มนตร์รักสี่เล่มเกวียน
(เรื่องสั้นชุด : มนตร์รัก)
1 ต.ค. 2599
“คุณสองคนเข้าใจภารกิจแล้วใช่ไหม ประตูมิตินี่จะพาพวกคุณย้อนกลับไปในอดีต โอกาสมีแค่ครั้งเดียว ถ้าหากพลาดเราไม่มีงบประมาณเหลือพอ จะสร้างมันขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ความหวังของมนุษยชาติถูกฝากไว้กับคุณทั้งสองคน” ชายสูงวัยสวมเสื้อกาวน์ยืนขวางทางเข้าอุโมงค์เหล็กขนาดใหญ่ เบื้องหน้าสองหนุ่มสาวในชุดชาวบ้านสมัยเมื่อร้อยปีก่อน
“พวกเราจะไม่ทำพลาดครับ” ชายหนุ่มรับคำ
“ถ้าพร้อมแล้ว...ก็ขอให้พวกคุณทั้งสองโชคดี” เมื่อพูดจบชายชราก็หลีกทางให้ทั้งสองเดินเข้าไปที่ทางเข้า ทันใดนั้นแสงสว่างก็จ้าขึ้นจากภายในอุโมงค์จนแสบตา ก่อนที่ร่างของสองหนุ่มสาวจะอันตรธานหายไปเมื่อแสงนั้นดับวูบลง...
1 ต.ค. 2499
“ที่นาเอ็งมีแค่หนึ่งไร่ ที่เท่าแมวดิ้นตาย เอ็งจะหาเงินสองพันที่ไหนมาแต่งลูกสาวข้ารึ...ไอ้สุข” ผู้ใหญ่เสือฟาดฝ่ามือลงหน้าขาเสียงดังฉาดใหญ่ด้วยความโมโห ทำให้ลูกบ้านสองกลุ่มบนเรือน ซึ่งนั่งแบ่งฝ่ายกันอยู่ถึงกับสะดุ้งเฮือกพร้อมกัน สีหน้าชายหนุ่มผู้ถูกตำหนิเปลี่ยนเป็นซีดเผือดลงทันใด ก่อนที่มันจะก้มหน้างุดหลบแววตาฉาบโทสะของหัวหน้าหมู่บ้านวัยห้าสิบ ผู้ไว้หนวดเขี้ยวเสือเพิ่มความน่าเกรงขามให้กับใบหน้าดุนั้นอย่างจงใจ
“ฉันจะปลูกข้าวจ่ะ...พ่อผู้ใหญ่” ไอ้สุขกลืนน้ำลายหนึ่งอึก ก่อนจะกลั้นใจเงยหน้าตอบผู้ใหญ่เสือ ซึ่งนั่งพิงหมอนอิง ด้วยอาการไม่สบอารมณ์บนเตียงไม้เบื้องหน้ามัน โดยมีลำดวนหญิงที่หมายปองของผู้พูด นวดขาคลายเมื่อยให้ พลางแอบส่งสายตาเห็นใจให้ชายคนรักอยู่เป็นระยะ
“ปุกข้าว!...ลื้อจาปุกข้าวบงที่หนึ่งไล่ ฝงเลียวห้ายล่ายสี่เกวียน อั๊ยย๋า...ลื้อนิมังซี้ซั้วอาสุก” เสียงหัวเราะเย้ยหยันของพรรคพวกเถ้าแก่เจือ ดังลั่นเรือนไทยหลังใหญ่แบบสามจั่วของผู้ใหญ่หน้าโหด เมื่อเจ้านายของพวกมันพูดจบ
