข่าวหลายครั้งในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา
สิ่งที่ผมเป็นห่วงเนื้อหาของร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ไม่ใช่เรื่องกระบวนการเขาสู่ตำแหน่งของนักการเมือง หรือการเลือกตั้ง ส.ส. ที่มีความพยายามออกแบบให้ผิดแผกแตกต่างไปจากรูปแบบการเลือกตั้งในอดีตที่ผ่านมา มีการตั้งชื่อด้วยว่าเป็นแบบแบ่งสรรปันส่วน ซึ่งว่ากันว่ากฎระเบียบต่างๆจะไม่เอื้ออำนวยให้แก่พรรคการเมืองขนาดเล็ก จุดนี้แม้ว่าผมจะเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองเล็กๆ แต่ก็ยอมมองข้ามไป
ที่ยกตัวอย่างขึ้นมาก็เพื่อจะบอกว่า ในฐานะนักการเมืองคงต้องจำใจสามารถมองข้ามเนื้อหาบางส่วนในร่างรัฐธรรมนูญของคุณมีชัยไป แม้จะได้รับผลกระทบโดยตรงก็ตาม แต่ก็มีเนื้อหาหลายส่วนที่ไม่ควรปล่อยให้ผ่านไป ตรงนี้อยากจะพูดในฐานะประชาชนคนไทยคนหนึ่ง และอยากจะชี้ให้ท่านผู้อ่านในฐานะหุ้นส่วนประเทศเห็นถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต หากบทบัญญัติหลายส่วนของร่างรัฐธรรมนูญผ่านไปจนมีการประกาศใช้
ส่วนแรกที่อยากพูดถึงคือ ในหมวด 15 ที่เกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ คงจำกันได้ว่า หมวดเดียวกันนี้ในรัฐธรรมนูญปี 2550 ได้สร้างความวุ่นวายขนาดไหนเมื่อสมัยรัฐบาลชุดที่แล้ว ทั้งที่รัฐธรรมนูญฉบับนั้นเปิดทางให้สามารถแก้ไขได้ มาวันนี้ในร่างของ กรธ.กลับกำหนดเงื่อนไขไว้อย่างซับซ้อน จนมองได้ว่าแก้ไขได้ยาก หรือแทบเป็นไปไม่ได้เลย ใครคิดจะเสนอหรือร่วมลงมติแก้ไขรัฐธรรมนูญ สุ่มเสี่ยงที่จะถูกตั้งข้อหาล้มล้างการปกครอง หรืออาจถูกขัดขวางได้ง่ายโดย ส.ส.หรือ ส.ว.เพียงไม่กี่คน ถึงวันนั้นไม่รู้จะวุ่นวายแค่ไหน สุดท้ายเมื่อมีความจำเป็นต้องแก้ไขเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญในอนาคต ก็ต้องพึ่งวิธีรัฐประหารเข้ามาฉีกทิ้งทั้งฉบับเท่านั้น
อีกส่วนที่น่ากลัวและเป็นอันตรายอย่างยิ่ง ก็เรื่อง "องค์กรอิสระ" ในร่างของคุณมีชัยมีการตัดทอนและเพิ่มเติมจากรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 และปี 2550 พอสมควร ส่วนที่น่ากลัวคือการเพิ่มอำนาจต่างขององค์กรเหล่านั้น โดยเฉพาะ "ศาลรัฐธรรมนูญ" ที่ถึงกับแยกเป็นหมวดเฉพาะในออกมาในหมวดที่ 11 ขณะที่ศาลอื่นๆอยู่ในหมวดที่ 10 ส่วนองค์กรอิสระที่เหลืออยู่ในหมวดที่ 12 สะท้อนว่า กรธ. "ให้ความสำคัญ" กับศาลรัฐธรรมนูญมาก จนเป็นอำนาจที่ 4 ที่ขึ้นมาคานอำนาจ "เสาหลักประชาธิปไตย" ที่ควรมีอยู่เพียง 3 ฝ่าย ได้แก่ ฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ
