เรื่องราวการเปลี่ยนแปลงด้านความคิดครั้งใหญ่จากการได้มาเรียนหมอ....อ่านแล้วจะเปลี่ยนใจมั้ย?

คิดว่าบทความนี้เหมาะกะคนที่กำลังจะสอบเข้าเรียนน่ะคะ  อยากให้ลองอ่านกัน โดยเฉพาะคนที่จะเรียนหมอ  เพราะเพื่อนพี่คนนึงเรียนหมอใกล้จะจบแล้ว  แต่เขาคิดว่ามันไม่ใช่  เขาเลยตั้งบทความนี้ขึ้นในเฟส เพื่อเตือนใจใครหลายๆคน  พี่เห็นว่ามันมีประโยชน์กับน้องๆก่อนที่จะตัดสินใจอะไรผิดไป  แล้วย้อนกลับมาแก้ไม่ได้  ลองไปอ่านกันเลยคะ........

ขอแชร์เรื่องราวความดราม่าการเปลี่ยนแปลงด้านความคิดครั้งใหญ่จากการได้มาเรียนหมอ.......และสำหรับคนที่มีอุดมการณ์สูง อ่านเรื่องราวนี้แล้ว จะยังคงความคิดเดิมอยู่มั้ย??
ตอนนี้มาถึงจุดที่ตัวเองเปลี่ยนความคิดไปจากเดิมเยอะมาก สมัยก่อนเป็นคนที่มีอุดมการณ์สูงมาก ต้องเรียนจบหมอให้พ่อแม่ภูมิใจและเป็นที่ต้องการในสังคมให้ได้ เป็นคนโลกสวย ห้ามสอบตก แคร์คนรอบข้างมากๆไม่ว่าจะสนิทหรือไม่ ชีวิตต้องอยู่ในกฏเกณณ์และเพอเฟกต์ จะต้องมีแฟนที่หล่อเก่งดูดีในสังคม....อันนี้คือความคิดในสมัยมอปลาย แต่ตอนนี้อายุปาไป25ปีแล้ว ซึ่งประสบการณ์ในชีวิตค่อนข้างเยอะพอสมควร มีขึ้นมีลงสลับกันไป คือที่จะพิมพ์ต่อไปนี้มันยาวมาก แต่มันเป็นคำพูดจากใจที่อัดอั้นมาตลอด6ปีของการเรียนหมอ จะสรุปเป็นข้อๆจะได้อ่านง่ายๆ จะเลือกอ่านข้อที่อยากอ่านก็ได้ หรือไม่อ่านเลยก็ได้( เข้าใจว่ามันยาวจริง55)

1. "ห้ามสอบตก"
พอได้มาเรียนหมอแล้วสอบตกมาครั้งนึง ตอนนั้นรู้สึกแบบแย่มากๆ อารมณ์แบบชีวิตกุจบเพียงเท่านี้แล้ว แต่พอซ่อมแล้วผ่าน ก็ย้อนกลับมาคิดว่า อ้าว!ตกแล้วไง? หลังจากนั้นก็เป็นคนที่ไม่ซีเรียสกับคำว่าสอบตกอีกเลย(เพราะตกจนชิน) ต่างจากสมัยมอปลาย ที่ห้ามตก คะแนนต้องtop เพราะถ้าเคยเป็นที่ต้นๆแล้วสอบตกกลัวเพื่อนจะมอง กลัวขายหน้ามาก ตอนนี้รู้สึกดีมากเวลาสอบ ไม่กดดันตัวเองอีกเลย เพราะยึดหลักคำว่า "ชิวๆยิ้ม ตกก็ซ่อม"

