ซื้อหมูปิ่ง 3 ไม้ ข้าวเหนียว 2 ถุง รวมเป็นเงิน 40 บาท ลูกค้าให้แบ้งค์ 1000 บาท ( คุณคิดอย่างไร )

ผมและแฟนผม  ขายข้าวเหนียวหมูปิ้ง และข้าวจี่   เช้าวันหนึ่ง เวลาประมาณ 7.00 น. ( ผมจะตั้งร้านเสร็จประมาณ 6.40 น. ) ตามปรกติก็จะมีลูกค้าประจำมาซื้อ ข้าวจี่ 4 ชิ้น , หมู 2-4 ไม้  และข้าวเหนียว 2 ถุง  ถ้ารวมเป็นเงินก็ประมาณ 50-60 บาท  ลูกค้าก็จะจ่ายเต็มจำนวนเงิน หรือให้แบ้งค์ 100 บาท แต่มีอยู่คนหนึ่ง( สาวออฟฟิต ) เดินมาเลือก หมูปิ้ง 3 ไม้ ข้าวเหนียว 2 ถุง  แล้วถามผมว่า รวมกี่บาท ผมก็ตอบไปว่า  รวมเป็นเงิน 40 บาท  แล้วสาวออฟฟิตก็หยิบแบ้งค์ 1000 บาท   ให้ผม ซึ่งผมเองก็ได้มองและยิ้มให้แฟนผม ว่าเงินทอนไหม แฟนผมตอบว่า พึ่งตั้งร้านยังไม่มีเงินทอน  ผมก็ได้บอกกับสาวออฟฟิตว่า ให้ไปซื้อของที่ 7-ELEVEN ตรงปากซอย ( ห่างจากร้านขายหมูปิ้งผมประมาณ 20-30 เมตร )  แล้วถึงเอาแบ้งค์ย่อยมาจ่ายให้  ( ผมแขวนหมูปิ้ง 3 ไม้ ข้าวเหนียว 2 ถุง  ว่างอยู่ที่ร้านผม เพื่อรอให้สาวออฟฟิตกลับมาเอา )  เมื่อสาวออฟฟิตเดินไปจากร้านขายหมูปิ้งของผมแล้ว  หลังจากนั้น 10 นาที ผมคงคิดว่าเขาจะกลับมาซื้อหมูปิ้ง ข้าวเหนียวที่ได้สั้งไว้ พร้อมแบ้งค์ย่อย  หลังจากผ่านไป 1 ชั่วโมง ก็ไม่มีวี่แววว่าสาวออฟฟิตคนนั้นจะกลับมา....ที่ร้านขายหมูปิ้งผมเลย  ( ที่ผมตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาก็อยากทราบความคิดเห็นของเพื่อนๆ  ในแง่ของตัวผม  หรือในแง่ของสาวออฟฟิต )
แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 3
เราก็แม่ค้าค่ะ ใช้แนวคิดแบบ7-11 คือ ใครมาแบงค์อะไรเราขายหมด เตรียมเผื่อไว้เลย เพราเป็นหน้าที่ ที่ต้องเตรียมให้พร้อม รู้ทั้งรู้ว่าเค้าแลกแบงค์เราก็ยอม เพราะเขามาอุดหนุนสินค้าเรา เราถือเคล็ดด้วยว่า ถ้าเจอแบงค์ใหญ่เราจะขายดี
ความคิดเห็นที่ 16
โอ้โห  เจอแต่แม่ค้าพ่อค้ารวยๆ  มีเงินไว้ทอนลูกค้า

ขอพูดในฐานะพ่อค้าแม่ค้าปกติ(สมัยก่อนเคยขายขนมเบื้อง)  ส่วนใหญ่เขาหาเช้ากินค่ำ จะเตรียมเงินไว้ทอนซัก 3-500 ก็อาจเต็มกำลังแล้ว  เงินทุนในกระเป๋ามันต่างกันอย่าไปเทียบกับ เซเว่น หรือห้างสรรพสินค้า