เมื่อมองลึกลงไปยังมีการเพิ่มอำนาจ "ศาลรัฐธรรมนูญ" ให้ตีความได้แบบครอบจักรวาล อาจจะพูดได้ว่า มีอำนาจมากจนอยู่เหนือเสาหลักอื่นๆเลยด้วยซ้ำ
ขณะที่องค์กรอิสระอื่นๆก็มีการเพิ่มอำนาจในหลายส่วน เช่น คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หรือสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ซึ่งอาจเข้ามาก้าวก่ายการบริหารงาน การใช้จ่ายงบประมาณ ตลอดจนเรื่องการตรากฎหมายต่างๆ ที่เป็นการจ้องจับผิดนักการเมือง โดยที่ไม่สนใจเลยว่า ที่มาของผู้บริหาร และระบบขององค์กรเหล่านั้นย่ำแย่ขนาดไหน อีกทั้งผลงานในอดีตขององค์กรเหล่านี้ก็สร้างปัญหามาโดยตลอดหลังจากที่ถือกำเนิดขึ้นครั้งแรกในรัฐธรรมนูญปี 2540 หลายๆกรณี คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ป.ป.ช. คณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) หรือ สตง.สร้างความเคลือบแคลงสงสัยให้แก่สังคมมากกว่าที่จะแก้ปัญหา
ในความเป็นจริง คสช.ควรถือโอกาสนี้ปฏิรูป หรือยุบทิ้งบรรดาองค์กรอิสระไปเสียด้วยซ้ำ ทั้งในเรื่องที่มาที่ให้คนเพียงไม่กี่คนคัดเลือก ในเรื่องผลงานก็ไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควรจะเป็น ผู้บริหารบางองค์กรที่มีหน้าที่ตรวจสอบการทุจริต กลับมีคดีหรือข้อกล่าวหาเกี่ยวการทุจริตเสียเอง ทั้งอดีตผู้ว่า สตง. และอดีตกรรมการ กกต. เป็นต้น เรื่องที่ถูกกล่าวหาก็เป็นเรื่องการหาผลประโยชน์ให้ตัวเองและคนรอบข้าง ตรงนี้สะท้อนว่า คนเหล่านี้ยังมีความโลภโมโทสัน ไม่ควรได้รับการยกย่องให้เป็น "อรหันต์" มาทำหน้าที่ชี้ชะตาคนอื่น
เรื่อง "วิจารณญาณ - ดุลยพินิจ" ก็น่าเป็นห่วง หลายเรื่องวินิจฉัยแบบค้านสายตา ตลอดจนไม่ได้เป็นไปตามหลักการอำนวยความยุติธรรมอย่างแม้จริง อย่างล่าสุดกรณีที่ศาลฎีกาตัดสินจำคุก อดีตเจ้าหน้าที่ กกต. และอดีตนักการเมืองในคดีพรรคไทยรักไทยถูกกล่าวหาว่าจ้างวานพรรคเล็กลงสมัครเลือกตั้งเมื่อปี 2549 โดยที่ก่อนหน้านั้นศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ที่ถูกกล่าวหาเป็นผู้สั่งการ ก็ชี้ให้เห็นว่าพยาน-หลักฐานในคดีนี้มีน้ำหนักไม่เพียงพอที่จะเอาผิดพรรคไทยรักไทยที่ถูกกล่าวหาว่าจ้างวานพรรคเล็ก แต่กลับกลายมีน้ำหนักให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคและตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรคทั้ง 111 คนไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อผลออกมาเช่นนี้ย่อมสร้างความสับสนอย่างมากในบรรทัดฐานของศาลยุติธรรมกับศาลรัฐธรรมนูญ โดยที่ไม่มีใครรู้ข้อเท็จจริงว่าใครกันแน่เป็นผู้จ้างวานพรรคเล็กให้ลงสมัคร และใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังคำให้การของพยานและจำเลยที่ถูกตัดสินว่ามีความผิด หรืออาจมีขบวนการสร้างพยานเท็จขึ้นมาจากฝ่ายตรงข้าม หรือผู้ถูกกล่าวหาอาจกระทำผิดจริงกันแน่
