ดวงจันทร์ที่แปลกและมหัศจรรย์ที่สุด ในระบบสุริยะ

ในระบบสุริยะของเรามีดวงจันทร์มากกว่า 200 ดวง โคจรรอบดวงดาวต่างๆ อย่างเช่นดวงจันทร์ของโลกเราก็มี 1 ดวง ซึ่งมนุษย์ได้ขึ้นไปเหยียบเป็นที่เรียบร้อย และรู้แล้วว่าดวงจันทร์ของเรามีลักษณะเป็นอย่างไร มาชมดวงจันทร์ที่ไม่ธรรมดาในระบบสุริยะจักรวาลของเรา ส่วนจะมีดวงจันทร์ของดาวดวงไหนบ้าง ลองไปชมกัน

1. เนรีด (Nereid) ดวงจันทร์ของดาวเนปจูน

 ถูกค้นพบในปี 1940 โดย เจราร์ด คูเปอร์ โดย เนรีด ถือเป็นดวงจันทร์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของดาวเนปจูน และเป็นดวงจันทร์ที่มีวงโคจรที่แหกคอกที่สุดในระบบสุริยะ นั่นทำให้ระยะทางระหว่างเนรีดและเนปจูนค่อนข้างห่างกันมาก ระยะทางที่เนรีดโคจรมาใกล้เนปจูนที่สุดคือ 841,100 ไมล์ ส่วนห่างที่สุดคือ 5,980,200 ไมล์ ด้วยระยะห่างไกลขนาดนี้ ทำให้มันต้องใช้เวลานานถึง 360 วันของโลก กว่าจะโคจรครบ 1 รอบดาวเนปจูน (ดวงจันทร์ของโลกใช้เวลาโคจรรอบโลก 27.3 วัน)




2. ไมมัส (Mimas) ดวงจันทร์ของดาวเสาร์

 เป็นดวงจันทร์ขนาดเล็กที่ถูกค้นพบในปี 1789 โดย วิลเลียม เฮอร์เชล โดยมีเส้นผ่าศูนย์กลางเพียง 246 ไมล์เท่านั้น สิ่งที่ทำให้ไมมัสเป็นดวงจันทร์ที่น่าสนใจเพราะ บนพื้นผิวของมันมีหลุมอุกกาบาตที่มีความกว้าง 88 ไมล์ และลึก 6 ไมล์ ถึงแม้นี่จะไม่ใช่หลุมอุกกาบาตบนดวงจันทร์ที่ใหญ่ที่สุด แต่มันกินพื้นที่ไปมากถึง 1 ใน 3 จนทำให้มันมีลักษณะเหมือนกับ ดาวมรณะ (Death Star) จากเรื่อง Star Wars

3. ไอแอพิตัส (Iapetus) ดวงจันทร์ของดาวเสาร์

 ถูกค้นพบในปี 1671 โดย จิโอวานนี แคสซินี โดยเป็นดวงจันทร์ที่หันหน้าด้านเดียวเข้าหาดาวเสาร์ และสิ่งที่ทำให้มันแปลกก็คือ มันมีสีและสะท้อนแสงได้ ครึ่งหนึ่งของไอแอพิตัส เป็นสีดำมืดสนิทเหมือนถ่าน ส่วนอีกครึ่งเป็นสีขาวที่สว่างสดใส และคุณจะมองเห็นไอแอพิตัสได้ จากการที่มันโคจรมาทางฝั่งตะวันตกของดาวเสาร์

4. แด็กทิล (Dactly) ดวงจันทร์ของดาวเคราะห์น้อยไอดา (Ida)

 ถูกค้นพบในปี 1995 โดยยานอวกาศกาลิเลโอ แด็กทิล เป็นดวงจันทร์ที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเล็กกว่า 1 ไมล์ และเป็นดวงจันทร์ดวงแรกที่ถูกค้นพบว่าโคจรรอบดาวเคราะห์น้อย นักวิทยาศาสตร์เองก็ไม่แน่ใจว่า ดวงจันทร์ดวงจิ๋วนี้เป็นชิ้นส่วนที่แตกหักออกมาจากดาวเคราะห์น้อยหรือเปล่า ซึ่งหลังจากการค้นพบครั้งนี้ นักวิทยาศาสตร์ก็ค้นพบดวงจันทร์อีกมากที่โคจรรอบดาวเคราะห์น้อย

