ด้วยที่ตัวเองเป็นเด็กบ้านนอก พอเข้าบรรจุรับราชการใหม่ ๆ
ที่กรุงเทพฯ มีเพื่อนที่ทำงานส่วนใหญ่เป็นคนใต้ (กระทรวงอะไรเดาดูครับ)
คนใต้กับคนกรุงส่วนใหญ่ ไม่ชอบทักกี๊ เกลียดทักกี๊ บ้างก็บอกว่า
ทักกี๊ จะเปลี่ยนระบบราชการเป็นเอกชน อีกหน่อยก็จะสถาปนาตัวเองเป็น ประธานาธิบดี
ประเทศนี้จะเป็นของทักกี้หมด ก็ได้แต่หรา ๆ หลายคนหลายเสียงเข้า จิตใจก็เป็นไปในแนว
ความเชื่อเริ่มเกิดขึ้นในสมอง เออมันน่าจะจริงเหมือนเขาว่าว่ะ เพราะพอร์ทแต่ละอย่าง
ที่คนพวกนี้เอามากระจายช่างเหมือนและไกล้เคียงกับสิ่งที่ทักกี้ทำในขณะนั้นเรย........
แต่พอกลับมาที่บ้าน( 2-3 ปีผมถึงจะกลับมาครั้งหนึ่ง ) ก็เห็นถนนหนทางที่เมื่อก่อน
ตอนผมไปโรงเรียนเป็นหินแดง เป็นถนนดินอยู่ บัดนี้ได้เทคอนกรีต บ้างก็ราดยางมะตอยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แม้กระทั่งทางเดินที่นำ วัวควาย ออกไปนา ยังเทคอนกรีต ก็เลยถามพ่อกับแม่ว่า
บ้านเราเป็นแบบนี้มานานแล้วหรือ (ผมถามแม่) เขาก็ตอบว่า ไปมุดอยู่รูใหนมา
บ้านช่องก็ไม่กลับ ไม่รู้หรือว่า บ้านเมืองเขาพัฒนาไปถึงใหนแร่ว
เลยบอกพ่อกับแม่ไปว่า เขาพัฒนาแค่นี้ แล้วที่เขาโกงกินไปล่ะเท่าไหร่..(เถียงเพื่อจะเอาชนะ).
พ่อก็เลยด่าเข้าให้ เป็นเด็กบ้านนอกแท้ ๆ พอเข้าไปรับราชการที่กรุงเทพหน่อย
นิสัยไปเป็นคนกรุงเรยหรือ ใส่ร้ายขี้อิจฉา พ่อกับแม่ไม่ชอบนะ เงินที่เวลาโทรกลับมาขอ
(ผมเงินเดือนบางเดือนก็ไม่พอใช้) บางทีพ่อกับแม่ไม่มีก็ต้องไปยืมเงินล้าน(กองทุนหมู่บ้าน)
ส่งให้ ยืมเงินกองทุนไปซื้อปุ๋ย ซื้อยาฆ่าแมลงใส่นาข้าว อีก..
คือตอนนั้นก็ได้แต่ ครับ ๆ ทั้งอาย และพอกลับ กทม มานั่งคิดไตร่ตรอง ทักษิณมีอะไรดีวะ
ทำไมชาวบ้านถึงรักถึงหลงได้ .....
... พอได้ยินคำพูดที่บอกว่า "ข้าราชคุณคือขี้ข้าประชาชน"
รับเงินเดือนหรือเงินได้จากภาษีประชาชน ทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดีได้ไหม ..
ถ้าทำไม่ได้ผมมีงานใหม่ให้คุณทำ...นั่นเป็นคำพูดที่ผมมองว่า ทักกี๊จะทำเพื่อ
ประชาชนจริง ๆ เพราะไม่มีรัฐบาลใหน ที่กล้าประกาศว่า ไม่เอาพวกเดียวกันคือราชการ
หากทำไม่ดี...หลังจากได้ยินคำนี้กันทุกคน ..พวกข้าราชการตัวใหญ่ ๆ ข้าราชการเช้าชามเย็นชาม
ก็ออกมาเป่าหูลูกน้องข้าราชการ ในทันที เห็นไหมทักษิณ มันจะไม่ให้มีระบบราชการ มันจะทำเป็นแบบเอกชนหมด
แล้วศักดิ์ศรีของพวกเราอยู่ใหน มัน(ทักษิณ) มันเป็นแค่นักการเมืองเข้ามากี่ปี แล้วเรารับราชการ
รับใช้เบื้องบนมากี่ปี ...จีงเป็นที่มาของ"เราเป็นข้าราชการของพระเจ้าอยู่หัว"ไม่ใช่ทาสนักการเมือง
เริ่มเห็นวิวัฒนาการ คำพูดวาทะกรรม ของข้าราชการที่ไม่ชอบทักษิณ และโจมตีทักษิณ
ออกไปในแนวทาง ที่หึงหวงอำนาจ เจ้ายศเจ้าอย่าง มองไม่เห็นหัวประชาชน
พักหลัง ๆ ผมกลับบ้านได้เห็นความชัดเจนเกิดขี้นที่บ้านผม ความเจริญรุ่งเรือง
ไฟฟ้า ประปา ไม่มีลักเล็กขโมยน้อย ไม่มียาเสพติด เห็นพ่อแม่อยู่ดีมีสุข
คนในหมู่บ้านมีความสุข พอถึงหน้าเทศกาลก็มีการกินเลี้ยงสังสรรค์กัน
เป็นที่สนุกสนานร่าเรือง อืมตั้งแต่นั้นมาผมก็เริ่มกลับมาเป็นนิสัยเด็กบ้านนอก
นิสัยเหมือนบ้านนอกคอกนา ที่เป็นกำพืดของผมเอง.......
