การแย่งชิงตลาดระหว่างเบียร์ลากซุงกับเบียร์ตราสิงห์โต มันจะสะท้อนการเมือง เศรษฐกิจ สังคม อย่างไรไปดูกัน (The Mario)

กระทู้คำถาม
กระทู้นี้มิได้มีเจตนาแอบแฝงในการนำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาโฆษณาชี้นำให้ทุกท่านไปลิ้มลองแต่อย่างใด ขออนุญาตงดรูปภาพประกอบทุกชนิดที่เกี่ยวกับเครื่องดื่มดังกล่าวครับผม

เบียร์ที่เราพอจะรู้จักในประเทศไทยที่วางขายตามร้านสะดวกซื้อและสถานบริการเกี่ยวกับบันเทิงต่างๆเท่าที่ผมพอจะไล่ชื่อได้ก็จะมีพวก เบียร์ลีโอ เบียร์สิงห์ เบียร์ช้าง ไฮเนเก้น อาชา โฮการ์เด้น อาซาฮี Tiger โคโรนา คาร์ลสเบิร์ก ซานมิเกล เป็นต้น ซึ่งแต่ละยี่ห้อจะมีรสชาติ ความหนักความนุ่ม และระดับปริมาณแอลกอฮอล์ที่แตกต่างกันออกไปแล้วแต่คนชอบ

แต่สำหรับยี่ห้อหลักๆที่แย่งชิงตลาดผู้บริโภคส่วนใหญ่ของประเทศ ณ เวลานี้ ก็จะมีหลักๆอยู่เพียง 2 ยี่ห้อที่คนนิยมบริโภคมากที่สุดนั่นก็คือ เบียร์ลากซุงขวดเขียว กับ เบียร์ตราสิงห์โต (นามสมมุติทั้งคู่)

ในช่วงที่มีการชุมนุมทางการเมืองของกลุ่ม กปปส. ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับผู้ชุมนุมได้มีการรณรงค์ต่อต้านและเลิกซื้อเลิกกินเบียร์ตราสิงห์โต เนื่องจากไม่พอใจการปราศรัยของทายาทเจ้าของเบียร์ดังกล่าว จะเห็นภาพการแสดงออกเพื่อต่อต้านมากมายเช่นบางคนเอาไปล้างเท้า เทชักโครก รดน้ำต้นไม้ เททิ้งเอาดื้อๆ ซื้ออิชิตันมากินแทน เป็นต้น  แต่จากการสอบถามเจ้าของร้านขายส่งที่ค่อนข้างสนิทกันกับผม ณ เวลานั้น ถามว่ายอดขายลดลงจริงไหมก็ลดลงจริงๆ แต่ก็ไม่ได้มากมาย และในเวลาต่อมาก็กลับมาขายได้ดีตามปกติ ซึ่งแม้แต่ตัวผมเองก็เป็นหนึ่งในผู้ไม่พอใจทายาทเจ้าของเบียร์ดังกล่าวเช่นกันเพราะผมก็ไม่ชอบการปราศรัยลักษณะไปดูถูกคนอื่นว่าไม่เข้าใจประชาธิปไตยทั้งๆที่ตัวเองกำลังจะไปล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน แต่ตัวผมเองก็ยังดื่มเบียร์ยี่ห้อดังกล่าว เพราะรสชาติดี+ราคาที่ไม่แพง+สังคมของพวกผมยังคุ้นเคยกับทุกคุณสมบัติของเบียร์ยี่ห้อนี้ ซื้อยี่ห้ออื่นมันมากินมันก็ไม่อร่อยไม่คุ้นเคย บางยี่ห้อที่ไฮโซกว่านี้ก็จืดไปสำหรับผม นี่คือสิ่งที่สะท้อนได้ว่าแม้จะรณรงค์ จะด่า จะต่อต้านกันให้ตายกันไปข้าง แต่ถ้าของๆเขาดีจริงเราก็มิอาจไปทำอะไรเขาได้ วันดีคืนดีมาพิมพ์ด่าเขาแต่ก็ยังซื้อเบียร์ครอบครัวเขากินก็มีครับ เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง เพราะน้ำแกงมันรสชาติถูกปาก ณ เวลานั้น