สมัยวัยรุ่น(20ปีก่อน) เคยขายขนมเบื้องอันละบาท  มีคนซื้อ 10 บาท จ่ายแบ้ง 500  เราไม่มีก็วิ่งไปขอแลกร้านค้าใกล้ๆ มีบ้างไม่มีบ้าง
บางวันมาหลายคนเลย  แบ้ง 500 แบ้งพัน  ซื้อของหลักสิบ เคยเจอมา 3 คนใน 1 วัน วิ่งไปหาแลกหลายร้านมาก เหนื่อยสุด

คือจะให้เตรียมเงินทอนเป็นพัน  ทั้งที่รายได้คนขายของต่อวันแค่หลักร้อย  บางแผงขายได้ปกติวันละ 4 - 700 เนี่ยนะ
ถ้าเขามีก็ทอนให้แหละ  แต่ฝั่งลูกค้าก็ควรคิดบ้าง เห็นใจเขาบ้าง เตรียมเงินให้ใกล้เคียงกับของที่จะซื้อ  สะดวกรวดเร็วกับทุกฝ่ายอีกต่างหาก
ความคิดเห็นที่ 15
เรามองในฐานะคนซื้อเราว่าน่าเกลียด
ปกติถ้าไม่มีจริงๆ ซื้อของหลักสิบ แต่มีแบ๊งค์ใหญ่
เราจะถามแม่ค้าก่อนว่ามีทอนไหม
ถ้าแม่ค้าบอกมี ถึงจะสั่ง

แต่ปกติเราจะพยายามให้มีแบ๊งค์ย่อย เวลากดเงินจะกดให้มีเศษ
เช่น 900 / 1900 / 2900

แบ๊งค์ใหญ่เอาไว้แตกเวลาไปซื้องของในห้าง หรือ 7-11 หลักร้อยอัพ
ถ้าพวกยิบย่อยเราเห็นใจแม่ค้าอ่ะ
ความคิดเห็นที่ 98
อ่านผ่านๆ เทคนิคการขายของแต่ละท่านที่บอกว่าผู้ขายควรจะเตรียมเงินไว้ทอนก็ดีครับ

แต่ในส่วนของลูกค้า ซึ่งผมอยากออกความเห็นมากกว่า เพราะผมอยู่ฝั่งลูกค้ามากกว่า ไม่เคยเป็นผู้ขายรายย่อยแบบนี้

จำได้ว่าตอนไปญี่ปุ่นครั้งแรก ไปกับคนญี่ปุ่น เขาสอนวิธีการใช้ธนบัตรแต่ละใบ บอกว่าควรใครใบไหนที่ไหนบ้าง ไม่ควรใช้ที่ไหนบ้าง บอกเลยครับว่าเขาซีเรียสมาก

มาอเมริกาครั้งแรก ก็จำได้ว่าธนบัตรใหญ่ๆอย่างใบละ $100 ไม่ควรเอาไปจ่ายร้านขายของชำหรือร้านค้าทั่วๆไป

สรุปว่ามันคือมารยาทในการใช้เงิน

ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้เมืองไทยมีสอนกันบ้างไหม?