กลับกรุงเทพฯ ไปทำงานพอมีเพื่อนใส่ร้ายโจมตีทักษิณ เท็จบ้าง จริงบ้างผมก็จะเฉย ๆ
ไม่เออออห่อหมกตามเหมือนเมื่อก่อน จนที่ทำงานผมสงสัยว่า
มันคงไปซึมซับเอาความโง่จากทางบ้านมาล่ะมั้ง ผมโกธร แต่ก็เฉยและควบคุมสติอารมย์อยู่
ผมอาจจะตาสว่างช้าไปหน่อย ช้าไปกว่า พ่อแม่ผมที่ไม่มีความรู้เท่าผม
แต่ก็ดีใจที่ตัวเองได้หลุดพ้นออกจากวังวน
แห่งอคติ ริษยา อาฆาตร้ายนั้นได้ และทุกวันนี้เพื่อน ๆ ที่ทำงานผมก็มีแต่อาการหนัก ๆ ทั้งนั้
คนพวกนี้ เมื่อก่อน บางคนขาดงานเพื่อไปขับไล่รัฐบาล บางคนชักชวน บอกให้เพื่อนหยุดงาน
ตามที่ทิดเมือกสั่งมาตอนนั้น หลายคนตอนนี้พูดไม่ออก เหมือนอาการจุกอก หรืออาการจะยอมรับ
ความพ่ายแพ้ หรือสู้ความจริงไม่ได้ หน่วยงานที่ผมสังกัดอยู่ เมื่อก่อนมีข้าราชการที่เป็นคนใต้
ประมาณ 60 % ที่เหลือจากนั้นน่าจะเป็นภาคต่าง ๆ รวมกัน แต่ ณ ปัจจุบันหน่วยงานนี้ แทบจะเรียกว่า
ทั้งคนใต้คนอิสาน มีมากมายไม่แพ้กันเลย.......
---- เมื่อก่อน ผมเกลียดที่สุดคือ"ทักษิณ" --------
ที่กรุงเทพฯ มีเพื่อนที่ทำงานส่วนใหญ่เป็นคนใต้ (กระทรวงอะไรเดาดูครับ)
คนใต้กับคนกรุงส่วนใหญ่ ไม่ชอบทักกี๊ เกลียดทักกี๊ บ้างก็บอกว่า
ทักกี๊ จะเปลี่ยนระบบราชการเป็นเอกชน อีกหน่อยก็จะสถาปนาตัวเองเป็น ประธานาธิบดี
ประเทศนี้จะเป็นของทักกี้หมด ก็ได้แต่หรา ๆ หลายคนหลายเสียงเข้า จิตใจก็เป็นไปในแนว
ความเชื่อเริ่มเกิดขึ้นในสมอง เออมันน่าจะจริงเหมือนเขาว่าว่ะ เพราะพอร์ทแต่ละอย่าง
ที่คนพวกนี้เอามากระจายช่างเหมือนและไกล้เคียงกับสิ่งที่ทักกี้ทำในขณะนั้นเรย........
แต่พอกลับมาที่บ้าน( 2-3 ปีผมถึงจะกลับมาครั้งหนึ่ง ) ก็เห็นถนนหนทางที่เมื่อก่อน
ตอนผมไปโรงเรียนเป็นหินแดง เป็นถนนดินอยู่ บัดนี้ได้เทคอนกรีต บ้างก็ราดยางมะตอยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แม้กระทั่งทางเดินที่นำ วัวควาย ออกไปนา ยังเทคอนกรีต ก็เลยถามพ่อกับแม่ว่า
บ้านเราเป็นแบบนี้มานานแล้วหรือ (ผมถามแม่) เขาก็ตอบว่า ไปมุดอยู่รูใหนมา
บ้านช่องก็ไม่กลับ ไม่รู้หรือว่า บ้านเมืองเขาพัฒนาไปถึงใหนแร่ว
เลยบอกพ่อกับแม่ไปว่า เขาพัฒนาแค่นี้ แล้วที่เขาโกงกินไปล่ะเท่าไหร่..(เถียงเพื่อจะเอาชนะ).