เมื่อช่วงปลายปีที่แล้วจนข้ามปีมาจนถึงปลายเดือนมกราคม 59 ผมเองมีงานเลี้ยงสังสรรค์ต่างๆ รวมถึงงานมงคลสมรสของเหล่าญาติมิตรเพื่อนฝูงอยู่หลายงาน จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะได้มีการพบปะสังสรรค์กัน สิ่งหนึ่งที่ผมเห็นการเปลี่ยนแปลงก็คือเจ้าเครื่องดื่มที่พวกผมกินกันนี่แหละครับ มันกลับกลายเป็นเบียร์ตราลากซุงขวดสีเขียวแทนเกือบทุกงาน ไปสอบถามเจ้าของร้านขายส่งคนเดิมเขาก็บอกกับผมว่าเดี๋ยวนี้เขากินยี่ห้อนี้กันแล้วครับ เบียร์ที่เคยครองตลาดยี่ห้อเดิมยอดขายลดลงไปมาก เพราะโดนครองตลาดผู้ดื่มจากยี่ห้อลากซุงไปเรียบร้อยแล้ว ได้มีการปรับปรุงรสชาติที่นุ่มนวลขึ้น ออกแบบขวดใหม่ให้ดูดีมีสไตล์ขึ้น ในราคาที่ถูกกว่าเบียร์แชมป์เก่าเล็กน้อย นี่คืออีกหนึ่งตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นว่าหากมีการปรับปรุงพัฒนาตัวเองขึ้น รู้และเข้าใจความต้องการของผู้บริโภคให้รอบด้าน จากเบอร์สองคุณก็สามารถก้าวข้ามขึ้นมาเป็นเบอร์หนึ่งได้เช่นกันโดยที่ไม่จำเป็นต้องมีใครไปโจมตี หรือรณรงค์ไม่กินเบียร์คู่แข่ง

จากเรื่องราวที่ผมกล่าวมาข้างต้น ผมจะลองมาสรุปคร่าวๆง่ายๆว่ามันจะไปสื่อถึงการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมของประเทศไทยได้อย่างไร

ด้านการเมือง
- ถึงแม้ว่าจะมีการโจมตีคู่แข่งทางการเมืองอย่างหนักหน่วงสักแค่ไหน แต่ตราบใดที่ประชาชนเขาต้องการพรรคใดมาบริหารประเทศของเขา การโจมตีของคุณก็เป็นได้แค่การระบายอารมณ์เท่านั้น แต่มิอาจเปลี่ยนแปลงความต้องการของประชาชนเมื่อพวกเขาอยู่ในคูหาเลือกตั้งได้ ทางที่ดีที่สุดคุณต้องกลับไปพัฒนาตัวเอง สร้างผลงานให้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาประชาชน นั่นคือหนทางเดียวที่คุณจะสามารถก้าวจากเบอร์สองขึ้นมาแทนที่เบอร์หนึ่ง ณ ปัจจุบันได้

ด้านเศรษฐกิจ
- ถึงแม้ว่าบางคนบอกว่าเศรษฐกิจแย่ บางคนบอกเศรษฐกิจดี ทุกสิ่งทุกอย่างมันตอบโจทย์ตัวเองได้ง่ายๆในเชิงตัวเลขผ่านจำนวนเงินรายรับที่เข้ากระเป๋าของตัวคุณเอง โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ไม่มีเงินเดือนประจำ กลุ่มธุรกิจ เกษตรกร การประมง การท่องเที่ยว ฯลฯ หากคนจำนวนมากบอกว่าแย่มันก็คือแย่ หากคนจำนวนมากบอกว่าดีมันก็คือดี หรืออยู่เฉยๆโดยที่ไม่บ่นอะไรมันก็คือดี  โดยส่วนตัวของผมขอเป็นอีกหนึ่งเสียงที่จะบอกว่าเศรษฐกิจ ณ เวลานี้มันแย่ลงครับ