“เอ็งจน...เอ็งก็หัดเจียมตัวเสียบ้างเถิด ที่เพียงหยิบมือเอ็งจะเลี้ยงลำดวนไม่ให้อดตายได้กระไร อย่าให้พ่อผู้ใหญ่ต้องมาลำบากใจเพราะความจนของเอ็งเลย ถ้าไม่มีเอ็งป่านนี้ข้าก็ได้แต่งกับลำดวนไปตั้งแต่นานนมแล้ว” ไอ้เจิดลูกชายเถ้าแก่เจือ ผู้หมายปองลำดวนเช่นกันตะโกนเสริมผู้เป็นพ่อ
“ข้าไม่เคยกีดกันความรักของเอ็งกับนังลำดวนเลยแม้แต่น้อย แต่หัวอกคนเป็นพ่ออย่างข้า จะไม่มีวันยอมให้ลูกสาวไปอดตายกับเอ็งดอกนะ...ไอ้สุข แต่เห็นแก่นังลำดวนที่มีใจให้เอ็งดอก ข้าจะให้โอกาสเอ็งพิสูจน์ตัวเอง ถ้าเอ็งปลูกข้าวได้สี่เกวียนบนที่ดินแค่หยิบมือของเอ็งได้ ข้าก็จะยกลูกสาวให้ แต่หากเอ็งทำไม่ได้ดังลั่นวาจา ข้าจะยกนังลำดวนให้แต่งกับไอ้เจิด เอ็งมีอันใดขัดข้องรึไม่” เมื่อผู้ใหญ่เสือพูดจบเสียงอื้ออึงก็ดังขึ้น
“ฉันไม่มีสิ่ง...” ไอ้สุขยังไม่ทันจะได้ตอบจบประโยค ไอ้เจิดก็พูดแทรกขึ้น “พ่อผู้ใหญ่อย่าไปโง่เสียเวลากับคนอย่างมันเลย ที่ดินแค่เดินเหยี่ยวหนึ่งรอบสุดเพียงนั้น มีแต่เทวดาเท่านั้นล่ะ จะปลูกข้าวได้สี่เกวียน” เสียงหัวเราะจากฝั่งเถ้าแก่เจือดังขึ้นอีกครั้ง เมื่อไอ้เจิดพูดจบ
“นี่เอ็งหาว่าข้าโง่รึวะไอ้เจิด!” หัวหน้าหมู่บ้านตวาดเสียงดัง ทำเอาทุกชีวิตที่นั่งอยู่ถึงกับสะดุ้งโหยง “ที่ข้าจะยกลูกสาวให้เอ็ง ไม่ใช่เพราะเห็นเอ็งดีกว่าไอ้สุขมันดอกนะ แต่ข้าเป็นห่วงลูกสาว ไม่อยากให้มันลำบาก ข้าเห็นว่าเอ็งมีใจให้นังลำดวนมันมานานไม่เป็นอื่นดอก ถึงอยากจะฝากเอ็งดูแล แต่ไอ้สุขมันก็เป็นคนดี ถ้าข้าไม่ให้โอกาสมัน ชาวบ้านจะติฉินนินทาว่าเห็นแก่เงิน เอ็งเข้าใจรึไม่...ไอ้เจิด”
“ฉันเข้าใจแล้วจ่ะ” ไอ้เจิดยกมือไหว้พลางหลบใบหน้าเข้าไปซ่อนหลังพรรคพวกด้วยท่าทีเกรงกลัว
“ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามนี้ ยามหน้าเกี่ยวทุกคนบนเรือนข้า ต้องไปเป็นสักขีพยานให้ไอ้สุขในที่นามัน ถ้าไม่มีผู้ใดขัดข้องก็แยกย้ายกันกลับบ้านกลับช่องทำมาหากินกันไป” สิ้นเสียงผู้ใหญ่บ้าน ทุกคนก็แยกย้ายกันออกจากเรือนหลังใหญ่นั้นไปอย่างเป็นระเบียบ
...