2. "ต้องเรียนหมอเท่านั้น"
ตอนมอปลายคิดไว้ว่าถ้าสอบไม่ติดหมอ ชีวิตนี้ก็คงตันจริงๆ เหมือนตอนนั้นทางเลือกมีอยู่ทางเดียว กดดันตัวเอง อ่านหนังสือจนสอบติด คือเข้าใจเลยว่าเด็กที่สอบไม่ผ่านแล้วฆ่าตัวตายเขาคงมีทางเลือกแบบเดียวจริงๆ อาจเป็นเพราะอยู่ในสังคมที่กดดันแข่งขันสูง ที่เลือกอาชีพนี้ เพราะเป็นอาชีพที่ดูดีในสังคม ทุกคนเคารพ ฐานะดี พ่อแม่ภูมิใจมีลูกเรียนหมอ แต่พอเข้ามาเรียน ชีวิตมันไม่ได้เพอเฟกต์อย่างวาดฝัน เนื้อหามันไม่ได้น่าเรียนอย่างที่เคยจิ้น ถ้าเหนื่อยกับการอ่านหนังสืออย่างเดียวจะไม่บ่นเลย แต่มันมีเรื่องที่กดดันอยู่หลายอย่าง จากการอยู่เวรที่อดหลับอดนอนแล้วยังต้องหาเวลาอ่านหนังสือสอบ กดดันตอนราวน์เวลาstaffถามแล้วตอบไม่ได้ ต้องโดนว่า บางทีคำพูดก็แรงทะลุจิตใจ บางทีโดนstaffเข้าใจผิด แต่แก้ตัวกลับไม่ได้เนื่องจากเป็นสังคมเอเชียที่เด็กต้องฟังผู้ใหญ่ ต้องmanageคนไข้ที่อยู่ในภาวะวิกฤต ต้องตัดสินใจอะไรหลายอย่าง และการตัดสินใจมันมีเวลากำหนด เพราะมันคือชีวิตของคนไข้ .... เคยลองมองย้อนกลับไปว่าที่ทำมาทั้งหมดเพื่ออะไร ทั้งๆที่ตัวเองไม่มีความสุขกับสิ่งที่ทำอยู่เลยซักนิด สำหรับคนที่เรียนเก่งความจำดีอาจจะมีความสุขกับอาชีพนี้ แต่สำหรับเราแล้วเราไม่ถนัดเลยจริงๆ อะไรที่เรียนมาก็ลืมหมด เวลาคุยกับคนไข้ก็พูดอย่างร่าเริง ทั้งที่ในใจมันหม่นหมอง ฮึดสู้ทำทุกวิถีทางแล้วที่จะให้เรามีความสุขกับอาชีพนี้ แต่มันยากมากจริงๆ โดยเฉพาะเวลาอดหลับอดนอน สมองมันตื้อมาก ความรู้หายไปหมดเวลาอยู่ในช่วงวิกฤต และเวลาอยู่เวรก็เสียวทุกครั้ง ภาวนาให้เวลาผ่านไปไวๆ (ขอให้คนไข้อย่าเป็นอะไรในเวรกุเลย) คือคิดอย่างนั้นจริงๆ เหมือนสมองมันตีบตัน ขาดออกซิเจนไปเลี้ยง....
ถ้าตอนนี้ย้อนเวลาไปได้ คือคงเรียนด้านภาษา คือมันเป็นอะไรที่เราชอบและถนัด แต่ถึงตอนนี้แล้ว อีกแค่47วันจะเรียนจบ ก็ฮึดสู้ไปพร้อมกับเพื่อน และมีแม่แชทมาให้กำลังใจทุกวัน ว่าให้จบได้ใบก่อน ค่อยว่ากัน..... จากที่เคยจะเป็นหมอช่วยเหลือคนอื่น ชีวิตดีเพอเฟกต์ มีคนยกย่อง ถึงตอนนี้อยากเป็นแค่สาวออฟฟิศธรรมดาที่ทำงานจันทร์ถึงศุกร์ กลับบ้านตรงเวลา เงินเดือนไม่ต้องมาก มีเวลาเป็นของตัวเอง กินข้าวง่ายๆตามสั่งทั่วไป มีไปดูหนังบ้าง ได้ออกกำลังกายบ้าง และมีเวลานอนก็พอ... ณ จุดๆนี้ หลังอยู่เวรวันเว้นวันมา9สัปดาห์ก็รู้สึกได้ว่า ขอแค่ได้นอน ได้ขี้ ได้กินข้าวตรงเวลา แค่นี้ก็มีความสุขแล้วจริงๆ ชีวิตไม่ต้องการอะไรไปมากกว่านี้ เพราะรู้สึกขาดนอนจนปวดหัว ใจสั่น เจ็บหน้าอกบ่อยมาก และรู้สึกเศร้าง่าย เหมือนทุกอย่างมันdepressไปหมด มันเป็นความรู้สึกที่แย่มากจริงๆ แถมยังอ้วนขึ้นอีกต่างหาก .......

