JJNY : เราจะไปทางไหน#4 โคทม อารียา หากประชามติไม่ผ่าน เสนอสร้างฉันทามติใหม่ มีรัฐบาล - สสร.เลือกตั้ง

กระทู้คำถาม
ประชาไทสัมภาษณ์ โคทม อารียา ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี มหาวิทยาลัยมหิดล อดีตกรรมการการเลือกตั้ง (พ.ศ.2540-2544) และอดีตคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ถึงร่างรัฐธรรมนูญฉบับลงประชามติ วิเคราะห์รายประเด็นพบทั้งข้อดี และข้อเสีย พร้อมแนะทางออกหากประชาชนไม่เห็นชอมร่างรัฐธรรมนูญ ให้หยิบรัฐธรรมนูญ 2540 หรือ 2550 มาปรับใช้ให้มีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง และมี สสร. ของประชาชน ยืดเวลาให้ร่างรัฐธรรมนูญและปฎิรูปไป 3 ปี เพื่อให้ได้รัฐธรรมนูญที่มาจากฉันทามติที่แท้จริงของประชาชน

ภาพรวมสิทธิเสรีภาพยังพอรับได้ แต่มาตรา 5 บททั่วไปสร้างซูเปอร์บอร์ดโดยไม่จำเป็น

โคทม เริ่มต้นด้วยการกล่าวว่า ร่างรัฐธรรมนูญฉบับลงประชามตินั้น ภาพรวมในเรื่องของสิทธิเสรีภาพ เป็นสิ่งที่พอจะยอมรับได้ แต่ก็ยังคงมีความเห็นท้วงติงอยู่บ้าง เช่น ในหมวด 3 ที่เขียนว่า ‘สิทธิเสรีภาพของปวงชนชาวไทย’ อาจทำให้คิดได้ว่ามาตราต่างๆ ที่อยู่ภายใต้หมวดนี้จะให้หลักประกันเฉพาะบุคคลที่มีสัญชาติไทยเท่านั้น หากเป็นแรงงานต่างด้าว หรือชาวต่างชาติที่มาทัศนาจรอยู่ในประเทศไทย จะได้รับความคุ้มครองเพียงใด โคทมเห็นว่าสิทธิที่เป็นเรื่องพื้นฐานในลักษณะนี้ควรจะครอบคลุมบุคคลทุกคน

โคทม ชี้ต่อไปในมาตรา 25 ที่ระบุไว้ว่า การใดที่ไม่ได้ห้ามหรือจำกัดไว้ในรัฐธรรมนูญหรือในกฎหมายอื่น บุคคลย่อมมีสิทธิและเสรีภาพที่จะทำการนั้นได้และได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ ตราบเท่าที่การใช้สิทธิหรือเสรีภาพเช่นว่านั้นไม่กระทบกระเทือนหรือเป็นอันตรายต่อความั่นคงของรัฐ การเขียนในลักษณะนี้อาจเป็นการเปิดช่องทางให้มีการจำกัดสิทธิเสรีภาพโดยกฎหมายอื่นหรือไม่ แม้ว่าในมาตราถัดไปก็ได้ระบุว่า การจำกัดสิทธิเสรีภาพจะทำได้ตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ

ดูเจตนาแล้วก็คงเป็นไปในทางที่ดี คงไม่ต้องการให้มีกฎหมายมาจำกัดสิทธิเสรีภาพมากนัก แล้วเปิดช่องว่างถ้าไม่มีกฎหมายห้ามก็สามารถทำได้ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าผมตีความในร่างกฎหมายว่าด้วยประชามติ ก็ยังไม่เห็นข้อความใดห้ามการรณรงค์เชิญชวนผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญให้ลงมติไม่รับร่าง” โคทมกล่าว