“พี่สุขจ๊ะ...พี่ทำได้จริงรึ...” ลำดวนเลื่อนฝ่ามือน้อยไล้ใบหน้าคมเข้มของชายคนรัก ที่ถูกจ้องมองด้วยสายตาเป็นห่วงของหญิงสาว เมื่อทั้งสองได้ปลีกตัวออกมาอยู่กันตามลำพังที่เถียงนา ซึ่งถูกรายล้อมด้วยตอข้าวบนผืนดินแห้งๆ ที่กำลังรอคอยฝนเดือนหกปีหน้า
“ลำดวนไม่ต้องเป็นห่วงดอกจ่ะ พี่จะทำให้ได้ พี่มีวิธี” รอยยิ้มบนใบหน้าคมคายนั้นยังไม่เพียงพอ จะทำให้ความกังวลในดวงตาของหญิงคนรักจางหายไป
“พี่จะทำเช่นใดรึ” ความเป็นห่วงยังแฝงเอาในทุกประโยค ที่หญิงสาวผมยาวสลวยเอื้อนเอ่ย
“ปีนี้พี่จะทำนาให้ได้สามเกี่ยว ลำดวนอย่าห่วงเลย” พูดจบไอ้สุขก็โอบคนรักเข้ามากอดแนบอกเปลือยเปล่าของมัน พลางลูบผมดำขลับนั้นอย่างแผ่วเบา
“พี่จะบ้ารึ! มีผู้ใดกันทำนาได้สามเกี่ยวในฝนเดียว” ลำดวนผละออกจากอกคนรักฉายแววตาตกใจประสานดวงตาอบอุ่นที่มองตอบ
“พี่สุขๆ พวกฉันตัดไผ่ป่ามาให้แล้วจ่ะ!” ไอ้อิดรุ่นน้องผู้นับถือไอ้สุขเหมือนพี่ชายแท้ๆ วิ่งตะโกนมาจากกลางทุ่งนา
“เอ็งเลือกแต่ลำใหญ่มารึไม่” ไอ้สุขลงจากแคร่เดินเข้ามาถามผู้มาเยือน ที่ก้มหน้าเอามือยันเข่าลากลมหายใจยาวด้วยความเหน็ดเหนื่อย
“จ่ะพี่ ฉันตัดตามที่พี่สั่งทุกอย่างเลยจ่ะ”
“พี่สุขให้อิดมันตัดไผ่มาทำสิ่งไร” ลำดวนเดินตามคนรักออกมาจากเถียงนาพร้อมคำถาม
...
“พี่เจิดๆ ฉันมีข่าวด่วนมาบอก!” ไอ้เฉื่อยวิ่งหน้าตาตื่นมาขวางหน้าเจ้านาย ซึ่งกำลังเดินเก็บค่าเช่าที่นาชาวบ้านที่กลางหมู่บ้าน
“ข่าวอะไรของเอ็งวะ...ไอ้เฉื่อย” ไอ้เจิดมองหน้าลูกน้องด้วยความไม่สบอารมณ์ “รีบพูดมาให้ไว ไม่อย่างนั้น ข้าจะดีดปลายคางด้วยหลังตีนนี่” หนุ่มหน้ากวนผิวพรรณดีชี้นิ้วลงไปที่อวัยวะส่วนล่าง เป็นนัยให้รู้ว่าตอนนี้อารมณ์ไม่ดี
“ไอ้...ไอ้...ไอ้สุขมันตัดไผ่ป่ามาสร้างอันใดไม่รู้ ฉันไม่เคยพบเคยเห็น แต่สูงใหญ่ท่วมเรือนเลยจ้า” ไอ้เฉื่อยเล่าด้วยน้ำเสียงกระหืดกระหอบ
“ไผ่ป่า...งั้นรึวะ” ...
...
“ล้อเกวียนสูงท่วมเรือนเพียงนี้ พี่สุขจะใช้มันทำอันใดรึ” ไอ้อิดถามขึ้นในขณะที่ช่วยเพื่อนอีกสองคนเข็นสิ่งประดิษฐ์ขนาดใหญ่ ซึ่งทำจากไม้ไผ่ทั้งชุดลงไปในแม่น้ำ
“คนถิ่นอื่นเรียกมันว่ากังหันวิดน้ำ ข้าจะใช้มันวิดน้ำจากแม่น้ำ ส่งไปตามรางไม้ไผ่จนถึงที่นา เท่านี้ข้าก็จะมีฝนเป็นสิบฝน ให้ปลูกข้าวได้สามเกี่ยว ดังลั่นคำมั่นกับผู้ใหญ่เสือเอาไว้” ไอ้สุขแบกมัดลำไม้ไผ่ผ่าครึ่งตามยาวเดินตามมาพร้อมกับลำดวน
“พี่สุขเคยเห็นกังหันวิดน้ำมาจากที่ใดรึ” หญิงสาวเอ่ยถามคนรักด้วยความสงสัย เมื่อทั้งคู่เดินมาถึงขอบฝั่งแม่น้ำสายใหญ่ ที่ไหลยาวมาจากภูเขาผ่านหลังหมู่บ้าน
“พี่ตะเวนเล่นพิณกับพ่อแม่มาหลายสิบคุ้งน้ำ ได้พบเห็นหลายสิ่งหลายอย่างในถิ่นอื่น พี่ก็ครูพักลักจำเอามา หมายจะเอากลับมาทำมาหากินที่บ้านเกิด พี่มันจนเงินนักลำดวน แต่พี่จะไม่ยอมจนปัญญาทำให้เอ็งต้องลำบาก พี่จะปลูกข้าวไปขอเอ็งให้ได้ เอ็งรอพี่สักหน่อยเถิด” เมื่อวางมัดไม้ไผ่ลงกับพื้นชายหนุ่มก็โอบคนรักมากอดไว้แนบอก
“บ้า!...พี่สุขอย่ามารุ่มร่ามสิ...น้องนุ่งมองอยู่ไม่อายรึ” แก้มนวลของหญิงสาวแดงก่ำ พร้อมกับค้อนเจ้าของอ้อมกอด เมื่อตกเป็นเป้าสายตาของบรรดารุ่นน้องที่อมยิ้มกันอยู่ในแม่น้ำ
...