หากมีการเพิ่มอำนาจให้องค์กรอิสระตามร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของ กรธ.แล้วเราจะเชื่อมั่นความถูกต้องชอบธรรมได้ขององค์กรเหล่านี้ได้อย่างไร ดังนั้นเราจึงไม่ควรหลอกตัวเองว่าจำเป็นต้องมีองค์กรเหล่านี้อยู่ เพราะประเทศไทยยังไม่พัฒนาไปถึงขนาดมีองค์กรใดมาทำหน้าที่อย่างอิสระโดยขาดการถ่วงดุลจากองค์กรอื่นๆ
ไล่เรียงมาทั้งหมด ก็อยากบอกให้ทุกคนตั้งสติและรู้เท่าทันเรื่องราวของบ้านเมืองเรา ที่เป็นไปในลักษณะมีบางกลุ่มบางพวกพยายามสร้างมายาคติ สร้างผู้ร้าย สร้างสถานการณ์ต่างๆ ผ่านกลไกที่เป็นกติกาสูงสุดซึ่งเรียกกันว่า "รัฐธรรมนูญ" โดยเฉพาะในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ดูเหมือนว่ามีขบวนการสมคบคิด สร้างสถานการณ์ทำให้เกิดความขัดแย้ง ในลักษณะ "แบ่งแยกแล้วปกครอง"
แล้วเราก็น่าจะตั้งคำถามกันว่า ที่ผ่านมากว่า 80 ปีมีรัฐธรรมนูญมากี่ฉบับ ทั้งหมดก็ร่างโดยนักการเมือง และ "นักกฎหมายใหญ่" ของประเทศ เกือบทุกครั้งก็ร่างภายใต้การปกครองของ "คณะรัฐประหาร" ซึ่งมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด แต่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายสูงสุดที่ออกมาก็ยังไม่เห็นทำให้ประเทศชาติบ้านเมืองดีขึ้นแต่อย่างใดเลย
เคยมีคนบอกว่า คนไทยเรา บางทีก็ยกย่องชื่นชมคนผิดๆ ซึ่งก็เป็นจริง หลายคนได้รับโอกาสอยู่ในอำนาจ กำหนดทิศทางประเทศ แต่ก็ไม่เห็นทำให้ประเทศดีขึ้น ต้องถามว่าเพราะอะไร ไม่มีความสามารถอย่างที่ผู้คนยกย่องกัน หรือไร้คุณธรรมจนทำทุกอย่างตามใบสั่ง โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อบ้านเมืองหรือลูกหลานในอนาคต อย่างร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็ผ่านมือคุณบวรศักดิ์ จนมาถึงคุณมีชัย และขาดไม่ได้ คุณวิษณุ เครืองาม มือกฎหมายของ คสช. ทั้ง 3 คนล้วนได้รับการยกย่องว่าเป็น "มือกฎหมายประเทศไทย" อยู่ทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลังการร่างรัฐธรรมนูญมาหลายฉบับในอดีต เฉพาะคุณมีชัยในรอบเกือบ 30 ปีมานี่ ร่วมร่างทั้งแบบถาวรและชั่วคราวมาแล้วอย่างน้อยๆ 5 ฉบับ โดยเฉพาะรัฐธรรมนูญฉบับปี 2534 ซึ่งทำให้เกิดเหตุการณ์สำคัญเมื่อเดือนพฤษภาคม 2535 และรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ที่ทำให้คนไทยแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ตลอดกันแบบไม่รู้จบ ก่อนที่ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะเข้ามา