5. ยูโรปา (Europa) ดวงจันทร์ของดาวพฤหัส

 ถูกค้นพบโดย กาลิเลโอ กาลิเลอิ เมื่อเดือนมกราคมปี 1610 โดยมันมีขนาดเล็กกว่าดวงจันทร์ของโลกเล็กน้อย และพื้นผิวของมันมีความโดดเด่นเพราะมีเส้นทึบที่ดูราวกับถูกขูดขีดไปมา สาเหตุของรอยดังกล่าวยังไม่สามารถหาคำอธิบายที่ชัดเจนได้ นอกจากนั้นนักวิทยาศาสตร์ยังเชื่อว่า ภายใต้พื้นผิวน้ำแข็งหนาๆ อาจมีมหาสมุทรในรูปแบบน้ำของเหลวอยู่ และด้วยความร้อนจากแรงดึงดูดของดาวพฤหัส อาจส่งผลให้มีสิ่งมีชีวิตอยู่ในนั้นก็เป็นได้

6. เอนเซลาดัส (Enceladus) ดวงจันทร์ของดาวเสาร์

 ถูกค้นพบในปี 1789 โดย วิลเลียม เฮอร์เชล โดยเป็นดวงจันทร์ที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 6 ของดาวเสาร์ แต่สิ่งที่แปลกคือ มันเป็นดวงจันทร์ที่สว่างที่สุดในระบสุริยะ เพราะพื้นผิวของมันสะท้อนแสงอาทิตย์เกือบ 100% นั่นส่งผลทำให้อุณหภูมิบนเอนเซลาดัสหนาวมาก โดยติดลบถึง 200 องศาเซลเซียส ส่วนบริเวณขั้วโลกใต้จะมีรอยแตกทึบที่ถูกเรียกว่า “ลายเสือ” ซึ่งเป็นภูเขาไฟน้ำแข็งที่พ่นอนุภาคน้ำแข็งขนาดเล็กขึ้นสู่ท้องฟ้า ซึ่งอนุภาคบางส่วนจะตกกลับลงมาเป็นหิมะ และบางส่วนจะกระจายสู่อวกาศเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของวงแหวนดาวเสาร์

7. ไอโอ (Io) ดวงจันทร์ของดาวพฤหัส

 ถูกค้นพบพร้อมๆ กับยูโรปา โดยกาลิเลโอ และนี่คือสถานที่ๆ มีภูเขาไฟเยอะที่สุดในระบสุริยะจักรวาล แต่ละพื้นที่จะเต็มไปด้วยภูเขาไฟที่ยังมีพลังงานมากถึง 200-300 แห่ง ที่แข่งกันปะทุขึ้นไปสูงถึง 50-300 กิโลเมตร แน่นอนว่าบรรยากาศของดวงจันทร์แห่งนี้จะเต็มไปด้วยไอกรดกำมะถัน ส่วนสาเหตุที่ดวงจันทร์แห่งนี้มีพลังงานเต็มเปี่ยมเพราะได้รับอิทธิพลความร้อนจากดาวพฤหัสในขณะที่โคจรเข้าใกล้นั่นเอง

8. ไททัน (Titan) ดวงจันทร์ของดาวเสาร์

 ถูกค้นพบในปี 1655 โดย คริสเตียน ฮายเจนส์ ถือเป็นดวงจันทร์ที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ในระบบสุริยะ บรรยากาศของไททันปกคลุมด้วยก๊าซไนโตรเจน มีเทน และอีเทน ที่หนามากจนยากที่จะศึกษาถึงพื้นผิวของมัน แต่ถึงอย่างนั้น มันเป็นสถานที่แห่งเดียว (นอกจากโลก) ในระบบสุริยะของเราที่มีของเหลวอยู่บนพื้นผิว ถึงแม้ว่าของเหลวนั้นจะเป็นมีเทนก็ตาม