พ่อก็เลยด่าเข้าให้ เป็นเด็กบ้านนอกแท้ ๆ พอเข้าไปรับราชการที่กรุงเทพหน่อย
นิสัยไปเป็นคนกรุงเรยหรือ ใส่ร้ายขี้อิจฉา พ่อกับแม่ไม่ชอบนะ เงินที่เวลาโทรกลับมาขอ
(ผมเงินเดือนบางเดือนก็ไม่พอใช้) บางทีพ่อกับแม่ไม่มีก็ต้องไปยืมเงินล้าน(กองทุนหมู่บ้าน)
ส่งให้ ยืมเงินกองทุนไปซื้อปุ๋ย ซื้อยาฆ่าแมลงใส่นาข้าว อีก..
คือตอนนั้นก็ได้แต่ ครับ ๆ ทั้งอาย และพอกลับ กทม มานั่งคิดไตร่ตรอง ทักษิณมีอะไรดีวะ
ทำไมชาวบ้านถึงรักถึงหลงได้ .....
... พอได้ยินคำพูดที่บอกว่า "ข้าราชคุณคือขี้ข้าประชาชน"
รับเงินเดือนหรือเงินได้จากภาษีประชาชน ทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดีได้ไหม ..
ถ้าทำไม่ได้ผมมีงานใหม่ให้คุณทำ...นั่นเป็นคำพูดที่ผมมองว่า ทักกี๊จะทำเพื่อ
ประชาชนจริง ๆ เพราะไม่มีรัฐบาลใหน ที่กล้าประกาศว่า ไม่เอาพวกเดียวกันคือราชการ
หากทำไม่ดี...หลังจากได้ยินคำนี้กันทุกคน ..พวกข้าราชการตัวใหญ่ ๆ ข้าราชการเช้าชามเย็นชาม
ก็ออกมาเป่าหูลูกน้องข้าราชการ ในทันที เห็นไหมทักษิณ มันจะไม่ให้มีระบบราชการ มันจะทำเป็นแบบเอกชนหมด
แล้วศักดิ์ศรีของพวกเราอยู่ใหน มัน(ทักษิณ) มันเป็นแค่นักการเมืองเข้ามากี่ปี แล้วเรารับราชการ
รับใช้เบื้องบนมากี่ปี ...จีงเป็นที่มาของ"เราเป็นข้าราชการของพระเจ้าอยู่หัว"ไม่ใช่ทาสนักการเมือง
เริ่มเห็นวิวัฒนาการ คำพูดวาทะกรรม ของข้าราชการที่ไม่ชอบทักษิณ และโจมตีทักษิณ
ออกไปในแนวทาง ที่หึงหวงอำนาจ เจ้ายศเจ้าอย่าง มองไม่เห็นหัวประชาชน
พักหลัง ๆ ผมกลับบ้านได้เห็นความชัดเจนเกิดขี้นที่บ้านผม ความเจริญรุ่งเรือง
ไฟฟ้า ประปา ไม่มีลักเล็กขโมยน้อย ไม่มียาเสพติด เห็นพ่อแม่อยู่ดีมีสุข
คนในหมู่บ้านมีความสุข พอถึงหน้าเทศกาลก็มีการกินเลี้ยงสังสรรค์กัน
เป็นที่สนุกสนานร่าเรือง อืมตั้งแต่นั้นมาผมก็เริ่มกลับมาเป็นนิสัยเด็กบ้านนอก
นิสัยเหมือนบ้านนอกคอกนา ที่เป็นกำพืดของผมเอง.......
กลับกรุงเทพฯ ไปทำงานพอมีเพื่อนใส่ร้ายโจมตีทักษิณ เท็จบ้าง จริงบ้างผมก็จะเฉย ๆ
ไม่เออออห่อหมกตามเหมือนเมื่อก่อน จนที่ทำงานผมสงสัยว่า
มันคงไปซึมซับเอาความโง่จากทางบ้านมาล่ะมั้ง ผมโกธร แต่ก็เฉยและควบคุมสติอารมย์อยู่
ผมอาจจะตาสว่างช้าไปหน่อย ช้าไปกว่า พ่อแม่ผมที่ไม่มีความรู้เท่าผม
แต่ก็ดีใจที่ตัวเองได้หลุดพ้นออกจากวังวน
แห่งอคติ ริษยา อาฆาตร้ายนั้นได้ และทุกวันนี้เพื่อน ๆ ที่ทำงานผมก็มีแต่อาการหนัก ๆ ทั้งนั้
คนพวกนี้ เมื่อก่อน บางคนขาดงานเพื่อไปขับไล่รัฐบาล บางคนชักชวน บอกให้เพื่อนหยุดงาน
ตามที่ทิดเมือกสั่งมาตอนนั้น หลายคนตอนนี้พูดไม่ออก เหมือนอาการจุกอก หรืออาการจะยอมรับ
ความพ่ายแพ้ หรือสู้ความจริงไม่ได้ หน่วยงานที่ผมสังกัดอยู่ เมื่อก่อนมีข้าราชการที่เป็นคนใต้
ประมาณ 60 % ที่เหลือจากนั้นน่าจะเป็นภาคต่าง ๆ รวมกัน แต่ ณ ปัจจุบันหน่วยงานนี้ แทบจะเรียกว่า
ทั้งคนใต้คนอิสาน มีมากมายไม่แพ้กันเลย.......