ผมก็เป็นคนหนึ่งที่เชื่อมั่นในความตั้งใจจริงของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.ที่ต้องการนำชาติผ่านพ้นวิกฤตความขัดแย้งและนำไปสู่การปฏิรูป แต่เกือบ 2 ปีมานี่ก็ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ว่าเหตุใด พล.อ.ประยุทธ์ จึงไปดึงเอาคนเหล่านี้เข้ามามีส่วนร่วมในช่วงสำคัญของประเทศ ทั้งยังวางบทบาทสำคัญในการกำหนดกติกาสูงสุดของประเทศอีกด้วย
ทั้งๆที่เราเป็นประชาธิปไตยมาก่อนใคร เมืองขึ้นต่างชาติก็ไม่เคยเป็น แต่ประเทศไทยกลับเจริญลงๆ จนเพื่อนบ้านรอบประเทศที่เคยมองว่าห่างกันเป็นสิบปีไล่ตามทัน และบางประเทศเกือบจะแซงเราไปแล้วด้วยซ้ำ วันนี้เรากล้าพูดหรือไม่ว่าเราเป็น "ผู้นำอาเซียน" ที่เห็นพูดกันก็คือเราเป็น "ศูนย์กลางอาเซียน" ตามภูมิศาสตร์เท่านั้น
คงต้องถามแบบวัยรุ่นว่า "เรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร??" เพราะใครกันที่ทำ หรือเป็นเพราะระบบการปกครอง แล้วรัฐธรรมนูญ หรือประชาธิปไตยแบบไหนที่เหมาะกับเรา ที่จะทำให้ประเทศเราพัฒนาจริงๆเสียที
ถ้าถามผม ก็คงต้องบอกว่า เราควรถอยหลังตั้งหลักให้มั่นกันเสียก่อน อย่าพยายามเดินหน้าโดยที่รากฐานยังไม่มั่นคง หรืออือออตามแบบที่บางคนบางกลุ่มอยากให้เป็น เรื่องรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายสูงสุด จริงอยู่ต้องมีความเป็นสากล เพื่อให้นานาชาติยอมรับ แต่ก็ต้องคำนึงถึงบริบทที่แตกต่าง ความพร้อมในด้านต่างๆของเราด้วย โดยเฉพาะเรื่องบุคคลที่ทำหน้าที่ในตำแหน่งสำคัญต่างๆ อย่างองค์กรอิสระที่กล่าวถึงไปข้างต้น
ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ย้อนไปหยิบเอาฉบับก่อนปี 2540 มาใช้ก่อน ค่อยๆปรับค่อยๆจูนกันไป ศึกษา สร้างการเรียนรู้ พัฒนาไปพร้อมๆกัน ไม่ใช่ดันทุรังใช้กฎกติกาที่บางคนบางกลุ่มกำหนด แล้วสุดท้ายเราก็มาทะเลาะกัน คนกลุ่มเดิมก็ใช้เป็นข้ออ้างเข้ามาฉีกกติกา และร่างรัฐธรรมนูญใหม่ให้เราทะเลาะกันอีกไม่รู้จบสิ้น กลายเป็นวัฎจักรหรือวงจรอุบาทว์อยู่แบบนี้
ควรถามตัวเองว่าจะทนอยู่แบบนี้ หรือต้องรู้เท่าทันให้มากขึ้น พอกันทีกับประชาธิปไตยจอมปลอม ลองคิดกันดูนะครับ
จะเลือกเดินหน้าหรือถอยหลัง เราเท่านั้นต้อง รู้จริงก่อนจึงตัดสินใจ
ที่มา http://www.posttoday.com/analysis/politic/415685
โดย..อุเทน ชาติภิญโญ....