9. ไทรทัน (Tritan) ดวงจันทร์ของดาวเนปจูน

 ถูกค้นพบในเดือนตุลาคม 1846 โดย วิลเลียม แลซเซล แค่เพียง 17 วัน หลังจากดาวเนปจูนถูกค้นพบ มันคือดวงจันทร์ที่ใหญ่ที่สุดของดาวเนปจูน และยังเป็นดวงจันทร์ขนาดใหญ่เพียงดวงเดียวในระบบสุริยะ ที่โคจรในทิศทางตรงกันข้ามกับดาวที่มันโคจรรอบ นอกจากนั้น มันยังเป็นดาวที่มีอากาศหนาวเย็นที่สุดในระบบสุริยะของเรา เมื่อยานโวยาเจอร์ 2 บินไปถึงในปี 1989 ก็พบว่า ไทรทันมีอุณหภูมต่ำขนาด -235 องศาเซลเซียส

10. แกนีมีด (Ganymede) ดวงจันทร์ของดาวพฤหัส

 ถูกค้นพบพร้อมๆ กับยูโรบาและไอโอ โดยกาลิเลโอ โดย แกนีมีด เป็นดวงจันทร์ที่ใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะจักรวาล มันมีขนาดใหญ่กว่าดาวพุธ และมีขนาดถึง 3 ใน 4 ของดาวอังคาร จริงๆ แล้วมันควรถูกพิจารณาเป็นดาวเคราะห์ ถ้าไม่เป็นเพราะมันโคจรรอบดาวพฤหัส แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่านั้นคือ มันเป็นดวงจันทร์เพียงดวงเดียวในระบบสุริยะที่ผลิตสนามแม่เหล็กเป็นของตัวเองได้ และในปี 1996 กล้องโทรทรรศน์ฮับเบิล ได้พบร่องรอยของออกซิเจนบางๆ บนชั้นบรรยากาศรอบแกนีมีด แต่นั่นก็น้อยเกินไปสำหรับสิ่งมีชีวิต




ความลับของดวงจันทร์


“ดวงจันทร์ไหว” (Moonquakes)

นาซ่า ได้กล่าวว่า การสั่นสะเทือนคล้ายแผ่นดินไหวนี้ มีผลทำให้ดวงจันทร์ดังเหมือนระฆัง แต่ก็ยังไม่สามารถหาสาเหตุของดวงจันทร์ไหวได้อย่างแน่ชัดเนื่องจาก ดวงจันทร์ไม่มีการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลกเหมือนโลกของเรา


โลกและดวงจันทร์ไม่ได้ถูกจัดเป็นดาวแฝด (Earth and moon aren’t a twin planet)

เนื่องจากดวงจันทร์มีขนาดใหญ่ดวงหนึ่งจึงไม่โคจรรอบโลกเลย แต่โลกและดวงจันทร์จะโคจรรอบกันและกันรอบ ๆ จุดระหว่างดาวทั้งสอง ซึ่งจุดนี้เรียกว่า แบรีเซนเตอร์ (barycenter) และที่เห็นเหมือนดวงจันทร์โคจรรอบโลกมาจากข้อเท็จจริงที่ว่า แบรีเซนเตอร์(barycenter) ปัจจุบันอยู่ในเปลือกโลกของเรา ซึ่งเป็นเหตุผลเดียวที่โลกและดวงจันทร์ไม่ได้ถูกจัดเป็นดาวแฝด และเป็นดาวเคราะห์และดาวเทียมแทน อย่างไรก็ตามอาจมีการเปลี่ยนแปลงในอนาคต


ขยะบนดวงจันทร์ (Moon Trash)

