เนื่องจากมีความพยายามบิดเบือนหลักการเสียงส่วนใหญ่ หรือเรื่องเสียงส่วนใหญ่ในระบอบประชาธิปไตย ไปเปรียบเทียบกับกรณีเหตุร้ายที่เกิดที่พรหมพิราม ที่มีการทำร้ายหญิงสาว การบิดเบือนเช่นนี้เป็นที่น่ารังเกียจอย่างยิ่ง แสดงให้เห็นถึงความคิดที่ผิดปกติย่างรุนแรงของคนพวกนั้น และความไม่รู้เรื่องในหลักการของระบอบประชาธิปไตย
อันระบอบประชาธิปไตยนั้น คนจำนวนมากมาอยู่รวมกันเป็นสังคม
สิ่งพื้นฐานอันดับแรกที่จักต้องมีคือต้องมีรัฐธรรมนูญ มีกติกาของสังคมนั้นที่จะใช้รวมกัน ขอยกตัวอย่าง อาทิเช่น รัฐธรรมนูญ 2550 ของสังคมไทยเป็นต้น
ในรัฐธรรมนูญนั้นจะเป็นกติกาหลัก ที่ประกัน
สิทธิพื้นฐาน เสรีภาพในร่างกาย ประกันความเสมอภาค กล่าวถึงหน้าที่และกล่าวถึงกระบวนการของอำนาจอธิปไตยที่จะมีช่องทาง ทางคณะรัฐมนตรี สภาผู้แทนราษฎร และศาล อันเป็นอำนาจอธิปไตยทั้งสาม
ประกันการใช้เสียงส่วนใหญ่ ต้องเป็นไปโดยเหมาะสม เพราะจะขัดมาตราของรัฐธรรมนูญมิได้
การออกกฎหมายใด หรือการกระทำใดๆ ก็มิอาจขัดหรือแย้งต่อกติกาหลัก หรือรัฐธรรมนูญนี้ได้
กฎหมายใด ก็มิอาจจะละเมิดสิทธิพื้นฐาน เสรีภาพในร่างกาย ความเสมอภาค ยกเว้นจะมีการกำหนดในรธน.ไว้เป้นเรื่องๆ
การออกกฎหมายทั้งปวงด้วยเสียงส่วนใหญ่ในสภาตามบัญญัติกฎหมายในระบอบประชาธิปไตย
ล้วนต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญจะละเมิดสิทธิประชาชนมิได้
ร่างพรบ.นิรโทษกรรม เป็นการกระทำที่ข่มขืนหรือไม่
ขอยกตัวอย่าง การออกร่างพรบ.นิรโทษกรรม ก็เป็นไปตามหลักการนี้ ร่างพรบ.นี้
ไม่ละเมิดสิทธิเสรีภาพผู้ใด หรือละเมิดความเสมอภาค (เช่น ไม่ได้บัญญัติว่าคนเสื้อเหลืองต้องเสียภาษีมากกว่าคนอื่น คนเสื้อเหลืองห้ามวิจารณ์รัฐบาลยิ่งลักษณ์ หรือบังคับคนเสื้อเหลืองมาใช้แรงงานในโรงอาหาร หรือบังคับให้คนเสื้อเหลืองทำงานภารโรง ฯลฯ) หากทำเช่นนั้น เป็นการละเมิดสิทธิ หรือความเสมอภาค ที่รธน.2550 บัญญํติรับรองไว้ และร่างพรบ.นั้น มิอาจบังคับเป็นกฎหมาย ได้ เพราะมีรธน.ควบคุมไว้อยู่
แต่การนิรโทษกรรมให้แก่ผู้ใด
เป็นการคืนสิทธิที่ถูกระงับไปของบุคคลบางกลุ่ม ที่ต้องสงสัยว่าได้กระทำผิดบางอย่าง ซึ่งกฎหมายนิรโทษกรรมก็มีออกมาหลายฉบับในลักษณะเดียวกัน และใฃ้บังคับได้
