
ตอนที่ 1.1 ในอดีตกาลมีจักรวาลไกลโพ้นจากโลกมนุษย์ที่เราอยู่นี้ มีมหาฤษีผู้มีตบะแก่กล้า นามว่า "มหาฤษีโรหิตัสสะ" ท่านมีฤทธิ์สามารถเหาะเหินเที่ยวข้ามจักรวาลได้อย่างรวดเร็วดังใจนึก วันหนึ่งท่านมหาฤษีเกิดอยากรู้อย่างแรงกล้าว่าจักรวาลไปสิ้นสุดที่ไหน และสามารถออกจากจักรวาลได้อย่างไร ท่านจึงใช้ฤทธิเหาะมุ่งตรงจากจักรวาลหนึ่ง ข้ามไปอีกจักรวาลหนึ่ง เรื่อยๆ ไปโดยไม่ยอมหยุดพัก ตั้งใจจะไปดูที่สุดของจักรวาลให้ได้ และจะได้รู้ว่า จะออกจากจักรวาลได้หรือไม่ ท่านดำรงชีพอยู่ได้ด้วยฤทธิตบะแก่กล้าของท่าน จนกาลเวลาผ่านไปถึงหนึ่งร้อยปี ท่านก็หมดอายุขัยที่จักรวาลของเราพอดี ด้วยกุศลการบำเพ็ญตบะของท่านฤษี ท่านจึงไปเกิดเป็นเทพบุตรมีวิมานสว่างไสว และได้เข้าไปกราบบังคม เฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่วัดเชตวันมหาวิหาร แล้วทูลเรื่องของตนให้ฟัง ทั้งปัญหาที่ใช้เวลาจนสิ้นอายุ แต่ยังหาคำตอบไม่ได้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเฉลยว่า (ข้อความต่อไปนี้ คือความเข้าใจของข้าพเจ้าเอง) "เราไม่สามารถออกจากภพได้ด้วยการเดินทาง ตถาคตรู้แจ้งถึงการเกิด การดับแห่งภพ และการวิธีออกจากภพอยู่ในตัวของเราเอง" จากนั้นพระองค์ก็ทรงสอนโรหิตัสสะเทพบุตร ผู้ซึ่งเคยมีตบะบารมีอยู่แล้ว ให้เข้าใจถูกต้อง และท่านเทพบุตรก็ได้บรรลุพระโสดาบัน พบวิธีออกจากภพ ออกจากจักรวาลสมใจ
อ้างอิง 1.
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=21&i=45
2.
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=21&A=1282&Z=1326&pagebreak=0
3.
http://buddha.dmc.tv/%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%99/%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%94.html
ปล. 1.การที่เราอ่านพระไตรปิฎกไม่รู้เรื่อง เพราะคำพูดในอดีตกับปัจจุบันมันเปลี่ยนไปจนห่างไกลมาก เช่น คำว่า "โลกนี้ โลกหน้า" หมายถึงภพนี้ ภพหน้า ไม่ใช่หมายถึงดาวเคราะห์โลกอย่างที่เราเข้าใจตอนนี้ หรือคำว่า "ทวีป" หมายถึง โลก หรือดวงดาวที่มีมนุษย์อาศัยอยู่ ไม่ใช่แผ่นดินทวีปอเมริกา ทวีปออสเตรเลีย อย่างที่เราเข้าใจในปัจจุบัน ที่จริงถ้ามีใครเขียนพระไตรปิฎกด้วยภาษาปัจจุบัน จะช่วยให้ประชาชนศึกษาได้เยอะเลยครับ
2.หากท่านผู้รู้ พบว่าผมเขียนผิดพลาดคลาดเคลื่อน ขอบอกว่า เป็นความผิดผมโดยตรง คนเดียวครับ
ตอนที่ 1.2 ครั้งหนึ่งพระอานนท์เข้าไปกราบเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วทูลถามเรื่องที่เคยได้ยินมาว่า พระอภิภูอรหันต์ พระสาวกของพระสิขีสัมมาสัมพุทธเจ้าในอดีต สามารถเปล่งเสียงให้ได้ยินทั่วกันถึงพันจักรวาล (หมายถึงมนุษย์ที่อยู่ในพันจักรวาลได้ยินเสียงพูดพร้อมๆ กัน ด้วยฤทธิพระอรหันต์ ไม่ใช่เอาโทรโข่งมาตะโกนนะครับ)
ตอนหนึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอธิบายเรื่องราวของจักรวาล ประมาณนี้
จักรวาลหนึ่ง มีหนึ่งดวงอาทิตย์ หนึ่งดวงจันทร์ แต่มี 4 โลกมนุษย์ (ส่วนสวรรค์ชั้นต่างๆ พรหมชั้นต่างๆ ขอข้ามไป ไม่พูดถึงในที่นี้) นั่นคือ สุริยจักรวาลในทางวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน เป็นเพียงไม่ถึงหนึ่งในสี่ของจักรวาลที่พระองค์ทรงอธิบาย เพราะมันกว้างไกลเกินกว่าวิทยาการปัจจุบันจะไปถึง
จำนวนหนึ่งพันจักรวาล รวมเรียกว่า "โลกธาตุอย่างเล็ก" คือมีจักรวาลแบบที่เราอยู่นี้เปี้ยบ ซ้ำๆ กันจนครบพันจักรวาล
ถ้าจักรวาลนับรวมจนถึงล้านจักรวาล เรียก "โลกธาตุอย่างกลาง"
ถ้าจำนวนแสนโกฏจักรวาล เรียก "โลกธาตุอย่างใหญ่"
"อนันตจักรวาล" คือจำนวนนับไม่หวาดไม่ไหว หรือนับไม่ถ้วน ดังนั้นจึงมีจักรวาลแบบเรา มนุษย์โลกแบบเรา มากมายจนนับไม่ถ้วน ถูกขังให้เวียนว่ายตายเกิดในวัฎฎสังสารอันไม่มีที่สิ้นสุด หรือเป็นกรงขังสัตว์นั่นเอง
อ้างอิง 1.
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=20&A=5985&Z=6056
2.
http://mblog.manager.co.th/chaiyan00/%E0%B8%88%E0%B8%B9%E0%B8%AC%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3/
ปล. 1.มีเรื่องราวอธิบายเกี่ยวกับจักรวาลมากมาย ในพระไตรปิฏก ซึ่งจดบันทึกกันมาเกือบ 2,600 ปีมาแล้ว เรื่องการเดินทางข้ามจักรวาลจนกลายเป็นเรื่องแสนธรรมดา เช่น เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงเทศนาให้เหล่าเทวดาในยามกลางคืน ก็จะมีเหล่าเทพและพรหมจากจักรวาลต่างๆ แห่กันมาฟังธรรมจนแน่นขนัด เทวดาและพรหมมีดีตรงที่ สามารถอยู่ในมิติที่ซ้อนๆ กันในสถานที่เดียวกันได้ และได้บรรลุธรรมจำนวนนับไม่ถ้วนในแต่ละคืน
นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่เราอยู่จักรวาลหนึ่ง สามารถไปเกิดในจักรวาลอื่นตอนสิ้นกัลป์ เมื่อจักรวาลของเราถูกทำลาย เป็นต้น
2.ศาสนาพุธเป็นสิ่งที่ต้องใช้การศึกษาเล่าเรียนจากตำรา เช่น พระไตรปิฎก เป็นตำราหลักที่ได้จดบันทึกมาถึง 2,600 ปี และต้องให้เกียรติผู้สังคยานา ซึ่งมีแต่ผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะ ไม่ใช่เรื่องตาสี ตาสาอย่างเราจะไปเที่ยวจินตนาการเอง เออเอง เที่ยวกำหนดเอาเองว่า ศาสนาพุทธต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ดังใจเรา ทุกวันนี้ศาสนาพุทธจึงเละเทะ คนส่วนใหญ่อ้างตัวเองเป็นคนนับถือศาสนาพุทธ แต่กลับนับถือศาสนาเทวนิยมจนแยกไม่ออก ศาสนาเทวนิยมไม่ว่าจะเป็น ฮินดู หรือจีน มักไม่มีเหตุผลและพาคนส่วนใหญ่ไปนรก เพราะทำผิดศีลหมดทุกข้อ ตั้งแต่ตีรันฟันแทง ฆ่ากัน ผิดลูกผิดเมีย (เช่น หนุมาน พระเอกในรามเกียรต์ เจอใคร ไม่ว่าสายพันธ์ไหนก็เอาหมด กลายเป็นตัวอย่างผิดๆ ให้คนที่ชื่นชอบ) กินเหล้าเมายา ครบทุกข้อ ไปนรกหมดทุกขุม เทวนิยมที่อินเดียถึงต้องฆ่าล้างชาวพุทธ เพราะคำสอนต่างกันมาก ไปกันไม่ได้ เหลือแค่พี่ไทยในประเทศไทยนี้ไงครับ ...
