รักในวัยเรียน ยุค '90

. . ผมตั้งใจเขียนเรื่องราวต่อไปนี้ จากเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับตัวเองในสมัยมัธยมปลาย เล่าถึงความรักในวัยเรียนของคนยุค '90
โดยหวังว่าเรื่องราวต่อไปนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านไม่ว่าคุณจะเป็นคนยุคไหนก็ตาม ... ไม่มากก็น้อย
    ตัวผมเองเป็นเด็กบ้านนอกมีบ้านเกิดเมืองนอนอยู่ที่  'ชากังราว' หลังจบม.ต้นผมก็เข้าเรียนต่อที่ ร.ร.ประจำอำเภอแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่บนเขตติดต่อระหว่างจังหวัดบ้านเกิดของผมกับ จังหวัดนครสวรรค์ ... และที่นี่เอง คือจุดเริ่มต้น ของความรักครั้งนี้

  ...เด็กใหม่ ม.๔ ในสมัยนั้น ไม่แตกต่างกับเฟชชี่มหาลัยมากนัก ที่มักเป็นที่น่าสนใจของรุ่นพี่และเพื่อนร่วมรุ่น ผมเองก็นับได้ว่าอยู่ในกลุ่มหนุ่มฮอทประจำ ร.ร.ในตอนนั้นคนนึงทีเดียว ที่มีทั้งคนแอบปลื้มและตั้งใจเข้ามาจีบ ทั้งดอกไม้ ชวนกินข้าว ขอเพลงตามคลื่นวิทยุยอดฮิตให้ เล่นเอาเป็นที่อิจฉาของหนุ่มๆร่วมรุ่น และมีบางคนถึงขั้นท้าตีท้าต่อยกับผมเพราะสาวที่เขาเล็งไว้ดันมาแอบปลื้มผม  แต่ผมก็ยังไม่ได้ฝากใจไว้ที่ใคร จนกระทั่ง

                               . . .   เ ท อ ม แ ร ก ผ่านไปไวเหมือน โ ก ห ก . . .
  
       ที่นั่น... ใช้ระบบเดินเรียน เปลี่ยนห้องเรียนทุกคาบเรียนไม่ได้นั่งประจำห้องเดิมตลอดเทอม
  เข้าสู่เทอมสองได้ไม่นาน ผมก็ตกหลุมรักหญิงสาว ม. ๕ คนหนึ่ง เธอขาว หมวย ตรงใจผมมาก เธอทำให้หัวใจของผมเต้นแรงทุกครั้งที่เจอเธอ เจอะคนนี้ต้องบอก ..ใช่เลย
เธอกับผมอายุห่างกันไม่กี่วันแต่เธอเข้า ร.ร. ก่อนเกณฑ์จึงเรียนเร็วกว่าผม ๑ ปี   ผมแอบมองเธอมานาน แอบรักอยู่ห่างๆ ผมชอบเธอมากแต่ไม่กล้าจีบ
ผ่านวันเป็นสัปดาห์ ... ผ่านหลายสัปดาห์เป็นเดือน ... ผ่านหลายเดือนล่วงไปอีกเดือน  เธอเรียนอยู่ ม.๕ แล้วในขณะที่ผมเพิ่งเรียนชั้น ม.๔ นี่ก็เทอมสองแล้วอีกไม่นาน เธอก็เรียนจบแล้วเราก็ต้องจากกัน ไม่ได้ปล่อยไปแบบนี้ไม่ได้ ถ้าความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจของผมมันจริงผมต้องทำอะไรสักอย่าง  เพื่อความรักครั้งนี้