ด้านสังคม
- จะคล้ายๆกับด้านการเมือง สังคมจะดีหรือไม่ดีมันต้องขึ้นกับบริบทรอบๆด้านซึ่งนั่นก็หมายถึงตัวของตัวเราเองทุกคนด้วย หรือการที่เราต้องการจะเป็นอีกหนึ่งคนให้สังคมยอมรับเรา เราต้องรู้จักตัวเราเองให้ดีเสียก่อนๆที่จะไปวิพากษ์วิจารณ์คนอื่น สมมุติว่าเรากำลังขับรถอยู่บนท้องถนนเราอาจจะมองเห็นรถคันข้างหน้าแล้วเราไปบ่นเขาว่ารถไอ้นี่มันมีควันดำ ไฟเลี้ยวไม่ติดข้างหนึ่ง ไฟเบรคติดบ้างไม่ติดบ้าง ไฟถอยดับไปข้าง เราวิพากษ์วิจารณ์เขาได้แต่ในขณะนั้นหากเราไม่สำรวจรถของตัวเราเองให้ดีก่อน ในขณะขับรถเราก็ไม่มีโอกาศรู้เลยว่ารถเราก็ควันดำแถมดำกว่าเขาด้วย ไฟเลี้ยวเจ๊งทั้งสองข้างเลย ไฟเบรคติดบ้างไม่ติดบ้าง ไฟถอยไม่ติดเลยก็เป็นได้

  ผู้บริโภคเบียร์เขาไม่จำเป็นต้องให้ใครมาชี้นำว่าอันไหนดีอันไหนเลว มันคือการกินผ่านปากผ่านลิ้นลงท้องของตัวเขาเอง ถ้าของมันดีจริงๆต่อให้ถูกด่าถูกรณรงค์ยังไงก็ช่างคนมันก็จะกินเสียอย่าง และในทางกลับกันในเวลาต่อมาเบียร์ยี่ห้อลากซุงกลับมายึดครองตลาดแทนได้เพราะเขามีความเข้าใจในผู้บริโภคมากขึ้นและมีการปรับปรุงพัฒนาตนเองจนเป็นที่ยอมรับของคนส่วนใหญ่ได้

จบเอาดื้อๆ สวัสดีเดือนแห่งความรักครับผม จุ๊บๆหัวใจ

The Mario 2 กุมภาพันธ์ 2559
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 14
มีอีกคู่หนึ่ง
ที่มีการต่อสู้ทางการตลาด
ในการสร้างแบรนด์ และ การขับเคี่ยวทางธุรกิจ โดยเชื่อมโยงไปยังเศรษฐกิจ และ สังคม

นั่นก็คือ อาดิดาส กับ ไนกี้

อาดิดาส อยู่ในฝั่งยุโรป
ส่วน ไนกี้ อยู่ที่ฝั่งอเมริกา

จริงๆแล้วตอนแรกไนกี้ไม่ใช่คู่แข่งของอาดิดาสด้วยซ้ำไป
เพราะในทศวรรษที่ 80 นั้น คู่แข่งของอาดิดาสก็คือ พูม่าครับ
ตอนนั้นอาดิดาสได้ "นโปเลียนลูกหนัง" มิเชล พลาตินี่ เป็นพรีเซ็นเตอร์
ส่วนพูม่าก็ไม่น้อยหน้า เพราะล็อคคอ "เสือเตี้ย" ดิเอโก้ มาราโดน่า มาเป็นพรีเซ็นเตอร์เช่นกัน