จบเรื่องอยากเล่าเรื่องแรกแค่นี้ครับ วันหลังจะมาเล่าใหม่ครับ
เรื่องอยากเล่า ตอนที่ 1 เรื่องจักรวาล
ตอนที่ 1.1 ในอดีตกาลมีจักรวาลไกลโพ้นจากโลกมนุษย์ที่เราอยู่นี้ มีมหาฤษีผู้มีตบะแก่กล้า นามว่า "มหาฤษีโรหิตัสสะ" ท่านมีฤทธิ์สามารถเหาะเหินเที่ยวข้ามจักรวาลได้อย่างรวดเร็วดังใจนึก วันหนึ่งท่านมหาฤษีเกิดอยากรู้อย่างแรงกล้าว่าจักรวาลไปสิ้นสุดที่ไหน และสามารถออกจากจักรวาลได้อย่างไร ท่านจึงใช้ฤทธิเหาะมุ่งตรงจากจักรวาลหนึ่ง ข้ามไปอีกจักรวาลหนึ่ง เรื่อยๆ ไปโดยไม่ยอมหยุดพัก ตั้งใจจะไปดูที่สุดของจักรวาลให้ได้ และจะได้รู้ว่า จะออกจากจักรวาลได้หรือไม่ ท่านดำรงชีพอยู่ได้ด้วยฤทธิตบะแก่กล้าของท่าน จนกาลเวลาผ่านไปถึงหนึ่งร้อยปี ท่านก็หมดอายุขัยที่จักรวาลของเราพอดี ด้วยกุศลการบำเพ็ญตบะของท่านฤษี ท่านจึงไปเกิดเป็นเทพบุตรมีวิมานสว่างไสว และได้เข้าไปกราบบังคม เฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่วัดเชตวันมหาวิหาร แล้วทูลเรื่องของตนให้ฟัง ทั้งปัญหาที่ใช้เวลาจนสิ้นอายุ แต่ยังหาคำตอบไม่ได้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเฉลยว่า (ข้อความต่อไปนี้ คือความเข้าใจของข้าพเจ้าเอง) "เราไม่สามารถออกจากภพได้ด้วยการเดินทาง ตถาคตรู้แจ้งถึงการเกิด การดับแห่งภพ และการวิธีออกจากภพอยู่ในตัวของเราเอง" จากนั้นพระองค์ก็ทรงสอนโรหิตัสสะเทพบุตร ผู้ซึ่งเคยมีตบะบารมีอยู่แล้ว ให้เข้าใจถูกต้อง และท่านเทพบุตรก็ได้บรรลุพระโสดาบัน พบวิธีออกจากภพ ออกจากจักรวาลสมใจ
อ้างอิง 1. http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=21&i=45
2. http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=21&A=1282&Z=1326&pagebreak=0
3. http://buddha.dmc.tv/%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%99/%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%94.html
ปล. 1.การที่เราอ่านพระไตรปิฎกไม่รู้เรื่อง เพราะคำพูดในอดีตกับปัจจุบันมันเปลี่ยนไปจนห่างไกลมาก เช่น คำว่า "โลกนี้ โลกหน้า" หมายถึงภพนี้ ภพหน้า ไม่ใช่หมายถึงดาวเคราะห์โลกอย่างที่เราเข้าใจตอนนี้ หรือคำว่า "ทวีป" หมายถึง โลก หรือดวงดาวที่มีมนุษย์อาศัยอยู่ ไม่ใช่แผ่นดินทวีปอเมริกา ทวีปออสเตรเลีย อย่างที่เราเข้าใจในปัจจุบัน ที่จริงถ้ามีใครเขียนพระไตรปิฎกด้วยภาษาปัจจุบัน จะช่วยให้ประชาชนศึกษาได้เยอะเลยครับ
2.หากท่านผู้รู้ พบว่าผมเขียนผิดพลาดคลาดเคลื่อน ขอบอกว่า เป็นความผิดผมโดยตรง คนเดียวครับ
ตอนที่ 1.2 ครั้งหนึ่งพระอานนท์เข้าไปกราบเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วทูลถามเรื่องที่เคยได้ยินมาว่า พระอภิภูอรหันต์ พระสาวกของพระสิขีสัมมาสัมพุทธเจ้าในอดีต สามารถเปล่งเสียงให้ได้ยินทั่วกันถึงพันจักรวาล (หมายถึงมนุษย์ที่อยู่ในพันจักรวาลได้ยินเสียงพูดพร้อมๆ กัน ด้วยฤทธิพระอรหันต์ ไม่ใช่เอาโทรโข่งมาตะโกนนะครับ)
ตอนหนึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอธิบายเรื่องราวของจักรวาล ประมาณนี้