     ฟ้า เข้าข้างผมเมื่อเธอเรียนอยู่ห้องเดียวกันกับเพื่อนในหมู่บ้านของผม เข้าทางเพื่อนคือวิธีของผม ผมเริ่มสอบถามข้อมูลของสาวที่ผมหมายปองจากเธอคนนี้
เขาเลือกเข้าชุมนุนอะไร ?  ชอบทำอะไร ?   ช่วงระหว่างรอรถกลับบ้านมีเรื่องเดียวที่ผมจะคุยกับเพื่อนบ้านคนนี้ คือเรื่องสาวคนนั้นที่ผมแอบรัก จนกระทั่งเพื่อนของผมเริ่มออกปากถามว่า ชอบงะ ? ตอนนั้นไม่รู้ทำไมหน้าชา ตัวแข็ง ปากขยับไม่ถูก ก็ไม่รู้ ทั้งๆที่ใจตะโกนว่า ใช่ แต่กายไม่ทำตาม ได้แต่เขินอยู่อย่างนั้น
   เย็นวันหนึ่งเพื่อนจอมแสบของผมจัดฉากให้เรามาเจอกันช่วงใกล้เลิกเรียน นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้ใกล้ชิดเธอยิ่งดูยิ่งสวย ยิ่งอยู่ใกล้ยิ่งสวยโลกทั้งใบเหมือนหยุดหมุนไปชั่วคราว เวลาผ่านไปเท่าไหร่ไม่รู้ แต่เหมือนถูกกดหยุดเวลาไว้อยู่ตรงนั้น  มีคำพูดมากมายที่ผมอยากพูดกับเธอ มีหลายประโยคที่ผมอยากชวนเธอคุย ... แต่ผมได้แต่ยืนทึ่มอยู่อย่างนั้นอย่างน่าเสียดาย   ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้ใช้โอกาสนั้นให้เกิดประโยชน์ก็ตาม แต่อย่างน้อยผมก็ได้เปิดตัวว่า ผมนี่ไงคือคนที่แอบรักเธอ
หลังจากวันนั้นผมและเธอก็เริ่มมีช่วงเวลาดีๆ ร่วมกันมากขึ้น   จนถึงวันที่หัวใจของผมสำผัสได้กับความรู้สึกของเธอ  ว่าเราใจตรงกัน
ถึงแม้ว่าผมกับเธอแทบจะไม่ได้บอกรักกัน  แต่หลายๆสิ่งที่เราทำให้กันมันบอกว่า . . . เรารักกัน . . .

   มีเหตุการณ์หนึ่งที่ผมประทับใจในสิ่งที่เธอทำให้กับผม และยังตราตรึงอยู่ในใจของผม จนตราบเท่าทุกวันนี้
วิชาภาษาไทยเป็นวิชาบังคับแกน ใครติด ร. หมายถึงโอกาสการเลื่อนชั้นเลยทีเดียว อาจารย์ประจำภาควิชาภาษาไทย ให้นร.ทุกคนหาบท นิราศ , โคลงฉันท์,กาพย์,กลอน เลือกมาอย่างใดอย่างหนึ่ง คัดด้วยลายมือพร้อมทำภาพประกอบเนื้อเรื่อง แล้วเข้าเล่มมาส่ง
แต่ตาเจ้ากรรมของผมดันมาป่วยตาแดง บวมเป่งอักเสบทั้งสองข้างจนมองอะไรไม่ถนัด ทำอะไรก็ลำบากจนต้องหยุดเรียนเพื่อพักรักษาตัว
หยุดเรียนได้ แต่ไม่มีงานส่งไม่ได้ทำไงดีหละ ?  เครียดเลยครับ
แต่หญิงคนรักของผมไม่ทอดทิ้งผม เธอจัดการทำงานทั้งหมดนั้นให้กับผมและฝากเพื่อนบ้านจอมแสบมาบอกว่า เธอเตรียมงานไว้ให้ผมส่งอาจารย์แล้วไม่ต้องกังวลนะ
ตอนเช้าถ้าผมมาถึง ร.ร. ให้มารับที่หน้าอาคารใกล้เสาธง ...
ผมรีบมา ร.ร.แต่เช้า เช้าาาาากว่าปกติมาก ไม่ใช่เพื่อมารอรับงานส่ง แต่มารอพบหัวใจของผมต่างหาก  และก็เหมือนเช่นทุกครั้งที่เราพบกัน ใบหน้าที่อ่อนหวานประกอบกับแววตาที่อ่อนโยนของเธอมันทำให้ผมชุ่มชื่นหัวใจอย่างมาก กิริยาท่าทาง ความเป็นกุลสตรีของเธอ ความเรียบร้อยอ่อนหวานของเธอมันสะกดผมไว้เสียนิ่ง
ผมรู้สึกว่า ผมคงรักใครได้ไม่เท่าเธออีกแน่นอน  