ถ้าไม่มี ผมมองว่าก็ควรสอนนะครับ

สังคมคือที่ที่คนมาอยู่ร่วมกัน สังคมที่รู้จักให้รู้จักรับ รู้จักการเข้าอกเข้าใจกันเป็นสังคมที่น่าอยู่กว่า ไม่ใช่ที่จะคิดแต่ว่าผู้ขายจะต้องบริการหรือคนอื่นจะต้องทำให้อย่างที่ใจเราต้องการครับ
ความคิดเห็นที่ 187
พ่อค้าไม่ผิดหรอกที่ไม่มีเงินทอน และไม่จำเป็นต้องแลกแบงค์ย่อยไว้ทอนเยอะๆหรอก(แต่ต้องยอมรับอาจจะเสียโอกาสในการขายของกรณีแบบนี้อีกซึ่งนั่นต้องยอมรับให้ได้) เราถือว่าการตกลงซื้อขายเป็นอันสิ้นสุดตั้งแต่ที่พ่อค้าไม่มีเงินทอนค่ะ  พ่อค้าก็ไม่ได้ขายของ ลูกค้าก็ไม่ได้กินหมูปิ้ง แฟร์ๆ ไม่มีใครผิดใครถูก ไม่ใช่ว่าการซื้อขายยังอยู่โดยที่ลูกค้าต้องดิ้นรนเพื่อจะมาจ่ายหมูปิ้งให้ได้ คือจะผลักภาระไปที่ลูกค้าที่จะต้องไปแตกเงินมาซื้อหมูปิ้งของคุณให้ได้อันนี้ไม่ใช่ค่ะ การซื้อขายมันจบตั้งแต่คุณไม่มีตังค์ทอนแล้ว ส่วนคุณจะคว้าโอกาสที่สองโดยการไปหามาแลกให้ หรือไปแตกเงินที่ 7 เองก็ได้ จะทำก็ได้ไม่ทำก็ได้ ไม่ผิดเลย  

แต่ผิดมากที่บอกให้ลูกค้าไปซื้อของเซเว่นก่อนแล้วค่อยมาจ่ายอันนี้คือ ไม่โอเคมากๆ ไม่น่าประทับใจกับการบริการเลย คราวหลังอย่าทำอีกกับลูกค้าคนอื่น เพราะอาจจะทำให้คุณเสียลูกค้าไปเลย ไม่มาอุดหนุนอีก เพราะเหมือนกับว่าคุณไม่อยากขายของ และเหมือนกับว่าลูกค้าต้องง้อร้านคุณ

คุณแค่ปฏิเสธลูกค้าไปก็พอว่าไม่มีตังค์ทอนเพิ่งเปิดร้านอะไรก็ว่าไป ส่วนลูกค้าจะตัดสินใจยังไง ปล่อยให้เป็นของลูกค้าเองเถอะ บางคนอาจจะบอกว่าเดี๋ยวไปซื้อของเซเว่นแล้วเดินเอามาให้นะคะ (กรณีอยากกินมากๆ) หรือปฏิเสธว่างั้นไม่เอาแล้วค่ะ (กรณีขี้เกียจเดินย้อนไปมา)   แค่นั้น ไม่ต้องชี้นำว่าให้ลูกค้าไปซื้อของเซเว่นก่อนค่อยมาจ่าย บางทีเราไม่ได้อยากซื้อของในเซเว่นอะ ทำไมต้องเสียเงินเพิ่ม ยิ่งกรณีนี้นะคะ เราอยากใช้เงินแค่40 บาทเพื่อที่จะกินหมูปิ้ง ทำไมต้องเสียเงินเพิ่มมากกว่านั้น(ไปซื้อของเซเว่น)เพื่อจะมาซื้อหมูปิ้งของคุณ(แถมเหนื่อยเดินย้อนไปมา) แล้วอีกอย่างนะที่ลูกค้าไม่บอกว่าไม่เอาแล้ว คงเพราะลูกค้าเจอพ่อค้าไล่ให้ไปซื้อของในเซเว่นก่อน มันก็คงอารมณ์เกิดความไม่พอใจแล้วแล้วก็คงขึ้นบัญชีหนังหมาแล้วว่า จะไม่มาซื้ออีกแล้วร้านนี้แบบนี้อ่าค่ะ เลยเดินจากไปเลย ไปครันจะบอกว่าไม่เอาแล้วพ่อค้าแม่ค้าบางคนก็ชักสีหน้าใส่ไรงี้ จากไปแบบนี้ดีกว่า

พ่อค้าชอบย้ำตอบใน คห ย่อย ว่าเซเว่นมันใกล้แค่ 20-30 เมตรเอง หรือบอกว่าคราวหลังให้เตรียมแบงค์ย่อยมาซื้อ มันแสดงให้เห็นแอตติจูดของพ่อค้านะคะ ว่าทำไมลูกค้าไม่ย้อนกลับมาซื้อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่