จักรวาลหนึ่ง มีหนึ่งดวงอาทิตย์ หนึ่งดวงจันทร์ แต่มี 4 โลกมนุษย์ (ส่วนสวรรค์ชั้นต่างๆ พรหมชั้นต่างๆ ขอข้ามไป ไม่พูดถึงในที่นี้) นั่นคือ สุริยจักรวาลในทางวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน เป็นเพียงไม่ถึงหนึ่งในสี่ของจักรวาลที่พระองค์ทรงอธิบาย เพราะมันกว้างไกลเกินกว่าวิทยาการปัจจุบันจะไปถึง
จำนวนหนึ่งพันจักรวาล รวมเรียกว่า "โลกธาตุอย่างเล็ก" คือมีจักรวาลแบบที่เราอยู่นี้เปี้ยบ ซ้ำๆ กันจนครบพันจักรวาล
ถ้าจักรวาลนับรวมจนถึงล้านจักรวาล เรียก "โลกธาตุอย่างกลาง"
ถ้าจำนวนแสนโกฏจักรวาล เรียก "โลกธาตุอย่างใหญ่"
"อนันตจักรวาล" คือจำนวนนับไม่หวาดไม่ไหว หรือนับไม่ถ้วน ดังนั้นจึงมีจักรวาลแบบเรา มนุษย์โลกแบบเรา มากมายจนนับไม่ถ้วน ถูกขังให้เวียนว่ายตายเกิดในวัฎฎสังสารอันไม่มีที่สิ้นสุด หรือเป็นกรงขังสัตว์นั่นเอง
อ้างอิง 1. http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=20&A=5985&Z=6056
2. http://mblog.manager.co.th/chaiyan00/%E0%B8%88%E0%B8%B9%E0%B8%AC%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3/
ปล. 1.มีเรื่องราวอธิบายเกี่ยวกับจักรวาลมากมาย ในพระไตรปิฏก ซึ่งจดบันทึกกันมาเกือบ 2,600 ปีมาแล้ว เรื่องการเดินทางข้ามจักรวาลจนกลายเป็นเรื่องแสนธรรมดา เช่น เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงเทศนาให้เหล่าเทวดาในยามกลางคืน ก็จะมีเหล่าเทพและพรหมจากจักรวาลต่างๆ แห่กันมาฟังธรรมจนแน่นขนัด เทวดาและพรหมมีดีตรงที่ สามารถอยู่ในมิติที่ซ้อนๆ กันในสถานที่เดียวกันได้ และได้บรรลุธรรมจำนวนนับไม่ถ้วนในแต่ละคืน
นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่เราอยู่จักรวาลหนึ่ง สามารถไปเกิดในจักรวาลอื่นตอนสิ้นกัลป์ เมื่อจักรวาลของเราถูกทำลาย เป็นต้น
2.ศาสนาพุธเป็นสิ่งที่ต้องใช้การศึกษาเล่าเรียนจากตำรา เช่น พระไตรปิฎก เป็นตำราหลักที่ได้จดบันทึกมาถึง 2,600 ปี และต้องให้เกียรติผู้สังคยานา ซึ่งมีแต่ผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะ ไม่ใช่เรื่องตาสี ตาสาอย่างเราจะไปเที่ยวจินตนาการเอง เออเอง เที่ยวกำหนดเอาเองว่า ศาสนาพุทธต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ดังใจเรา ทุกวันนี้ศาสนาพุทธจึงเละเทะ คนส่วนใหญ่อ้างตัวเองเป็นคนนับถือศาสนาพุทธ แต่กลับนับถือศาสนาเทวนิยมจนแยกไม่ออก ศาสนาเทวนิยมไม่ว่าจะเป็น ฮินดู หรือจีน มักไม่มีเหตุผลและพาคนส่วนใหญ่ไปนรก เพราะทำผิดศีลหมดทุกข้อ ตั้งแต่ตีรันฟันแทง ฆ่ากัน ผิดลูกผิดเมีย (เช่น หนุมาน พระเอกในรามเกียรต์ เจอใคร ไม่ว่าสายพันธ์ไหนก็เอาหมด กลายเป็นตัวอย่างผิดๆ ให้คนที่ชื่นชอบ) กินเหล้าเมายา ครบทุกข้อ ไปนรกหมดทุกขุม เทวนิยมที่อินเดียถึงต้องฆ่าล้างชาวพุทธ เพราะคำสอนต่างกันมาก ไปกันไม่ได้ เหลือแค่พี่ไทยในประเทศไทยนี้ไงครับ ...
จบเรื่องอยากเล่าเรื่องแรกแค่นี้ครับ วันหลังจะมาเล่าใหม่ครับ