หากดูจากร่างแรกรัฐธรรมนูญ ฉบับที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2559 เปรียบเทียบกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับปรับปรุงแก้ไขซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2559 ในหมวดเรื่องสิทธิและเสรีภาพนั้น จะเห็นได้ว่ามีการเพิ่มเติ่มประเด็นเรื่องสิทธิเสรีภาพเข้ามาหลายประการ หลังจากที่ร่างแรกถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าว จนมีหลายฝ่ายออกมาตั้งคำถามว่า จริงๆ แล้วเป็นเกมส์ทางการเมืองหรือไม่ที่ผู้ร่างต้องการให้มีการออกมาร้องขอเรื่องต่างๆ ในรัฐธรรมนูญจากฝั่งภาคประชาสังคมเพื่อเป็นหลักประกันว่าหากมีการบัญญัติเรื่องเหล่านั้นไว้ในรัฐธรรมนูญแล้ว จะได้รับเสียงเห็นชอบต่อร่างรัฐธรรมนนูญ โคทม เห็นว่าประเด็นดังกล่าวมีความเป็นไปได้น้อย เพราะเอ็นจีโอและภาคประชาสังคมไม่ได้มีอำนาจในการกดดันมากขนาดที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในร่างรัฐธรรมนูญ หลายๆ ประเด็นที่เพิ่มเข้ามาในร่างรัฐธรรมนูญเป็นการบัญญัติเพิ่มเข้ามาเองของคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ มีบางส่วนที่มีการบัญญัติเพิ่มเติมมาให้หลังจากมีการเรียกร้อง เช่น มาตรา 41 เรื่องสิทธิชุมชน คือเขียนให้ชัดขึ้นว่า บุคคลหรือชุมชนมีสิทธิฟ้องร้องหน่วยงานรัฐ และเพิ่มเติมไปอีกว่ามีสิทธิรับทราบข้อมูลข่าวสารสาธารณะของหน่วยงานรัฐ ตรงนี้เป็นสิ่งที่เพิ่มเข้ามาหลังจากมีการเรียกร้อง รวมทั้งมาตรา 43 มาตรา 46 เรื่องสิทธิผู้บริโภค มาตรา 47 การบริการสาธารณสุขขั้นพื้นฐาน มาตรา 48 เรื่องสิทธิของแม่ก่อนและหลังการคลอดบุตร

จริงๆ มีเพิ่มเข้ามา 3 ประเด็นหลักคือมาตรา 46 47 และ 48 ผมเข้าใจแต่เดิมมีอยู่ในหน้าที่ของรัฐ และเอามาย้ำว่าเป็นสิทธิเสรีภาพด้วย ฉะนั้นที่คุณบอกว่ามีการเพิ่มเติมเข้ามาใหญ่โต ผมมาเช็คดู มันก็เหมือนเก่าเป็นส่วนใหญ่” โคทมกล่าว

โคทม กล่าวต่อไปว่า หากดูเฉพาะเรื่องสิทธิเสรีภาพหลายคนมักจะมองว่ารัฐธรรมนูญปี 2550 บัญญัติเอาไว้ได้ดีที่สุด คือมีการแบ่งเป็นสัดส่วน และเขียนเรื่องต่างๆ เอาไว้อย่างละเอียด แต่เขากลับเห็นว่า การเขียนกว้างๆ สั้นๆ นั้นดีกว่า แล้วเปิดพื้นที่ให้ได้ตีความตามหลักการเรื่องสิทธิเสรีภาพ

ส่วนที่เขาเห็นว่ามีปัญหาอยู่คือ มาตรา 49 ซึ่งเคยเป็นบาดแผลมาแล้วในมาตรา 68 เดิม(รัฐธรรมนูญ 2550) คือการให้บุคคลยื่นร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญโดยตรงหากเห็นว่ามีใครมาล้มล้างระบอบประชาธิปไตย กลายเป็นการขยับให้ศาลรัฐธรรมนูญ เป็นศาลการเมืองมากขึ้น

มาตรา 49 มันเกินไป ให้บทบาทกับศาลรัฐธรรมนูญ ให้อำนาจใครก็ได้ไปฟ้องศาลรัฐธรรมนูญ ถ้าเกิดใครไปฟ้องให้เลือกตั้งเป็นโมฆะเพราะมีการทุจริตการเลือกตั้ง จะทำอย่างไร จะคิดอะไรกันเกินไปขนาดนั้น เรื่องนี้ควรให้เป็นความผิดส่วนตัวไป มันมีกฎหมายเลือกตั้งอยู่แล้ว ไม่ต้องมาฟ้องว่าเป็นการล้มล้างระบอบประชาธิปไตย” โคทมกล่าว