“พวกเอ็งทำสิ่งไรกันรึ” เมื่อไอ้สุขกับพรรคพวกที่กำลังง่วนอยู่กับการติดตั้งกังหันวิดน้ำขนาดใหญ่ หันหลังตามที่มาของเสียง ก็พบกับไอ้เจิดย่นหน้าผากเผยอปากอยู่ด้านหน้าลูกน้องอีกห้าคน
“พวกข้าทำสิ่งไรก็ไม่เกี่ยวกับพวกเอ็ง...ไอ้เจิด” ไอ้อิดลอยตัวจากแม่น้ำตะกายขึ้นฝั่งมาตอบ ก่อนที่ไอ้สุขและคนอื่นอีกสองคนจะตามขึ้นมา
“ทำไมจะไม่เกี่ยววะ ก็แม่น้ำสายนี้ใช้กันทั้งหมู่บ้าน พวกเอ็งเอาอันใดมาใส่แม่น้ำ เอ็งขออนุญาตผู้ใดกัน” ไอ้เฉื่อยเสนอหน้าขึ้นตอบเอาใจลูกพี่ ที่ยังยืนเผยอปากทำหน้ากวนอยู่ที่เดิม ก่อนเสียง “ใช่” ของคนอื่นๆ จะดังตามมาพร้อมกัน
“พวกข้าขออนุญาตผู้ใหญ่เสือตามกฎหมู่บ้านแล้ว พวกเอ็งข้องใจอันใดรึ” ไอ้สุขตอบคำถามโดยมีลำดวนเกาะแขนหลบอยู่ด้านหลัง
“มันว่ามันขอผู้ใหญ่เสือแล้วพี่ ทำเช่นไรดี” ไอ้เฉื่อยป้องปากกระซิบลูกพี่ ก่อนจะโดนฝ่าเท้าของไอ้เจิดแนบลงบนอก แล้วยันกระเด็นหงายเก๋งออกไป “เออ!...ข้าไม่ได้หูหนวก”
“งั้นรึวะ งั้นข้าก็ไม่มีธุระกับเอ็ง ข้ามาพาลำดวนกลับบ้าน” หนุ่มหน้ากวนใช้มือเสยผมทรง มิตร ชัยบัญชา ก่อนจะจับคอเสื้อลายดอก เดินเข้ามาแอ่นอกเผยอปากมองหน้าไอ้สุขใกล้ๆ ในขณะที่คู่สนทนาใช้ท่อนแขนกันรุ่นน้อง ที่จะเข้ามาเอาเรื่องกับไอ้เจิดไว้
“ฉันไม่ใช่คู่รักของพี่ เหตุใดต้องกลับกับพี่กันเล่า” ลำดวนปฏิเสธทันที ก่อนจะหลบหน้าหวานเข้าไปซุกที่หลังไอ้สุข
“ทำไมจะไม่ใช่ล่ะจ๊ะลำดวน ก็ลำดวนต้องแต่งงานกับพี่นี่จ๊ะ” ไอ้เจิดเอื้อมมือจะจับท่อนแขนเรียวของสาวที่หมายปอง แต่ถูกมือใหญ่ของไอ้สุขปัดออกไป “ลำดวนเป็นคนรักของข้า ข้าจะพากลับเอง”
“อย่างนั้นรึวะ” หนุ่มผมมันเงาใช้นิ้วหัวมือลูบริมฝีปากล่างหันไปมองลูกน้อง ก่อนจะกลับตัวใช้ฝ่าเท้ายันเข้ากลางอกไอ้สุขกระเด็นล้มทั้งยืน
“เอาเว้ย! กระทืบมันให้ครบทุกตัว อย่าให้มันรอดไปได้แม้แต่ตัวเดียว” สองฝ่ายเข้าตะลุมบอนกันชุลมุน โดยมีลำดวนร้องห้ามเสียงหลงอยู่ด้านหลัง
“ถ้าจะมีเรื่องกัน ทำไมไม่ใช้คนเท่ากันล่ะ” สิ้นเสียงปริศนา แข้งขวาของชายแปลกหน้าก็ฝ่าอากาศเข้ากระแทกสีข้างไอ้เฉื่อย กระเด็นออกจากตัวไอ้อิดที่นอนหงายบนพื้น ก่อนที่ชายคนเดิมจะบรรเลงศิลปะการต่อสู้เข้าใส่ไอ้เจิด และพวกพ้องล้มหงายระเนนระนาดไปทีละคนสองคน