3."ต้องแคร์ความคิดทุกคน"
จากแต่ก่อนเป็นคนที่แคร์คนรอบข้างมาก ว่าเขาจะคิดยังไงกับเรา เราทำแบบนี้เขาจะโกรธเรามั้ย คือแคร์คนอื่นมากๆ ไม่ว่าจะสนิทหรือไม่ คือพยายามประนีประนอมคนอื่นให้มากที่สุด ไม่ค่อยชอบว่าคนอื่น ชอบพูดดีด้วย แต่พอมาจุดนี้ ก็รู้ว่าเราควรที่จะแคร์ใครหรือignoreใคร บางคนแคร์มากไปยังไงเขาก็คิดลบกับเรา บางทีอาชีพนี้ก็มีการพูดลับหลัง ติเตียนการทำงานของคนโน้นคนนี้บ้าง ซึ่งเราไปบังคับอะไรเขาไม่ได้ คิดเสียว่าเค้าไม่รู้ว่าเราต้องมาเจออะไรบ้างเราถึงได้ทำแบบนี้ ดังนั้นต้องเรียนรู้กับคำว่า"ช่างมัน" มันเป็นแค่ลมปากที่ทำร้ายอะไรเราไม่ได้ อยากคิดอยากพูดก็ทำไป เราก็อยู่ของเราแบบนี้ คนเราไม่ได้เกิดมาเพอเฟกต์ทุกคน ก็ต้องเรียนถูกเรียนผิดไปตามประสบการณ์ที่มี ทุกคนเก่งคนละด้าน จะมาว่าด้านด้อยของคนอื่นมันก็เกินไป ถ้าตำหนิเพื่อไปปรับปรุงก็ดี แต่บางครั้งใช้อารมณ์มันก็แย่ เหมือนต้องมารองรับอารมณ์ของคนอื่น ........สรุปจำไว้ว่าถ้าอยากมีความสุขกับชีวิตต้องอย่าไปใส่ใจกับความคิดคนอื่นมากไป ปล่อยๆมันไปบ้าง....ชีวิตมันสั้นจริงๆ
Life is too short to care everyone around you, so let it go!