  ในขณะที่คู่รักวัยเรียนคู่อื่นๆ สามัคคีกันเดินเข้าห้องปกครองเป็นว่าเล่น  แต่คู่ของเรากลับไม่เคยแม้แต่จะถูกตำหนิจากอาจารย์เรื่องชู้สาว  ผมคบกับเธอด้วยความรักอันบริสุทธิ์ ไม่แม้แต่จะจับมือเธอ ถึงแม้ว่าผมจะทำก็ทำได้และมีโอกาสมากมายให้ทำอย่างอื่นที่มากกว่าการจับมือ  แต่ผมกลับเลือกที่จะทะนุถนอมเธอไว้ไม่ให้มีราคี
เพราะผมมองไปถึงวันแต่งงานของเรา ผมอยากให้สิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตลูกผู้หญิง เกิดขึ้นในวันที่มีค่าที่สุดของคู่รัก นั่นคือคืนวันแต่ง
ความหวานที่แผ่กระจายออกไป กระทบถึงการคบเพื่อนของผม เพื่อนร่วมชั้นของผมที่เป็นเพศตรงข้ามเริ่มตั้งกำแพงกับผมจนผิดสังเกตุ
กระทั่งวันหนึ่งขณะที่ผมคุยกับเพื่อนคนอื่นๆในชั้นเรียน เพื่อนร่วมชั้นของผมคนหนึ่งหลุดปากออกมาว่า ไปคุยกับมันเดี๋ยวก็มีปัญหาเรื่องแฟนมันหรอก
เรื่องราวทำนองนี้เลยเถิดไปจนกลายเป็นความริษยาของทั้งทางเพื่อนฝ่ายผม และเพื่อนฝั่งเขา  เราสองคนถูกให้ร้ายบ่อยขึ้น ประมาณว่า เห็นผมไปกับผู้หญิงคนนั้นคนนี้
และบ้างก็บอกผมว่าแฟนนั่งรถไปกับผู้ชายบ่อยๆ  ผมมักจะได้ยินข้อความแบบนี้แทบจะทุกวัน

    ความอ่อนหัดเรื่องของ ความรัก บวกกับความหูเบาไม่หนักแน่น และความวางเชิงของผมเอง  ทำให้ผมไม่ยอมเอ่ยถามเธอถึงเรื่องราวที่ได้ยินมาว่าจริงไม่จริงยังไง
บวกกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของเธอ ที่ระยะหลังๆไม่ค่อยอยากเจอผม ไม่ค่อยคุยกัน  ทำเอาผมเชื่อลมปากชาวบ้านเสียสนิทว่า เธอปันใจ
ได้ !!  เธอทำได้ ฉันก็ทำได้ !   เธอมีคนไปส่งใช่ไหม ฉันก็จะหาคนไปส่งบ้าง  ผมจึงเริ่มหาคนมาคบบ้างเพื่อประชดเธอ ก็คนที่แอบปลื้มผมนั่นแหละหาง่ายดี
ผมพาผู้หญิงนั่งซ้อนท้ายรถมอไซด์ ตั้งใจขับผ่านหน้าเธอ เพื่อทำใส่เธอประชดเธอบ้าง หวังให้เธอเข้าใจความรู้สึกผมว่าเวลาเธอไปกับคนอื่นผมรู้สึกเจ็บยังไง
แต่ ... ผิดคลาด นึกไม่ถึงว่าการประชดบ้าๆ ของผมครั้งนั้น ยิ่งเพิ่มระยะห่างให้กับเรา  เธอไม่คุยกับผมอีกเลย
ยิ่งเธอไม่ยอมพบ ไม่ยอมพูดคุยกับผม ผมยิ่งปักใจเชื่อว่า เธอมีคนอื่นจริง อย่างที่ได้ยินมา

   โลกใบเดิมที่เคยเป็นสีชมพูของผม  บัดนี้กลายเป็นสีดำ ทุกอย่างมันมืดมนไปหมด ผมเริ่มปล่อยเนื้อปล่ยตัวมากขึ้น จนโทรมลงมาก
หน้าตามีแต่สิว ผมเผ้ารุงรังหมดเค้าหนุ่มฮอทไปอย่างสิ้นเชิง  ...  อกหักเป็นอย่างนี้เอง  จุกอ่ะ
ผมพยายามง๊อเธอ พยายามขอคืนดีกับเธอ แต่วิธีที่ผมใช้มันกลับดูป่าเถื่อน  ผมพูดจาไร้สติมากขึ้น หยาบคายขึ้น
ในขณะที่นับวันยิ่งโทรมลงๆ  (ตรอมใจครับ )  จนวันนึงเพื่อนที่สนิทของเราช่วยเรียกสติผมกลับมาว่า มึ_ดูสารรูปบ้าง เป็นแบบนี้ใครเขาจะอยากคุยกับมึ_วะ ไอ้ค_าย !!   และมารู้ทีหลังว่า นอกจากผมแล้วเธอไม่เคยไปไหนมาไหนกับผู้ชายคนอื่น  พวกผมถูกใส่ร้าย...
ผมอึ้งเหมือนมีอะไรมาปักกลางหน้าผาก    ขอบใจมาก ขอบใจมากเพื่อนที่บอก   ไอ้โง่ !!  ผมด่าตัวเอง