“ฝากไว้ก่อนเถอะวะ” ไอ้เจิดชี้นิ้วตะโกนลั่น ก่อนจะวิ่งหายไปพร้อมสมุน
“ขอบใจเอ็งสองคนมากที่มาช่วยพวกข้า เอ็งสองคนเป็นผู้ใดกันรึ ข้าไม่คุ้นหน้าคุ้นตาพวกเอ็งเลย” ไอ้สุขพิจารณาสองหนุ่มสาวผิวพรรณผุดผ่อง ที่ยืนอยู่เบื้องหน้า
“ฉันชื่อจักรจ่ะ ส่วนเมียฉันชื่อมะลิ พวกฉันมากับขบวนส่งสินค้าไปเมืองหลวง แต่โดนโจรปล้นกลางทาง เลยระเห็จหนีเอาชีวิตรอดมาทางนี้ มาเจอพวกพี่พอดี ก็เลยเข้ามาช่วยจ่ะ” ชายแปลกหน้าตอบผู้ถามด้วยท่าทีนอบน้อม
“แล้วกำลังจะไปไหนกันจ๊ะ” ลำดวนถามขึ้นมา เพราะคิดว่าผู้มาเยือนคงกำลังลำบากทั้งการเดินทางและที่พัก
“พวกฉันว่าจะไปขออาศัยอยู่วัดสักพักจ่ะ พอมีขบวนสินค้าผ่านมาก็จะขอติดเข้าเมืองไปด้วยจ่ะ” หญิงสาวตอบลำดวนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ถ้ามาแต่ผู้ชายไปขออาศัยวัดก็คงไม่มีปัญหากระไร แต่มีผู้หญิงมาด้วย ฉันว่าไม่ควรนัก” ลำดวนเอ่ยทัดทาน
...
“เอ็งมาอยู่กับข้าจวนจะขวบปีแล้ว ช่วยข้าทำนาจนครบสามเกี่ยว นวดข้าวเสร็จข้าก็จะไปขอลำดวนเสียที ข้าขอบใจเอ็งมากไอ้จักร ตัวข้าเองไม่ใช่คนมีอันใด สมบัติติดตัวก็มีเพียงพิณคันเดียวนี่แหละ ข้ายกให้เอ็งก็แล้วกัน เอาไปขายก็คงได้หลายเงินอยู่ดอก ข้าอยากให้เอ็งรับไว้” ไอ้สุขยื่นพิณไม้ประดู่แกะสลักลายไทยอย่างวิจิตรให้กับรุ่นน้อง ในขณะที่ทั้งสองนั่งอยู่บนแคร่ไม้ไผ่บนเถียงนา มองดูพวกพ้องช่วยกันนวดข้าวอย่างสนุกสนานอยู่เบื้องหน้า
“ฉันรับเอาไว้ไม่ได้ดอกจ่ะพี่สุข ฉันไม่ได้ช่วยพี่ ฉันช่วยทุกคนที่ฉันรักจ่ะ” เมื่อเห็นรุ่นน้องบ่ายเบี่ยง ไอ้สุขก็จับพิณยัดใส่มือแล้วใช้นิ้วชี้หน้า เป็นการปรามเพื่อไม่ให้ปฏิเสธ ไอ้จักรจึงไม่อาจจะทัดทานใดๆ ได้อีก
(มีต่อครับ)
The All Write Project 3 : มนตร์รัก : มนตร์รักสี่เล่มเกวียน
1 ต.ค. 2599