นาซ่า ส่งยานพร้อมมนุษย์อวกาศไปร่อนลงบนดวงจันทร์รวม 6 ครั่ง ด้วยกัน ได้นำตัวอย่างหินดวงจันทร์และอื่นๆ กลับมายังโลก การจะนำยานขึ้นจากพื้นผิวดวงจันทร์ภายใต้น้ำหนักที่เพิ่มขึ้น เป็นธรรมดาที่นักบินอวกาศจำเป็นต้อง "ทิ้ง" ข้าวของไม่จำเป็นบางอย่างเอาไว้บนดวงจันทร์นั้น เพื่อแลกกับการนำเอาตัวอย่างหิน ดิน และตัวอย่างที่เป็นแกนใต้ผิวพื้นจากดวงจันทร์กลับมายังโลก


ดวงจันทร์เป็นพื้นฝังศพ (The Moon Is A Burial Ground)

ยูจีน "จีน" ชูเมกเกอร์ (Eugene “Gene” Shoemaker) นักดาราศาสตร์และนักธรณีวิทยา เขาคิดค้นการวิจัยถึงวิธีการและเทคนิคต่างๆที่นักบินอวกาศอพอลโลใช้ในการวิจัยดวงจันทร์ เขาต้องการเป็นนักบินอวกาศ แต่ถูกปฏิเสธเนื่องจากปัญหาทางการแพทย์เล็กน้อย เป็นความผิดหวังที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขา เขาฝันว่าสักวันจะไปดวงจันทร์ เมื่อเขาเสียชีวิต นาซ่า ได้เติมเต็มความฝันของเขาและส่งศพของเขาไปยังดวงจันทร์ในปีคศ. 1998 ศพของเขายังคงอยู่ที่นั่นกระจัดกระจายอยู่ท่ามกลางฝุ่นดวงจันทร์



ความผิดปกติบนดวงจันทร์ (Lunar Anomalies)

ภาพถ่ายหลายภาพแสดงสิ่งที่แปลกบนพื้นผิวของดวงจันทร์ ภาพเหล่านี้จะเป็นโครงสร้างสูงตระหง่านที่สูงอย่างน้อย 1.6 กิโลเมตร (1 ไมล์) มีแม้กระทั่งปราสาทขนาดใหญ่ที่สูงเหนือพื้นผิวของดวงจันทร์ ทั้งหมดนี้ดูเหมือนว่าจะแสดงถึง "สัญญาณแห่งชีวิต" และชี้ไปสู่อารยธรรมขั้นสูงที่อาศัยอยู่บนดวงจันทร์

ฝุ่นดวงจันทร์ (Moon Dust)

หนึ่งในอันตรายที่น่าแปลกใจที่สุดของดวงจันทร์คือฝุ่นดวงจันทร์ มีลักษณะหยาบมาก กลิ่นคล้ายดินปืน เกาะติดอยู่ทุกหนทุกแห่ง NASA ประสบปัญหามากมายที่เกิดจาก ฝุ่นดวงจันทร์ มันทำให้รองเท้าบู๊ตของนักบินอวกาศพังเกือบทั้งหมด มันเข้าไปในชุดอวกาศและก่อให้เกิด "ไข้ดวงจันทร์" (moon hay fever)ในนักบินอวกาศ การสูดดมสัมผัสกับสิ่งดังกล่าวเป็นเวลานานอาจทำให้แอร์ล็อคล้มเหลวและชุดอวกาศจะพังลงได้

ความยากลำบากด้วยแรงโน้มถ่วงต่ำ (Difficulties With Low Gravity)

แม้ว่าแรงโน้มถ่วงบนดวงจันทร์เป็นเพียง 1 ใน 6 ของโลกก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าการเคลื่อนที่บนพื้นผิวของมันจะเป็นเรื่องที่ง่าย ชุดอวกาศทำให้เดินงุ่มง่าม เท้าของนักบินอวกาศจมลงในฝุ่นดวงจันทร์ถึง 15 เซนติเมตร (6 นิ้ว) แม้ว่าจะมีแรงดึงดูดต่ำแต่ความเฉื่อยของคน (ความต้านทานต่อการเปลี่ยนแปลง ในการเคลื่อนไหว) บนดวงจันทร์สูง ดังนั้นจึงยากที่จะเคลื่อนไหวเร็วหรือเปลี่ยนทิศทาง