    ผมกลับมาควบคุมสติอารมณ์อีกครั้ง บอกตัวเองว่าจะไม่วู่วามบุ่มบ่ามอีกเด็ดขาด พร้อมๆกับเปิดอกคุยกับเพื่อนคนรักที่พอจะสนิทสนมกันดีทั้งกับเราทั้งคู่ว่า
อยากกลับไปคืนดีกับเธอ  ทุกคนเต็มใจและให้ความร่วมมือดีมาก  ทำให้ผมมีโอกาสได้พบกับเธออีกครั้งที่บ้านของเพื่อนร่วมชั้นของเธอในวันหยุดเรียน
พวกเพื่อนๆ พยายามอยากให้เราทั้งสองได้มีเวลาอยู่กันตามลำพังเพื่อปรับความเข้าใจกัน  โอกาสมาอยู่ตรงหน้าแล้วแท้ๆ แต่ผมกลับไม่ยอมฉกฉวย ในวันนัเนผมแทบไม่ได้พูดอะไรกับเธอเลยเพราะละอายใจกับสิ่งที่ตัวเองเคยทำประชดประชันเธอไว้  ผ่านเช้า สาย บ่ายจนเกือบเย็น เพื่อนจอมแสบคนเดิมของผมคงรำคาญ
เดินเข้ามาบอกกับผมว่า นี่มันจะเย็นอยู่แล้วนะตกลงจะพูดอะไรไหม๊ ถ้าไม่มีอะไรจะพูดกูจะพากลับไปส่งบ้านแล้วนะ

ผมก็ยังอ้ำๆอึ้งๆ อยู่เหมือนเดิม อาการเหมือนน้ำท่วมปาก พูดอะไรไม่ออก   จนถึงเวลาที่ต้องไปส่งเธอกลับบ้านจริงๆ ผมจึงขอให้เธอนั่งรถไปด้วยกันกับผมๆจะขับไปส่งเอง
เธอยอมนั่งซ้อนรถผมโดยมีเพื่อนขับตามมาห่างๆ เพราะกลัวแม่เธอจะว่าเอา
ขับมาจนครึ่งทาง ผมค่อยๆละมือจากแฮนด์รถข้าๆ มาจับมือของเธอไว้ แล้วพูดคำว่า "ขอโทษ"
เธอชักมืออกพร้อมกับประโยคฟ้าผ่าว่า  " มันสายไปแล้ว มาพูดอะไรตอนนี้"
. . . . . .   . . . ??? . . . .
   หลังจบประโยค เหมือนโลกทั้งใบพังทลายอยู่ตรงนั้น  หมดแล้วความรัก  หมดแล้วความหวัง สิ้นสุดแล้วทุกอย่าง  ในตอนนั้นผมอยากปล่อยมือจากแฮนด์รถแล้วปล่อยให้รถมันล้มลงหรือตกข้างทางไป  แต่ผมทำไม่ได้ เพราะเธอที่ผมรักนั่งอยู่ข้างหลัง  ผมยอมให้เธอเจ็บปวดไม่ได้  จำทนฝืนขับรถมาจนถึงบ้านเธอหวังให้เธออยู่ดีปลอดภัย
ผมขับรถกลับมาบ้านด้วยหัวใจอันแหลกละเอียด เร็วเท่าไรไม่รู้ รู้แต่ภายในเวลาไม่นานก็ถึงบ้านแล้ว...  นับแต่นั้นมาผมก็ไม่ได้พบเธออีก
   หลังจากหลบเลียแผลใจอยู่นาน จนคิดว่าพร้อมแล้วที่จะเจอเธออีกครั้ง  วันสงกรานต์ผมชวนเพื่อนสนิทให้ไปเป็นเพื่อนหวังจะมาเที่ยวหาเธอที่รักมาแบบสุ่มๆ ไม่คิดว่าจะเจอ ผมได้พบเธออีกครั้งหลังจากไม่ได้เจอมานานนับปี ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่าหลายปี
เธอยังคงดูอ่อนหวาน อ่อนโยนเหมือนครั้งแรกที่ผมตกหลุมรักเธอ  เราพูดคุยโต้ตอบกันดี แต่เธอมักหลบตาผมบ่อยๆ จนผิดสังเกตุ ผมตัดสินใจถามเธอด้วยความเป็นห่วงว่า เป็นอะไรหรือเปล่า ? เธอไม่ตอบ  แต่มีเสียงของแม่เธอลอดออกมาจากหลังบ้านว่า  "บอกไปเลย บอกเขาไปเลย"  ผมงงถามว่าเรื่องอะไรเหรอ  เธอยังคงไม่ตอบเช่นเดิม
เสียงแม่เธอดังมาอีกครั้งกับประโยคเดิม "บอกเขาไปสิ บอกไปเลย" ซ้ำๆอยู่อย่างนั้น และ " ถ้าไม่บอกแม่บอกเองนะ"
" ไอ้ ..ฟ.. มันจะแต่งงานแล้ว ! "    ???    ห๊ะ! ว่าไงนะ  "ได้ยินไม่ผิดหรอก มันจะแต่งงานแล้ว"  ใจที่เพิ่งจะหลอมมาดีของผมป่นปี้อีกครั้ง และคราวนี้ยับเยินกว่าเดิมร้อยเท่า
"กลับไปซะเถอะ มันจะแต่งงานแล้ว"  เสียงนั้นตอกย้ำอีกครั้ง  ...  ผมรีบชวนเพื่อนสนิทกลับบ้านไม่ใช่เพราะเขาบอกให้กลับ แต่เพราะหัวใจผมไม่พร้อมจริงๆ กับการสูญเสียเธอไปให้คนอื่นมาตีตรา  