“คุณสองคนเข้าใจภารกิจแล้วใช่ไหม ประตูมิตินี่จะพาพวกคุณย้อนกลับไปในอดีต โอกาสมีแค่ครั้งเดียว ถ้าหากพลาดเราไม่มีงบประมาณเหลือพอ จะสร้างมันขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ความหวังของมนุษยชาติถูกฝากไว้กับคุณทั้งสองคน” ชายสูงวัยสวมเสื้อกาวน์ยืนขวางทางเข้าอุโมงค์เหล็กขนาดใหญ่ เบื้องหน้าสองหนุ่มสาวในชุดชาวบ้านสมัยเมื่อร้อยปีก่อน
“พวกเราจะไม่ทำพลาดครับ” ชายหนุ่มรับคำ
“ถ้าพร้อมแล้ว...ก็ขอให้พวกคุณทั้งสองโชคดี” เมื่อพูดจบชายชราก็หลีกทางให้ทั้งสองเดินเข้าไปที่ทางเข้า ทันใดนั้นแสงสว่างก็จ้าขึ้นจากภายในอุโมงค์จนแสบตา ก่อนที่ร่างของสองหนุ่มสาวจะอันตรธานหายไปเมื่อแสงนั้นดับวูบลง...
1 ต.ค. 2499
“ที่นาเอ็งมีแค่หนึ่งไร่ ที่เท่าแมวดิ้นตาย เอ็งจะหาเงินสองพันที่ไหนมาแต่งลูกสาวข้ารึ...ไอ้สุข” ผู้ใหญ่เสือฟาดฝ่ามือลงหน้าขาเสียงดังฉาดใหญ่ด้วยความโมโห ทำให้ลูกบ้านสองกลุ่มบนเรือน ซึ่งนั่งแบ่งฝ่ายกันอยู่ถึงกับสะดุ้งเฮือกพร้อมกัน สีหน้าชายหนุ่มผู้ถูกตำหนิเปลี่ยนเป็นซีดเผือดลงทันใด ก่อนที่มันจะก้มหน้างุดหลบแววตาฉาบโทสะของหัวหน้าหมู่บ้านวัยห้าสิบ ผู้ไว้หนวดเขี้ยวเสือเพิ่มความน่าเกรงขามให้กับใบหน้าดุนั้นอย่างจงใจ
“ฉันจะปลูกข้าวจ่ะ...พ่อผู้ใหญ่” ไอ้สุขกลืนน้ำลายหนึ่งอึก ก่อนจะกลั้นใจเงยหน้าตอบผู้ใหญ่เสือ ซึ่งนั่งพิงหมอนอิง ด้วยอาการไม่สบอารมณ์บนเตียงไม้เบื้องหน้ามัน โดยมีลำดวนหญิงที่หมายปองของผู้พูด นวดขาคลายเมื่อยให้ พลางแอบส่งสายตาเห็นใจให้ชายคนรักอยู่เป็นระยะ
“ปุกข้าว!...ลื้อจาปุกข้าวบงที่หนึ่งไล่ ฝงเลียวห้ายล่ายสี่เกวียน อั๊ยย๋า...ลื้อนิมังซี้ซั้วอาสุก” เสียงหัวเราะเย้ยหยันของพรรคพวกเถ้าแก่เจือ ดังลั่นเรือนไทยหลังใหญ่แบบสามจั่วของผู้ใหญ่หน้าโหด เมื่อเจ้านายของพวกมันพูดจบ
“เอ็งจน...เอ็งก็หัดเจียมตัวเสียบ้างเถิด ที่เพียงหยิบมือเอ็งจะเลี้ยงลำดวนไม่ให้อดตายได้กระไร อย่าให้พ่อผู้ใหญ่ต้องมาลำบากใจเพราะความจนของเอ็งเลย ถ้าไม่มีเอ็งป่านนี้ข้าก็ได้แต่งกับลำดวนไปตั้งแต่นานนมแล้ว” ไอ้เจิดลูกชายเถ้าแก่เจือ ผู้หมายปองลำดวนเช่นกันตะโกนเสริมผู้เป็นพ่อ