เรียกว่าสูสีแหละครับ
เพราะตอนนั้นมันคือยุครุ่งเรืองของทั้งคู่

แต่ทำไปทำมาพอเข้าทศวรรษที่ 90
พูม่าดันแผ่วไปดื้อๆซะอย่างงั้นแหละ

ในขณะที่ไนกี้นั้น
บ่อน้ำมันของพวกเขาอยู่ในแดนลุงแซม
เพราะพวกเขาหากินกับวงการบาสเก็ทบอล
ที่เป็นกีฬาที่แสนจะยอดฮิตของพวกมะริกันชนเขา

ในแง่ของสังคมนั้น
ฟุตบอลมันคือ "กีฬาแห่งมนุษยชาติ"
มากกว่าบาสเก็ทบอลที่ได้รับความนิยมแบบจำกัดมากกว่าฟุตบอล

อย่าลืมว่าในยุคนั่นอเมริกันชนยังไม่ได้สร้างชื่อจาก Soccer เลยนะครับ แต่ฝั่งยุโรปนั้นเป้นมหาอำนาจมานานแล้ว

แม่จะทำมาหากินในอเมริกาเป็นหลัก
แต่ผู้บริหารไนกี้สายตาไม่สั้นนะครับ
พวกเขามองเห็นว่า "ฟุตบอล" นี่แหละ
ที่ต่อไปจะกลายเป็น "กีฬาแห่งมนุษยชาติ"

ไนกี้จึงข้ามฝั่งมาหากินกับกีฬาลูกหนัง
และได้กลายมาเป็นคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อของอาดิดาส

เป็นการประหมัดกันแบบไม่มีใครได้เปรียบใคร
เพราะไนกี้ก็เจาะตลาดยุโรปไม่ได้เหมือนที่อเมริกา
ส่วนอาดิดาสของพวกเยอรมันนั้น ก็หาทางเข้าอเมริกาไม่ได้เช่นกัน

อาดิดาสมีเส้นอยู่ใน "ฟีฟ่า" และ "ยูฟ่า"
ไอ้สององค์กรนี้มันเป็นเจ้าภาพของทัวร์นาเม้นท์ยักษ์ใหญ่ครับ
ก็เลยทำให้อาดิดาสสามารถเข้าไปเป็น Title sponsor ให้กับการแข่งขันรายการใหญ่

มูลค่าทางการตลาดไม่ต้องพูดถึงครับ
แค่เห็นโลโก้ของอาดิดาสในการถ่ายทอดนัดชิงชนะเลิศ
แค่นี้มันก็คือการลงทุนที่แสนจะคุ้มค่าแล้ว เพราะมันถ่ายทอดสดไปทั่วโลก

ไนกี้ก็ตายซิ.....เจอแบบนี้......

ไนกี้กลับไปคิดแทบตาย
และแล้วฝ่ายการตลาดของไนกี้ก็เกิด "พุทธิปัญญา" ขึ้นมา

ก็ในเมื่อเป็นสปอนเซอร์การแข่งขันไม่ได้
อย่ากระนั้นเลย.....ไปเป็นสปอนเซอร์ให้ "ทีม" ดีกว่า

ทีมที่ว่านั้น
มันก็ต้องเป็นทีมใหญ่
ที่มีศักยภาพความเป็นตัวเก็งพอที่จะผ่านเข้าไปใน "นัดชิงชนะเลิศ" ครับ

โห......เอากับไนกี้มันซิ....

อาดิดาสเจอแบบนี้แทบอาเจียนเป็นโลหิตเลย

แม้ทัวร์นาเม้นท์นั้น อาดิดาส จะเป็นสปอนเซอร์
แต่ทีมใหญ่ๆที่เป็นตัวเก็งที่จะเข้าชิงดันตกอยู่ในเมือไนกี้
พอถึงนัดชิง แม้จะได้เห็นความเป็นอาดิดาสที่ถ่ายทอดออกไปทั่วโลก
แต่มันก็เลี่ยงไม่ได้จริงๆ ที่จะเห็นความเป็นไนกี้ สอดแทรกอยู่ในทุกอณูของสนามหญ้า

"ชุบมือเปิบ" ครับ......แถวบ้านจ่าเขาเรียกว่า "ชุบมือเปิบ"

จ่ายเงินก็น้อยกว่าอาดิดาส
แต่หากทีมที่ตัวเองเป็นสปอนเซอร์เข้าชิง
ผลจากการ "ทำตลาด" ที่ได้รับคืนมากลับสูสีกันซะอย่างงั้น

ในขณะที่อาดิดาสจ่ายอุ้มทั้งทัวร์นาเม้นท์ด้วยเงินจำนวนมหโฬาร !!!!!!!