จุดกำเนิดของดวงจันทร์ (The Moon’s Origin)
มี 4 หลักทฤษฎี เกี่ยวกับกำเนิดของดวงจันทร์ 
ทฤษฎีการแยกตัว (Fission Theory) ระบุว่าดวงจันทร์เคยเป็นส่วนหนึ่งของโลก แยกจากโลกในตอนเริ่มต้นของระบบสุริยจักรวาล

ทฤษฎีการจับ (Capture Theory) เสนอว่าดวงจันทร์เกิดขึ้นที่ไหนก็ได้ในระบบสุริยจักรวาล และต่อมาถูกจับโดยสนามโน้มถ่วงของโลก 

ทฤษฎีการรวมตัว (Condensation Theory) เสนอว่าดวงจันทร์และโลกเกิดแยกกันจากการรวมตัวกันของกลุ่มก๊าซในระบบสุริยจักรวาล โดยดวงจันทร์กำเนิดขึ้นในวงโคจรรอบโลก ทฤษฎีที่เป็นไปได้มากที่สุดคือ

ทฤษฎีการชนด้วยวัตถุขนาดใหญ่ (The Giant Impactor Theory) เสนอว่าดาวเคราะห์ขนาดเท่าดาวอังคารชนโลกหลังจากกำเนิดระบบสุริยจักรวาล แล้วปล่อยวัตถุเศษเล็กเศษน้อยในที่สุดควบแน่นเข้าสู่ดวงจันทร์

ดวงจันทร์และการนอนหลับ (The Moon And Sleep)

วิทยาศาสตร์ยืนยันว่า มีโอกาสเป็นไปได้มากที่ดวงจันทร์อาจรบกวนการนอนหลับของเรา และการนอนหลับที่เลวร้ายที่สุดในตอนกลางคืนมักเกิดขึ้นในช่วงพระจันทร์เต็มดวง


เงาของดวงจันทร์ (Moon Shadows)

เงาของดวงจันทร์ มืดกว่าโลกเนื่องจากไม่มีชั้นบรรยากาศ แม้ว่าดวงอาทิตย์จะสว่างไสวอยู่บนท้องฟ้า เงาของดวงจันทร์ก่อให้เกิดความเสียหายกับภารกิจต่างๆของอพอลโล นักบินอวกาศพบว่างานบำรุงรักษาของพวกเขาทำได้ยากเพราะเงามือของตัวเองบดบังสิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่ ขณะที่บางครั้งนักบินอวกาศคิดว่าพวกเขากำลังลงจากที่สูงชันเนื่องจากเส้นทางที่เดินไปมีเงาที่ลึกเหมือนถ้ำ 




Cr.https://petmaya.com/10-amazing-moons
Cr.https://topten-content.blogspot.com/2017/09/10-top-ten-content_81.html
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 5
ผมขอเสนอความแปลกของดวงจันทร์ชื่อว่า NIX ของดาว Pluto ครับ

   ดาว Pluto มีดวงจันทร์ขนาดเล็กดวงหนึ่ง (ในจำนวน 5 ดวง) ชื่อว่า NIX ครับ .... NIX เป็นดวงจันทร์หินรูปร่างเหมือนลูกอม
มีขนาดเพียง 56 X 25 กิโลเมตรเท่านั้น  ดวงจันทร์ NIX มีลักษณะพิเศษคือขณะโคจรรอบดาว Pluto ไปนั้น  มันจะหมุนตัวไปมา
เหมือนเต้นรำไปด้วย  ซึ่งลักษณะเช่นนี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนมากของเรื่อง Tidal Lock ครับ  คือ ดวงจันทร์ดวงนี้ได้รับแรงโน้มถ่วง
จาก Pluto มากระดับหนึ่งที่จวนจะเกิด tidal lock แต่ก็ยังไม่เกิดสักที  จึงหมุนไปมาเหมือนเต้นรำไปแบบนั้นครับ