แต่ร่างพรบ.นิรโทษกรรมไม่ได้ละเมิดสิทธิบุคคลใดที่รธน.รับรอง มีแต่ไม่ถูกใจแล้วร้องโวยวายบิดเบือนกันว่าละเมิดอย่างที่เห็นกันอยู่
กฏหมายนิรโทษกรรม ซึ่งเป็นกฎหมายที่คืนสิทธิให้บุคคล จะเป็นกฎหมายที่ไปทำร้ายข่มขืนผู้ใดได้อย่างไร
การออกพรบ.นิรโทษกรรม อาจไม่ถูกใจคนกลุ่มอื่น
แต่การไม่ถูกใจคนบางกลุ่ม ก็ไม่ใช่การละเมิดสิทธิ ไม่ใช่การข่มขืน เพราะคนที่ไม่ถูกใจเหล่านั้น
ยังมีสิทธิตามกฎหมายอยู่ครบถ้วยบริบูรณ์เช่นเดิม และ
เพราะสิทธิเสรีภาพเขายังอยู่กันครบ ยังด่ารัฐบาล ด่าสส.ในเวลานั้น ได้ ยังชุมนุมคัดค้านไม่เห็นด้วยได้
กรณีพรหมพิราม มีหญิงสาวถูกทำร้าย
สิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลถูกละเมิด จึงมิอาจจะนำมาเปรียบเทียบกับการออกพรบ.นิรโทษกรรมได้ มิอาจมาเปรียบเทียบกับการใช้เสียงส่วนใหญ่ในการออกกฎหมายในสภาได้ เพราะการออกเสียงนั้นเป็นไปตามกติกาที่มีรัฐธรรมนูญรับรองสิทธิเสรีภาพของบุคคลไว้ไม่ให้ละเมิด และมิยอมให้มีการข่มขืนบังคับผู้ใด
สมมุติ หากร่างพรบ.นิรโทษกรรม บัญญัติบังคับให้คนเสื้อเหลือต้องจ่ายภาษีมากกว่าคนอื่น หรือ บังคับใช้แรงงานคนเสื้อเหลืองในโรงอาหาร บังคับคนเฉพาะเสื้อเหลืองไม่ให้วิจารณ์รัฐบาล ฯลฯ เช่นนี้ จึงจะกล่าวได้ว่า มันเป็นพรบ.ที่มีลักษณะการข่มขืน
ทุกครั้งที่มีการออกเสียงโหวตกฎหมายในสภา
ที่มีการใช้เสียงส่วนใหญ่ตัดสิน จึงมีแต่การออกกฎหมายที่จำเป็น ที่สอดคล้องกับบทบัญญํติรธน.ที่ยกมาให้ดูเป็นตัวอย่าง มิอาจจะออกกฎหมายให้เกิดการทำร้ายบุคคล อย่างกรณีหญิงที่พรหมพิราม
สรุป
การยกกรณีพรหมพิรามมาเทียบเคียงเสียงส่วนใหญ่ในระบอบประชาธิปไตย จึงเป็นการบิดเบือนโดยลืม หรือไม่รู้จักว่า สังคมนั้นมีกฎหมายรัฐธรรมนูญ ที่พิทักษ์ประชาชนไว้ เสียงส่วนใหญ่จึงเป็นเสียงส่วนใหญ่ภายใต้กติการัฐธรรมนูญ ที่จะถูกใช้ไปแต่ในทางที่สร้างสรรค์ตามบัญญัติรัฐธรรมนูญบังคับไว้เท่านั้น ไม่มีทางที่เสียงส่วนใหญ่จะถูกใช้ไปในทางบังคับข่มขืนสิทธิเสรีภาพกลุ่มใด หรือผู้ใด (นอกจากมันอาจจะไม่ถูกใจเขาเท่านั้น)
การอ้างเรื่องที่พรบ.ออกมาไม่ถูกใจตนแค่นั้น ก็เอามาเทียบกับกรณีพรหมพิราม ทั้งๆที่อย่างมากมันก็เป็น
"แค่เรื่องไม่ถูกใจ" มิใช่เรื่อง
"ไปถูกเนื้อต้องตัวผู้ใด ข่มขืนใจผู้ใด หรือละเมิดสิทธิใคร" เพราะสิทธิรธน.ในระบอบประชาธิปไตยคุ้มครองไว้ แต่ก็ยังพยายามบิดเบือนกันไป "เมื่อไม่ถูกใจ ก็อ้างกันไปเสียว่าถูกข่มขืน(ใจหรือร่างกาย ก็ตามแต่พวกเขาจะอ้างกัน) "