กว่าที่อาดิดาสจะขยับตัว
และปรับทิศทางการตลาดใหม่
ไนกี้มันก็แชร์ส่วนแบ่งทางการตลาดไปเรียบร้อยโรงเรียนมะกันแล้ว

ปัจจุบันทั้ง 2 แบรนด์ต่างก็มียุทธวิธีที่ใกล้เคียงกันแล้วครับ

ค่าที่ว่ามันเหลือแบรนด์หลักๆแค่ 2 แบรนด์
เพราะทั้ง อัมโบร พูม่า เดียดอร่า และ เลอค็อก ต่างก็ down scale ของตนลงไป

แต่ตำนานของอาดิดาส และ ไนกี้
ยังคงเป็นที่กล่าวขวัญ และ เป็นกรณีศึกษาของนักการตลาดมาจนทุกวันนี้ครับ !!!!!!!!




ขอบคุณ "น้องพรผู้น่ารัก"  ที่สละล็อคอินมาให้จ่าลุยต่อครับ





จ่าพิเชษฐ์
ความคิดเห็นที่ 3
แทบไม่ดื่มแอลกอฮอล์เลยค่ะ อาจจะดื่มคานบุกเบิกได้นิดหน่อย เพราะรสชาติเหมือนจะเบากว่ายี่ห้ออื่น (รึเปล่า?)

การแข่งขันเชิงธุรกิจของเบียร์สองยี่ห้ออาจจะตีคู่สูสี ผลัดกันรุกผลัดกันไล่ ต่างฝ่ายต่างเข็นกลยุทธ์ด้านการตลาดออกมาต่อสู้

แข่งขันกันเพื่อช่วงชิงสัดส่วนการเป็นผู้นำการตลาด


แต่ ถ้าเทียบกับพรรคการเมืองใหญ่ 2 พรรค ดูเหมือนว่าความนิยมของปชช. ต่อพรรคหนึ่งจะทิ้งห่างอีกพรรคมากเกินไป

จนพรรคที่แพ้เลือกตั้งมาตลอดระยะเวลากว่า 20 ปี ต้องเข็นกลยุทธ์วิชามารต่างๆออกมาสู้ บอยคอร์ตเลือกตั้ง วิ่งราวเก้าอี้นายกฯ

ด้วยวิธีการต่างๆนานาสารพัดรูปแบบ ก็ยังเอาชนะอีกคู่ต่อสู้ไม่ได้ ล่าสุดจนต้องก่อม็อบ ล้มเลือกตั้ง เพราะคิดว่าตัวเองต้องแพ้อีกแน่ๆ

สุดท้ายถึงต้องชักนำให้ทหารออกมา ด้วยหวังว่าเค้าจะโอบอุ้มตัวเองขึ้นเป็นรัฐบาลเหมือนที่ผ่านมา ... ซึ่งเราก็ต้องรอดูกันต่อไป


แต่ดิฉันคิดว่า มันเอามาเทียบกับกรณีของสองเบียร์ไม่ได้ เพราะนั่นเค้าใช้กลยุทธ์บนพื้นฐานเดียวกัน ตรรกะเดียวกัน

แต่สำหรับการเมือง มันเข้าทำนอง "ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ก็เอาด้วยคาถา ไม่ได้ด้วยคาถา .... กุล้มทั้งกระดาน"

จึงวอดวายเรือหายกันทั้งประเทศ ด้วยประการฉะนี้แล ....
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่