ประเด็นร้อนแรงและได้รับความสนใจมากที่สุดในช่วงนี้ คงหนีไม่พ้นเรื่องร่างรัฐธรรมนูญร่างแรกของ คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ที่มี คุณมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธาน พร้อมด้วยกรรมการรวม 21 คน ซึ่งได้เผยโฉมออกสู่สาธารณะเมื่อช่วงปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา
เพียงสัปดาห์เศษร่างรัฐธรรมนูญร่างแรกของ กรธ.ที่อวดว่าเป็นฉบับที่ป้องกันการทุจริต มีบทลงโทษผู้กระทำความผิดที่เข้มงวด หรือที่คุณมีชัยและคณะบอกว่าเป็น "ฉบับปราบโกง" ก็ถูกชำแหละจากหลายฝ่ายจนแทบไม่เหลือชิ้นดี อย่างผมเองก็มีน้องๆสื่อมวลชนมาสอบถามความคิดเห็น และนำไปเสนอเป็นข่าวหลายครั้งในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา
สิ่งที่ผมเป็นห่วงเนื้อหาของร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ไม่ใช่เรื่องกระบวนการเขาสู่ตำแหน่งของนักการเมือง หรือการเลือกตั้ง ส.ส. ที่มีความพยายามออกแบบให้ผิดแผกแตกต่างไปจากรูปแบบการเลือกตั้งในอดีตที่ผ่านมา มีการตั้งชื่อด้วยว่าเป็นแบบแบ่งสรรปันส่วน ซึ่งว่ากันว่ากฎระเบียบต่างๆจะไม่เอื้ออำนวยให้แก่พรรคการเมืองขนาดเล็ก จุดนี้แม้ว่าผมจะเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองเล็กๆ แต่ก็ยอมมองข้ามไป
ที่ยกตัวอย่างขึ้นมาก็เพื่อจะบอกว่า ในฐานะนักการเมืองคงต้องจำใจสามารถมองข้ามเนื้อหาบางส่วนในร่างรัฐธรรมนูญของคุณมีชัยไป แม้จะได้รับผลกระทบโดยตรงก็ตาม แต่ก็มีเนื้อหาหลายส่วนที่ไม่ควรปล่อยให้ผ่านไป ตรงนี้อยากจะพูดในฐานะประชาชนคนไทยคนหนึ่ง และอยากจะชี้ให้ท่านผู้อ่านในฐานะหุ้นส่วนประเทศเห็นถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต หากบทบัญญัติหลายส่วนของร่างรัฐธรรมนูญผ่านไปจนมีการประกาศใช้
ส่วนแรกที่อยากพูดถึงคือ ในหมวด 15 ที่เกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ คงจำกันได้ว่า หมวดเดียวกันนี้ในรัฐธรรมนูญปี 2550 ได้สร้างความวุ่นวายขนาดไหนเมื่อสมัยรัฐบาลชุดที่แล้ว ทั้งที่รัฐธรรมนูญฉบับนั้นเปิดทางให้สามารถแก้ไขได้ มาวันนี้ในร่างของ กรธ.กลับกำหนดเงื่อนไขไว้อย่างซับซ้อน จนมองได้ว่าแก้ไขได้ยาก หรือแทบเป็นไปไม่ได้เลย ใครคิดจะเสนอหรือร่วมลงมติแก้ไขรัฐธรรมนูญ สุ่มเสี่ยงที่จะถูกตั้งข้อหาล้มล้างการปกครอง หรืออาจถูกขัดขวางได้ง่ายโดย ส.ส.หรือ ส.ว.เพียงไม่กี่คน ถึงวันนั้นไม่รู้จะวุ่นวายแค่ไหน สุดท้ายเมื่อมีความจำเป็นต้องแก้ไขเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญในอนาคต ก็ต้องพึ่งวิธีรัฐประหารเข้ามาฉีกทิ้งทั้งฉบับเท่านั้น