   หลายปีต่อมา ...      ผมมีโอกาสได้พบเธออีกครั้งเพราะเธอทำงานที่เดียวกับน้องชายผม น้องชายผมกดโทรศัพท์มาหาผมแล้วบอกว่า มีคนนึงอยากให้คุยด้วย "ฮัลโหล"  ผมอึ้งรีบหยิกตัวเองว่าไม่ได้ฝันไป  เสียงนั้นแม้จะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม แต่ผมยังจำได้ดีว่าคือเสียงของเธอ ผมดีใจมากกกกกก ที่ได้คุยกับเธออีกครั้ง
หลังจากคุยเสร็จเธอส่งโทรศัพท์กลับคืนน้องผม มันถามผมว่าเป็นไงมั่ง เซอร์ไพรส์ไหม๊ ?  เออ! เซอร์ไพรส์มาก หัวใจกูจะวาย ก็รู้ว่ากูไม่เคยลืมผู้หญิงคนนี้ ไอ้ห่_
เราได้กลับมาคุยกันอีกครั้ง แต่ผ่านตัวหนังสือทาง อี-เมล์  เราติดต่อพูดคุยสารทกข์สุกดิบกันเสมอ แต่ไม่เคยออกนอกลู่นอกทาง ผมให้เกียรติเธอเหมือนเมื่อครั้งเรารักกัน
ผมบอกเธอว่า  " ตราบใดที่ข้างกายเธอยังมีลมหายใจของเขา ตราบนั้นเธอจะไม่มีวันมัวหมองเพราะฉัน"  ฉันจะไม่มีวันทำให้เธอต้องมีราคี ถูกตราหน้าว่า -มีชู้-
หลังจากที่เราพูดคุยปรับทุกข์สุขกันทางเมล์ ก็ถึงวันที่เราพบกัน

   เรานัดพบกันที่ท้ายน้ำหลังวัดบ้านเกิดของผม เพื่อให้อาหารปลาร่วมกัน ในวันนั้นเธอมาพร้อมกับพยานรักของเธอวัยน่ารักสดใส ผมยืนข้างๆเธอตัวแทบจะชิดกัน
ผมจับมือเธอไว้ ดึงเธอเข้ามาโอบแล้วให้อาหารปลาร่วมกัน เธอไม่อิดออดขัดขืนผมแม้แต่น้อย  เพราะผมจินตนาการไปเอง  
ผมยังคงให้เกียรติเธอดังเดิมไม่ให้เธอต้องแปดเปื้อนเรื่องคาวโลกีย์ ผมเคยบอกเธอว่าเมื่อหมดเวลาของเขาและเรายังไม่มีใครผมยังรอคุณเสมอ
แม้ครั้งหนึ่งเราไม่ได้ใช้ชีวิตร่วมกัน แต่อย่างน้อยเราได้ใช้ลมหายใจสุดท้ายร่วมกันก็ยังดี

ถึงวินาทีนี้ผมก็ยังรักเธอ
  - ภาวนิล
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่