เพื่อให้เกิดความเสียหายต่อระบอบประชาธิปไตย จึงสมควรถูกประณาม
۞۞ ความคิดบิดเบือนว่าเสียงส่วนใหญ่ในระบอบประชาธิปไตย ว่าชั่วร้ายเหมือนกรณีพรหมพิราม...การบิดเบือนที่ไม่หมดไป ۞۞
อันระบอบประชาธิปไตยนั้น คนจำนวนมากมาอยู่รวมกันเป็นสังคม สิ่งพื้นฐานอันดับแรกที่จักต้องมีคือต้องมีรัฐธรรมนูญ มีกติกาของสังคมนั้นที่จะใช้รวมกัน ขอยกตัวอย่าง อาทิเช่น รัฐธรรมนูญ 2550 ของสังคมไทยเป็นต้น
ในรัฐธรรมนูญนั้นจะเป็นกติกาหลัก ที่ประกัน สิทธิพื้นฐาน เสรีภาพในร่างกาย ประกันความเสมอภาค กล่าวถึงหน้าที่และกล่าวถึงกระบวนการของอำนาจอธิปไตยที่จะมีช่องทาง ทางคณะรัฐมนตรี สภาผู้แทนราษฎร และศาล อันเป็นอำนาจอธิปไตยทั้งสาม ประกันการใช้เสียงส่วนใหญ่ ต้องเป็นไปโดยเหมาะสม เพราะจะขัดมาตราของรัฐธรรมนูญมิได้
การออกกฎหมายใด หรือการกระทำใดๆ ก็มิอาจขัดหรือแย้งต่อกติกาหลัก หรือรัฐธรรมนูญนี้ได้
กฎหมายใด ก็มิอาจจะละเมิดสิทธิพื้นฐาน เสรีภาพในร่างกาย ความเสมอภาค ยกเว้นจะมีการกำหนดในรธน.ไว้เป้นเรื่องๆ
ล้วนต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญจะละเมิดสิทธิประชาชนมิได้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ร่างพรบ.นิรโทษกรรม เป็นการกระทำที่ข่มขืนหรือไม่
ขอยกตัวอย่าง การออกร่างพรบ.นิรโทษกรรม ก็เป็นไปตามหลักการนี้ ร่างพรบ.นี้ ไม่ละเมิดสิทธิเสรีภาพผู้ใด หรือละเมิดความเสมอภาค (เช่น ไม่ได้บัญญัติว่าคนเสื้อเหลืองต้องเสียภาษีมากกว่าคนอื่น คนเสื้อเหลืองห้ามวิจารณ์รัฐบาลยิ่งลักษณ์ หรือบังคับคนเสื้อเหลืองมาใช้แรงงานในโรงอาหาร หรือบังคับให้คนเสื้อเหลืองทำงานภารโรง ฯลฯ) หากทำเช่นนั้น เป็นการละเมิดสิทธิ หรือความเสมอภาค ที่รธน.2550 บัญญํติรับรองไว้ และร่างพรบ.นั้น มิอาจบังคับเป็นกฎหมาย ได้ เพราะมีรธน.ควบคุมไว้อยู่
แต่การนิรโทษกรรมให้แก่ผู้ใด เป็นการคืนสิทธิที่ถูกระงับไปของบุคคลบางกลุ่ม ที่ต้องสงสัยว่าได้กระทำผิดบางอย่าง ซึ่งกฎหมายนิรโทษกรรมก็มีออกมาหลายฉบับในลักษณะเดียวกัน และใฃ้บังคับได้ แต่ร่างพรบ.นิรโทษกรรมไม่ได้ละเมิดสิทธิบุคคลใดที่รธน.รับรอง มีแต่ไม่ถูกใจแล้วร้องโวยวายบิดเบือนกันว่าละเมิดอย่างที่เห็นกันอยู่