อีกส่วนที่น่ากลัวและเป็นอันตรายอย่างยิ่ง ก็เรื่อง "องค์กรอิสระ" ในร่างของคุณมีชัยมีการตัดทอนและเพิ่มเติมจากรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 และปี 2550 พอสมควร ส่วนที่น่ากลัวคือการเพิ่มอำนาจต่างขององค์กรเหล่านั้น โดยเฉพาะ "ศาลรัฐธรรมนูญ" ที่ถึงกับแยกเป็นหมวดเฉพาะในออกมาในหมวดที่ 11 ขณะที่ศาลอื่นๆอยู่ในหมวดที่ 10 ส่วนองค์กรอิสระที่เหลืออยู่ในหมวดที่ 12 สะท้อนว่า กรธ. "ให้ความสำคัญ" กับศาลรัฐธรรมนูญมาก จนเป็นอำนาจที่ 4 ที่ขึ้นมาคานอำนาจ "เสาหลักประชาธิปไตย" ที่ควรมีอยู่เพียง 3 ฝ่าย ได้แก่ ฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ
เมื่อมองลึกลงไปยังมีการเพิ่มอำนาจ "ศาลรัฐธรรมนูญ" ให้ตีความได้แบบครอบจักรวาล อาจจะพูดได้ว่า มีอำนาจมากจนอยู่เหนือเสาหลักอื่นๆเลยด้วยซ้ำ
ขณะที่องค์กรอิสระอื่นๆก็มีการเพิ่มอำนาจในหลายส่วน เช่น คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หรือสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ซึ่งอาจเข้ามาก้าวก่ายการบริหารงาน การใช้จ่ายงบประมาณ ตลอดจนเรื่องการตรากฎหมายต่างๆ ที่เป็นการจ้องจับผิดนักการเมือง โดยที่ไม่สนใจเลยว่า ที่มาของผู้บริหาร และระบบขององค์กรเหล่านั้นย่ำแย่ขนาดไหน อีกทั้งผลงานในอดีตขององค์กรเหล่านี้ก็สร้างปัญหามาโดยตลอดหลังจากที่ถือกำเนิดขึ้นครั้งแรกในรัฐธรรมนูญปี 2540 หลายๆกรณี คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ป.ป.ช. คณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) หรือ สตง.สร้างความเคลือบแคลงสงสัยให้แก่สังคมมากกว่าที่จะแก้ปัญหา
ในความเป็นจริง คสช.ควรถือโอกาสนี้ปฏิรูป หรือยุบทิ้งบรรดาองค์กรอิสระไปเสียด้วยซ้ำ ทั้งในเรื่องที่มาที่ให้คนเพียงไม่กี่คนคัดเลือก ในเรื่องผลงานก็ไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควรจะเป็น ผู้บริหารบางองค์กรที่มีหน้าที่ตรวจสอบการทุจริต กลับมีคดีหรือข้อกล่าวหาเกี่ยวการทุจริตเสียเอง ทั้งอดีตผู้ว่า สตง. และอดีตกรรมการ กกต. เป็นต้น เรื่องที่ถูกกล่าวหาก็เป็นเรื่องการหาผลประโยชน์ให้ตัวเองและคนรอบข้าง ตรงนี้สะท้อนว่า คนเหล่านี้ยังมีความโลภโมโทสัน ไม่ควรได้รับการยกย่องให้เป็น "อรหันต์" มาทำหน้าที่ชี้ชะตาคนอื่น
เรื่อง "วิจารณญาณ - ดุลยพินิจ" ก็น่าเป็นห่วง หลายเรื่องวินิจฉัยแบบค้านสายตา ตลอดจนไม่ได้เป็นไปตามหลักการอำนวยความยุติธรรมอย่างแม้จริง อย่างล่าสุดกรณีที่ศาลฎีกาตัดสินจำคุก อดีตเจ้าหน้าที่ กกต. และอดีตนักการเมืองในคดีพรรคไทยรักไทยถูกกล่าวหาว่าจ้างวานพรรคเล็กลงสมัครเลือกตั้งเมื่อปี 2549 โดยที่ก่อนหน้านั้นศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ที่ถูกกล่าวหาเป็นผู้สั่งการ ก็ชี้ให้เห็นว่าพยาน-หลักฐานในคดีนี้มีน้ำหนักไม่เพียงพอที่จะเอาผิดพรรคไทยรักไทยที่ถูกกล่าวหาว่าจ้างวานพรรคเล็ก แต่กลับกลายมีน้ำหนักให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคและตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรคทั้ง 111 คนไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อผลออกมาเช่นนี้ย่อมสร้างความสับสนอย่างมากในบรรทัดฐานของศาลยุติธรรมกับศาลรัฐธรรมนูญ โดยที่ไม่มีใครรู้ข้อเท็จจริงว่าใครกันแน่เป็นผู้จ้างวานพรรคเล็กให้ลงสมัคร และใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังคำให้การของพยานและจำเลยที่ถูกตัดสินว่ามีความผิด หรืออาจมีขบวนการสร้างพยานเท็จขึ้นมาจากฝ่ายตรงข้าม หรือผู้ถูกกล่าวหาอาจกระทำผิดจริงกันแน่
หากมีการเพิ่มอำนาจให้องค์กรอิสระตามร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของ กรธ.แล้วเราจะเชื่อมั่นความถูกต้องชอบธรรมได้ขององค์กรเหล่านี้ได้อย่างไร ดังนั้นเราจึงไม่ควรหลอกตัวเองว่าจำเป็นต้องมีองค์กรเหล่านี้อยู่ เพราะประเทศไทยยังไม่พัฒนาไปถึงขนาดมีองค์กรใดมาทำหน้าที่อย่างอิสระโดยขาดการถ่วงดุลจากองค์กรอื่นๆ
ไล่เรียงมาทั้งหมด ก็อยากบอกให้ทุกคนตั้งสติและรู้เท่าทันเรื่องราวของบ้านเมืองเรา ที่เป็นไปในลักษณะมีบางกลุ่มบางพวกพยายามสร้างมายาคติ สร้างผู้ร้าย สร้างสถานการณ์ต่างๆ ผ่านกลไกที่เป็นกติกาสูงสุดซึ่งเรียกกันว่า "รัฐธรรมนูญ" โดยเฉพาะในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ดูเหมือนว่ามีขบวนการสมคบคิด สร้างสถานการณ์ทำให้เกิดความขัดแย้ง ในลักษณะ "แบ่งแยกแล้วปกครอง"
แล้วเราก็น่าจะตั้งคำถามกันว่า ที่ผ่านมากว่า 80 ปีมีรัฐธรรมนูญมากี่ฉบับ ทั้งหมดก็ร่างโดยนักการเมือง และ "นักกฎหมายใหญ่" ของประเทศ เกือบทุกครั้งก็ร่างภายใต้การปกครองของ "คณะรัฐประหาร" ซึ่งมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด แต่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายสูงสุดที่ออกมาก็ยังไม่เห็นทำให้ประเทศชาติบ้านเมืองดีขึ้นแต่อย่างใดเลย
เคยมีคนบอกว่า คนไทยเรา บางทีก็ยกย่องชื่นชมคนผิดๆ ซึ่งก็เป็นจริง หลายคนได้รับโอกาสอยู่ในอำนาจ กำหนดทิศทางประเทศ แต่ก็ไม่เห็นทำให้ประเทศดีขึ้น ต้องถามว่าเพราะอะไร ไม่มีความสามารถอย่างที่ผู้คนยกย่องกัน หรือไร้คุณธรรมจนทำทุกอย่างตามใบสั่ง โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อบ้านเมืองหรือลูกหลานในอนาคต อย่างร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็ผ่านมือคุณบวรศักดิ์ จนมาถึงคุณมีชัย และขาดไม่ได้ คุณวิษณุ เครืองาม มือกฎหมายของ คสช. ทั้ง 3 คนล้วนได้รับการยกย่องว่าเป็น "มือกฎหมายประเทศไทย" อยู่ทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลังการร่างรัฐธรรมนูญมาหลายฉบับในอดีต เฉพาะคุณมีชัยในรอบเกือบ 30 ปีมานี่ ร่วมร่างทั้งแบบถาวรและชั่วคราวมาแล้วอย่างน้อยๆ 5 ฉบับ โดยเฉพาะรัฐธรรมนูญฉบับปี 2534 ซึ่งทำให้เกิดเหตุการณ์สำคัญเมื่อเดือนพฤษภาคม 2535 และรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ที่ทำให้คนไทยแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ตลอดกันแบบไม่รู้จบ ก่อนที่ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะเข้ามา
ผมก็เป็นคนหนึ่งที่เชื่อมั่นในความตั้งใจจริงของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.ที่ต้องการนำชาติผ่านพ้นวิกฤตความขัดแย้งและนำไปสู่การปฏิรูป แต่เกือบ 2 ปีมานี่ก็ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ว่าเหตุใด พล.อ.ประยุทธ์ จึงไปดึงเอาคนเหล่านี้เข้ามามีส่วนร่วมในช่วงสำคัญของประเทศ ทั้งยังวางบทบาทสำคัญในการกำหนดกติกาสูงสุดของประเทศอีกด้วย
ทั้งๆที่เราเป็นประชาธิปไตยมาก่อนใคร เมืองขึ้นต่างชาติก็ไม่เคยเป็น แต่ประเทศไทยกลับเจริญลงๆ จนเพื่อนบ้านรอบประเทศที่เคยมองว่าห่างกันเป็นสิบปีไล่ตามทัน และบางประเทศเกือบจะแซงเราไปแล้วด้วยซ้ำ วันนี้เรากล้าพูดหรือไม่ว่าเราเป็น "ผู้นำอาเซียน" ที่เห็นพูดกันก็คือเราเป็น "ศูนย์กลางอาเซียน" ตามภูมิศาสตร์เท่านั้น
คงต้องถามแบบวัยรุ่นว่า "เรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร??" เพราะใครกันที่ทำ หรือเป็นเพราะระบบการปกครอง แล้วรัฐธรรมนูญ หรือประชาธิปไตยแบบไหนที่เหมาะกับเรา ที่จะทำให้ประเทศเราพัฒนาจริงๆเสียที
ถ้าถามผม ก็คงต้องบอกว่า เราควรถอยหลังตั้งหลักให้มั่นกันเสียก่อน อย่าพยายามเดินหน้าโดยที่รากฐานยังไม่มั่นคง หรืออือออตามแบบที่บางคนบางกลุ่มอยากให้เป็น เรื่องรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายสูงสุด จริงอยู่ต้องมีความเป็นสากล เพื่อให้นานาชาติยอมรับ แต่ก็ต้องคำนึงถึงบริบทที่แตกต่าง ความพร้อมในด้านต่างๆของเราด้วย โดยเฉพาะเรื่องบุคคลที่ทำหน้าที่ในตำแหน่งสำคัญต่างๆ อย่างองค์กรอิสระที่กล่าวถึงไปข้างต้น
ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ย้อนไปหยิบเอาฉบับก่อนปี 2540 มาใช้ก่อน ค่อยๆปรับค่อยๆจูนกันไป ศึกษา สร้างการเรียนรู้ พัฒนาไปพร้อมๆกัน ไม่ใช่ดันทุรังใช้กฎกติกาที่บางคนบางกลุ่มกำหนด แล้วสุดท้ายเราก็มาทะเลาะกัน คนกลุ่มเดิมก็ใช้เป็นข้ออ้างเข้ามาฉีกกติกา และร่างรัฐธรรมนูญใหม่ให้เราทะเลาะกันอีกไม่รู้จบสิ้น กลายเป็นวัฎจักรหรือวงจรอุบาทว์อยู่แบบนี้
ควรถามตัวเองว่าจะทนอยู่แบบนี้ หรือต้องรู้เท่าทันให้มากขึ้น พอกันทีกับประชาธิปไตยจอมปลอม ลองคิดกันดูนะครับ