โคทมยังกล่าวถึงบททั่วไป มาตรา 5 ว่า ก่อนหน้านี้เคยมีการถกเถียงกันว่า เราไม่ต้องการซูเปอร์บอร์ดซึ่งก็คือ คณะบุคคลที่มีอำนาจตัดสินและมีอำนาจเหนือองคาพยพของรัฐ แต่ครั้งนี้กลับเขียนไว้ชัดเจนว่า ประธานศาลรัฐธรรมนูญจัดประชุมร่วมระหว่างประธานสภาผู้แทนราษฎร ผู้นำฝ่ายค้าน ประธานวุฒิสภา นายกรัฐมนตรี ประธานศาลฎีกา ประธานศาลปกครองสูงสุด และประธานองค์กรอิสระ เพื่อวินิจฉัยเมื่อเห็นว่าไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญบังคับใช้

ที่ประชุมร่วมกลายเป็นองค์กรที่มีอำนาจสูงสุด ผลจะเป็นอย่างไรยังไม่รู้ เพราะยังไม่เคยใช้ และก็แก้ไม่ได้ด้วย ถ้าจะแก้ต้องไปประชามติก่อน” โคทมกล่าว

เรื่องนี้ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับก่อนหน้าได้ให้อำนาจไว้กับศาลรัฐธรรมนูญเพียงองค์กรเดียวที่จะมีหน้าที่วินิจฉัย แต่สำหรับในร่างนี้ได้กระจายอำนาจการตัดสินใจไปสูงองค์กรต่างๆ เมื่อถามโคทมว่า ในหลักการแล้วองค์กรใดควรจะมีหน้าที่ตัดสินวินิจฉัยตามมาตรานี้ เขาเห็นว่า หากมีการเล่นการเมืองภายใต้กติกาประชาธิปไตยแล้ว กลไกทางการเมืองต่างๆ ที่มีอยู่สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยตัวมันเอง

ผมว่ามันก็แก้ของมันไปได้เอง เราไม่ควรไปกังวัลว่ามันจะแก้ไม่ได้ ผมยกตัวอย่าง ครั้งที่แล้วบอกแก้ไม่ได้ เลือกตั้งไม่ได้ แต่หลังจากประกาศกฎอัยการศึกก็สลายการชุมนุมกันไปหมดแล้ว ถ้าจะจัดเลือกตั้งหลังจากนั้นก็สามารถกระทำได้ รัฐไม่ใช่ไม่มีอำนาจ แต่ตอนนั้นรัฐแบ่งเป็นฝ่ายการเมืองกับฝ่ายประจำ และตอนนั้นฝ่ายประจำคว่ำบาตรฝ่ายการเมืองก็แค่นั้นเอง คว่ำบาตรธรรมดาไม่พอ ยึดอำนาจเลย แล้วไปบอกว่าฉันต้องยึดอำนาจเพราะปัญหาบ้านเมืองมันแก้ไม่ได้ แต่ถ้าตอนนั้นฝ่ายประจำออกมาช่วยให้มีการจัดการเลือก มันก็มีการเลือกตั้งได้ มันไม่มีวิกฤตอะไรหรอก แต่เราไปทำให้มันเหมือนจะต้องมีบทบัญญัติพิเศษอะไรขึ้นมา แล้วบทบัญญัติพิเศษจะมาแก้คอร์รัปชั่น จะมาแก้วิกฤตการณ์ทางการเมือง มันไม่ได้ทั้งหมดหรอก ส่วนใหญ่ผมเชื่อว่าถ้าสังคมมีจิตสำนึกร่วม มันก็เคลื่อนไปข้างหน้า แต่ถ้ายังไม่มี มันก็จะขยับไปขยับมา ไม่รู้จะไปทางไหนดี” โคทมกล่าว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่