อีกสาเหตุหนึ่งคือ สนามแรงโน้มถ่วงของระบบ Pluto - Charon มีการ shift ไปมาเป็นช่วง ๆ  เพราะการโคจรรอบกันของระบบ
Pluto - Charon นี้  มีค่า barycenter ที่ค่อนข้างเยื้องออกมามากครับ  ทำให้สนามโน้มถ่วงที่เป็นแรงลัพท์ออกมากระทำสู่ NIX นั้น
เกิดการ shift ไปมาเป็นห้วง ๆ แบบคงที่ .... เหตนี้เองที่ทำให้ดวงจันทร์ NIX มันจึงเต้นรำได้ครับ

วงโคจรของดวงจันทร์ของ Pluto


นี่คือการ "เต้นรำ"  ของ NIX
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

ภาพของ NIX ที่ชัดที่สุด  ยาน New Horizons บันทึกใว้เมื่อ 14 กรกฏาคม 2559
ความคิดเห็นที่ 4
ถ้าพูดถึงดวงจันทร์ที่แปลกประหลาด ผมขอนำเอา Hyperion (ไฮพีเรียน) มาร่วมแจมครับ

ก่อนอื่น ดูรูปดวงจันทร์ไฮพีเรียนสุดเท่ห์ของดาวเสาร์ดวงนี้เสียก่อนครับ

แว้บแรกที่มองรูปไฮพีเรียน หลายคนคงเห็นว่ามันเหมือนกับฟองน้ำอย่างมาก ซึ่งคาดว่าเป็นเพราะมันมีความหนาแน่น
น้อยมาก เมื่ออุกกาบาตชน จึงทำให้มันจมลงไปเฉย ๆ หลุมจึงเรียบลึกไม่กระจายออกมา และเนื่องจากการหมุนรอบตัวเอง
แบบสะเปะสะปะ (Chaotic) ก็เลยทำให้สีสันของไฮพีเรียนจะสม่ำเสมอทั้งดวง ในขณะที่ดวงจันทร์ดวงอื่นๆ จะมีสีด้านนำ
ต่างจากสีด้านตาม (ลองนึกภาพดวงจันทร์โคจรรอบโลกดูครับ จะเห็นว่ามีฝั่งที่อยู่ด้านหน้า และฝั่งที่อยู่ด้านหลัง
ซึ่งฝั่งด้านหน้านี่เองที่จะมีอนุภาคต่าง ๆ ตกลงมาสะสม ทำให้สีแตกต่างออกไปจากฝั่งด้านหลัง)

ไฮพีเรียนมีขนาดราว 360 กม × 266 กม × 205 กม หรือเส้นผ่านศูนย์กลางเฉลี่ย 270 กม นับเป็นดวงจันทร์ที่มีรูปร่าง
ไม่เป็นทรงกลมที่ใหญ่เป็นอันดับสองรองจากดวงจันทร์ Proteus ของดาวเนปจูน

ไฮพีเรียนเป็นเพียงดวงจันทร์ตามปกติ (คือ คาดว่ากำเนิดพร้อมกับดาวเคราะห์ ไม่ใช่มาจับในภายหลัง) ของดาวเคราะห์
ทั้ง 8 ในระบบสุริยะเพียงดวงเดียว ที่ไม่ได้หันหน้าด้านเดียวเข้าหาดาวเคราะห์ตลอดเวลา แถมยังเป็นการหมุนรอบตัวเอง
แบบสะเปะสะปะ จนถึงขั้นไม่สามารถบอกได้ว่าหมุนรอบตัวเองในเวลาเท่าไหร่กันแน่
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
วงโคจรของไฮพีเรียนถูกล็อกในอัตราส่วน 3:4 กับดวงจันทร์ไททัน (ไฮพีเรียนโคจรรอบดาวเสาร์ 3 รอบ ในเวลาที่เท่ากับ
ไททันโคจรรอบดาวเสาร์ 4 รอบ) ซึ่งคาดกันว่าแรงดึงดูดจากไททันที่มีมวลมากกว่าร่วมแสนเท่าก็อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่
ทำให้ไฮพีเรียนหมุนรอบตัวเองแบบสะเปะสะปะ ก็เป็นได้

ภาพไฮพีเรียนจากยาน Cassini ครับ
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
ปล. ข้อความนำมาจากกระทู้เดิม https://pantip.com/topic/36353435/comment3
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่