4."ต้องมีแฟนที่เพอเฟกต์"
เป็นคนที่แคร์ความคิดคนอื่นเลยเวลาจะคบใครต้องดูหน้าตามาอันดับแรก อยากให้ดูดีในสังคม เหมือนตอนนั้นสมองมันถูกโปรแกรมมาแบบนั้นแล้วแก้ไม่ได้ นอกจากหน้าตาดีแล้วต้องมีคุณสมบัติอย่างอื่น เช่น เรียนเก่งเป็นหมอ/วิศวะ หรืออยู่ในสายอาชีพเดียวกับเรา หรือถ้าไม่ไช่หมอก็ต้องเป็นชาวต่างชาติและต้องเป็นประเทศที่ไฮโซด้วย ไม่ใช่ฝรั่งขี้นกทั่วไป คือตอนนั้นเป็นคนเยอะมีสเปคค่อนข้างสูงมาก แต่จากประสบการณ์แล้ว สิ่งเหล่านี้มันเป็นรูปลักษณ์ภายนอกและของนอกกายจริงๆ สุดท้ายเรามาถึงจุดๆนึงแล้วเราจะคิดเพียงว่า แค่มีใครก็ได้สักคนไม่ต้องดีมาก เป็นแค่คนธรรมดา ไม่ต้องแคร์ว่าสังคมรอบข้างจะคิดยังไง เพียงแค่เราอยู่ด้วยแล้วสบายใจ อยู่กับเราไปนานๆ ไม่พากันทะเลาะ ดูแลเรา ร่วมทุกข์ร่วมสุขไปก็พอ ที่คิดได้ยังงี้ก็เพราะประสบการณ์ที่เคยคบคนที่น่าตาล้วนๆบวกกับผลประโยชน์อื่นๆที่กล่าวไป คือถ้าคบด้วยสิ่งเหล่านี้ สักวันมันก็จะเบื่อ ยิ่งเราเป็นคนเบื่อง่ายด้วย และจากการได้เห็นคนไข้แก่ๆ ที่เขามีสามี/ภรรยามาดูแลข้างเตียง ทั้งๆที่อีกคนสภาพแย่มาก ภายนอกไม่เหลืออะไรแล้ว เหมือนเป็นสภาพผัก แต่เขาก็ไม่ทิ้งกัน เช็ดขี้เช็ดเยี่ยวให้ ทั้งๆที่มีโอกาสหาใหม่ได้ แต่เขาไม่ทำ เขาอยู่ดูแลด้วยความรักล้วนๆ ผูกพันทางใจมากกว่าทางกาย เห็นแล้วซึ้งมากจริงๆ :')
ความจริงมีหลายเรื่องมากที่ตัวเอง "ปลง"ในชีวิต ที่ทำให้เราเปลี่ยนความคิดไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ แต่ตอนนี้สรุปคร่าวๆประมาณนี้เพราะง่วงมาก และก็ตลกตัวเองที่เขียนบรรยายเป็นภาษาทางการ เผื่อไว้ได้ลงแชร์แมกกาซีน (คือมะโนมาก55555) แค่ใครได้อ่านมาถึงจุดๆนี้ก็สุดยอดแล้ว แสดงว่าเป็นคนมีมานะสูงจริงๆ (อุตส่าห์อ่านต้องชม).................. ท้ายสุดนี้เรื่องราวนี้แค่อยากจะแชร์ในอีกมุมนึงของคนที่เคยคิดแบบนึงแต่กลับมาคิดอีกแบบนึงเมื่อเวลาผ่านไป ดังนั้นชีวิตอย่าไปยึดติดอะไรมาก ทำอะไรที่ควรทำและใจบอกก็พอ ขอแค่เรามีความสุขกับมัน สำหรับแรงบันดาลใจของบทความนี้เพราะล่าสุดพ่อเพื่อนสนิทพึ่งเสียชีวิตไปอย่างกระทันหัน ทั้งที่อีก2เดือนลูกจะเรียนจบหมอ คือช็อคแทนมากจริงๆ ถึงขนาดเก็บเอาไปฝัน ถ้าเป็นเราก็คงทำอะไรไม่ถูกและเรียนต่อไม่ไหวจริงๆ แต่เพื่อนเราคนนี้เข้มแข็งมาก ชีวิตคนเราสั้นจริง ดังนั้นอยากจะเตือนทุกคนว่าจะทำอะไรก็รีบทำ เอาที่สบายใจและมีความสุข เราไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น .......สุดท้ายนี้ขอฝากคำคมบาดๆไว้คร่ะ >>> "ทำแล้วเสียใจ ยังดีกว่าเสียใจที่ไม่ได้ทำ" สวัสดีคร่ะยิ้ม

ปล. ขออนุญาติเจ้าของแล้วนะคะ ใครมีคำถามหลังไมค์ก็สอบถามได้เลย ลิงก์นี้นะ เป็นลิงก์จากเฟสบุคเพื่อนเรา [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

ปล.2 อย่าดราม่ากันเลยน้าาา ถ้าใครคิดต่างยังไง ขอความกรุณาโพสดีดีนะคะ ความคิดเราต่างกันได้ แต่อย่าพูดไม่ดีใส่กันเลยเนอะ ถ้าใครเห็นด้วยก็แสดงความคิดเห็นได้ตามสมควรค่ะ ^^
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่