คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 17
ลองดูรูปจากสถานีอวกาศ ISS ก็ได้ครับ
รูปแรก focus ที่โลก จะเห็นว่าตรงอวกาศมืดลง
รูปที่ 2 focus ที่อวกาศ จะเห็นว่าแสงที่โลกจะขาว Over ไป
มันก็เหมือนถ่ายรูปทั่วไปแหละครับ
ที่มา : https://www.nasa.gov/mission_pages/station/images/index.html
รูปแรก focus ที่โลก จะเห็นว่าตรงอวกาศมืดลง
รูปที่ 2 focus ที่อวกาศ จะเห็นว่าแสงที่โลกจะขาว Over ไป
มันก็เหมือนถ่ายรูปทั่วไปแหละครับ
ที่มา : https://www.nasa.gov/mission_pages/station/images/index.html
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 10
มันทำให้เห็นทั้งสองอย่างได้ครับ ทั้งดัน ISO ทำ HDR หรือซ้อนภาพ
แต่การถ่ายภาพเพื่องานวิทยาศาสตร์มันไม่จำเป็น เขาจะให้สิ่งที่ต้องการชัดที่สุดเท่านั้น
ภาพที่ผมมีอยู่ดาวมันน้อย แต่คงพอให้เห็นภาพได้
**แก้ไขเพิ่มเติมอีกภาพ ถ้าอยากเห็นทั้งสองอย่างก็แค่จับมาซ้อนกัน กลายเป็นภาพตัดต่อ
แต่การถ่ายภาพเพื่องานวิทยาศาสตร์มันไม่จำเป็น เขาจะให้สิ่งที่ต้องการชัดที่สุดเท่านั้น
ภาพที่ผมมีอยู่ดาวมันน้อย แต่คงพอให้เห็นภาพได้
**แก้ไขเพิ่มเติมอีกภาพ ถ้าอยากเห็นทั้งสองอย่างก็แค่จับมาซ้อนกัน กลายเป็นภาพตัดต่อ
กระดาษมีเส้น ถูกใจ, สมาชิกหมายเลข 1722821 ถูกใจ, KuP ถูกใจ, silentkung ถูกใจ, ptana ถูกใจ, สมาชิกหมายเลข 2588190 ถูกใจ, สมาชิกหมายเลข 1204761 ถูกใจ, สมาชิกหมายเลข 1197489 ถูกใจ, สมาชิกหมายเลข 888587 ถูกใจ, 100 years ถูกใจ
ความคิดเห็นที่ 2
แสงที่ตามองเห็นมาจากแสงสะท้อน ยกเว้นแหล่งกำเนิดเช่นดวงอาทิตย์
กล้องถ่ายภาพหรือกล้องวิดีโอเองก็มีขีดจำกัดการรับแสงให้พอดีกับบวกหรือลบได้ปรกติแค่ 4 STOP หรือ 4 EV หรือ 24 เท่า(16 เท่า) ส่วนตาคนเราจะรับความต่างแสงได้สูงกว่ามาก จึงเป็นที่มาของโหมด HDR บนกล้องถ่ายภาพที่จับภาพหลายรูปมายำใส่กันเพื่อให้รูปมีดีเทลที่มืดสุดและสว่างสุดที่ตามองเห็น แต่รูปรูปเดียวไม่เห็น
ปรกติตามกฏซันนี่ f16 เราถ่ายหิมะต้องตั้ง(ASA100)ที่ f/22-32 แต่ถ่ายดวงจันทร์ต้องตั้ง(ASA100)ที่ f/1.4 ลงมา ความต่างของแสงมากกว่า 26 เท่า(จริงๆแล้วต่างกันถึง 12 EV หรือ 212 เท่า)
ทีนี้ความต่างของแสงที่พื้นผิวดวงจันทร์ความเข้มสูงกว่าที่ f/22-32 และท้องฟ้าดวงจันทร์ไม่มีอากาศ เมฆหรือฝุ่นที่จะสะท้อนแสงได้เลย ยิ่งกว่าเป็นดวงจันทร์ที่เห็นบนโลกอีก ดังนั้นจึงไม่เห็นอะไรเลยนอกจากสีดำบนรูปถ่าย
*1 EV หรือ 1 Stop คือความต่างแสง 2 เท่า เช่น EV 2 แสงแรงกว่า EV 1 เท่าตัว
กล้องถ่ายภาพหรือกล้องวิดีโอเองก็มีขีดจำกัดการรับแสงให้พอดีกับบวกหรือลบได้ปรกติแค่ 4 STOP หรือ 4 EV หรือ 24 เท่า(16 เท่า) ส่วนตาคนเราจะรับความต่างแสงได้สูงกว่ามาก จึงเป็นที่มาของโหมด HDR บนกล้องถ่ายภาพที่จับภาพหลายรูปมายำใส่กันเพื่อให้รูปมีดีเทลที่มืดสุดและสว่างสุดที่ตามองเห็น แต่รูปรูปเดียวไม่เห็น
ปรกติตามกฏซันนี่ f16 เราถ่ายหิมะต้องตั้ง(ASA100)ที่ f/22-32 แต่ถ่ายดวงจันทร์ต้องตั้ง(ASA100)ที่ f/1.4 ลงมา ความต่างของแสงมากกว่า 26 เท่า(จริงๆแล้วต่างกันถึง 12 EV หรือ 212 เท่า)
ทีนี้ความต่างของแสงที่พื้นผิวดวงจันทร์ความเข้มสูงกว่าที่ f/22-32 และท้องฟ้าดวงจันทร์ไม่มีอากาศ เมฆหรือฝุ่นที่จะสะท้อนแสงได้เลย ยิ่งกว่าเป็นดวงจันทร์ที่เห็นบนโลกอีก ดังนั้นจึงไม่เห็นอะไรเลยนอกจากสีดำบนรูปถ่าย
*1 EV หรือ 1 Stop คือความต่างแสง 2 เท่า เช่น EV 2 แสงแรงกว่า EV 1 เท่าตัว
Ultramao ทึ่ง, Nomention ทึ่ง, สมาชิกหมายเลข 710551 ทึ่ง, KuP ทึ่ง, หมึกแปดหนวด ทึ่ง, tanodom ถูกใจ, สมาชิกหมายเลข 1204761 ถูกใจ, สมาชิกหมายเลข 2881743 ถูกใจ, dif ถูกใจ, Venizz ถูกใจรวมถึงอีก 7 คน ร่วมแสดงความรู้สึก
แสดงความคิดเห็น
ทำไมรูป โลกและดวงจันทร์ที่ถ่ายบนอวกาศ อวกาศพื้นหลังถึงมืดสนิทไม่มีดาวมากมาย
.
.
.
.
.
.