การออกพรบ.นิรโทษกรรม อาจไม่ถูกใจคนกลุ่มอื่น แต่การไม่ถูกใจคนบางกลุ่ม ก็ไม่ใช่การละเมิดสิทธิ ไม่ใช่การข่มขืน เพราะคนที่ไม่ถูกใจเหล่านั้น ยังมีสิทธิตามกฎหมายอยู่ครบถ้วยบริบูรณ์เช่นเดิม และเพราะสิทธิเสรีภาพเขายังอยู่กันครบ ยังด่ารัฐบาล ด่าสส.ในเวลานั้น ได้ ยังชุมนุมคัดค้านไม่เห็นด้วยได้
กรณีพรหมพิราม มีหญิงสาวถูกทำร้าย สิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลถูกละเมิด จึงมิอาจจะนำมาเปรียบเทียบกับการออกพรบ.นิรโทษกรรมได้ มิอาจมาเปรียบเทียบกับการใช้เสียงส่วนใหญ่ในการออกกฎหมายในสภาได้ เพราะการออกเสียงนั้นเป็นไปตามกติกาที่มีรัฐธรรมนูญรับรองสิทธิเสรีภาพของบุคคลไว้ไม่ให้ละเมิด และมิยอมให้มีการข่มขืนบังคับผู้ใด
สมมุติ หากร่างพรบ.นิรโทษกรรม บัญญัติบังคับให้คนเสื้อเหลือต้องจ่ายภาษีมากกว่าคนอื่น หรือ บังคับใช้แรงงานคนเสื้อเหลืองในโรงอาหาร บังคับคนเฉพาะเสื้อเหลืองไม่ให้วิจารณ์รัฐบาล ฯลฯ เช่นนี้ จึงจะกล่าวได้ว่า มันเป็นพรบ.ที่มีลักษณะการข่มขืน
ทุกครั้งที่มีการออกเสียงโหวตกฎหมายในสภาที่มีการใช้เสียงส่วนใหญ่ตัดสิน จึงมีแต่การออกกฎหมายที่จำเป็น ที่สอดคล้องกับบทบัญญํติรธน.ที่ยกมาให้ดูเป็นตัวอย่าง มิอาจจะออกกฎหมายให้เกิดการทำร้ายบุคคล อย่างกรณีหญิงที่พรหมพิราม
สรุป
การยกกรณีพรหมพิรามมาเทียบเคียงเสียงส่วนใหญ่ในระบอบประชาธิปไตย จึงเป็นการบิดเบือนโดยลืม หรือไม่รู้จักว่า สังคมนั้นมีกฎหมายรัฐธรรมนูญ ที่พิทักษ์ประชาชนไว้ เสียงส่วนใหญ่จึงเป็นเสียงส่วนใหญ่ภายใต้กติการัฐธรรมนูญ ที่จะถูกใช้ไปแต่ในทางที่สร้างสรรค์ตามบัญญัติรัฐธรรมนูญบังคับไว้เท่านั้น ไม่มีทางที่เสียงส่วนใหญ่จะถูกใช้ไปในทางบังคับข่มขืนสิทธิเสรีภาพกลุ่มใด หรือผู้ใด (นอกจากมันอาจจะไม่ถูกใจเขาเท่านั้น)
การอ้างเรื่องที่พรบ.ออกมาไม่ถูกใจตนแค่นั้น ก็เอามาเทียบกับกรณีพรหมพิราม ทั้งๆที่อย่างมากมันก็เป็น"แค่เรื่องไม่ถูกใจ" มิใช่เรื่อง "ไปถูกเนื้อต้องตัวผู้ใด ข่มขืนใจผู้ใด หรือละเมิดสิทธิใคร" เพราะสิทธิรธน.ในระบอบประชาธิปไตยคุ้มครองไว้ แต่ก็ยังพยายามบิดเบือนกันไป "เมื่อไม่ถูกใจ ก็อ้างกันไปเสียว่าถูกข่มขืน(ใจหรือร่างกาย ก็ตามแต่พวกเขาจะอ้างกัน) " เพื่อให้เกิดความเสียหายต่อระบอบประชาธิปไตย จึงสมควรถูกประณาม