“ข้าไม่เคยกีดกันความรักของเอ็งกับนังลำดวนเลยแม้แต่น้อย แต่หัวอกคนเป็นพ่ออย่างข้า จะไม่มีวันยอมให้ลูกสาวไปอดตายกับเอ็งดอกนะ...ไอ้สุข แต่เห็นแก่นังลำดวนที่มีใจให้เอ็งดอก ข้าจะให้โอกาสเอ็งพิสูจน์ตัวเอง ถ้าเอ็งปลูกข้าวได้สี่เกวียนบนที่ดินแค่หยิบมือของเอ็งได้ ข้าก็จะยกลูกสาวให้ แต่หากเอ็งทำไม่ได้ดังลั่นวาจา ข้าจะยกนังลำดวนให้แต่งกับไอ้เจิด เอ็งมีอันใดขัดข้องรึไม่” เมื่อผู้ใหญ่เสือพูดจบเสียงอื้ออึงก็ดังขึ้น
“ฉันไม่มีสิ่ง...” ไอ้สุขยังไม่ทันจะได้ตอบจบประโยค ไอ้เจิดก็พูดแทรกขึ้น “พ่อผู้ใหญ่อย่าไปโง่เสียเวลากับคนอย่างมันเลย ที่ดินแค่เดินเหยี่ยวหนึ่งรอบสุดเพียงนั้น มีแต่เทวดาเท่านั้นล่ะ จะปลูกข้าวได้สี่เกวียน” เสียงหัวเราะจากฝั่งเถ้าแก่เจือดังขึ้นอีกครั้ง เมื่อไอ้เจิดพูดจบ
“นี่เอ็งหาว่าข้าโง่รึวะไอ้เจิด!” หัวหน้าหมู่บ้านตวาดเสียงดัง ทำเอาทุกชีวิตที่นั่งอยู่ถึงกับสะดุ้งโหยง “ที่ข้าจะยกลูกสาวให้เอ็ง ไม่ใช่เพราะเห็นเอ็งดีกว่าไอ้สุขมันดอกนะ แต่ข้าเป็นห่วงลูกสาว ไม่อยากให้มันลำบาก ข้าเห็นว่าเอ็งมีใจให้นังลำดวนมันมานานไม่เป็นอื่นดอก ถึงอยากจะฝากเอ็งดูแล แต่ไอ้สุขมันก็เป็นคนดี ถ้าข้าไม่ให้โอกาสมัน ชาวบ้านจะติฉินนินทาว่าเห็นแก่เงิน เอ็งเข้าใจรึไม่...ไอ้เจิด”
“ฉันเข้าใจแล้วจ่ะ” ไอ้เจิดยกมือไหว้พลางหลบใบหน้าเข้าไปซ่อนหลังพรรคพวกด้วยท่าทีเกรงกลัว
“ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามนี้ ยามหน้าเกี่ยวทุกคนบนเรือนข้า ต้องไปเป็นสักขีพยานให้ไอ้สุขในที่นามัน ถ้าไม่มีผู้ใดขัดข้องก็แยกย้ายกันกลับบ้านกลับช่องทำมาหากินกันไป” สิ้นเสียงผู้ใหญ่บ้าน ทุกคนก็แยกย้ายกันออกจากเรือนหลังใหญ่นั้นไปอย่างเป็นระเบียบ
...
“พี่สุขจ๊ะ...พี่ทำได้จริงรึ...” ลำดวนเลื่อนฝ่ามือน้อยไล้ใบหน้าคมเข้มของชายคนรัก ที่ถูกจ้องมองด้วยสายตาเป็นห่วงของหญิงสาว เมื่อทั้งสองได้ปลีกตัวออกมาอยู่กันตามลำพังที่เถียงนา ซึ่งถูกรายล้อมด้วยตอข้าวบนผืนดินแห้งๆ ที่กำลังรอคอยฝนเดือนหกปีหน้า
“ลำดวนไม่ต้องเป็นห่วงดอกจ่ะ พี่จะทำให้ได้ พี่มีวิธี” รอยยิ้มบนใบหน้าคมคายนั้นยังไม่เพียงพอ จะทำให้ความกังวลในดวงตาของหญิงคนรักจางหายไป
“พี่จะทำเช่นใดรึ” ความเป็นห่วงยังแฝงเอาในทุกประโยค ที่หญิงสาวผมยาวสลวยเอื้อนเอ่ย
“ปีนี้พี่จะทำนาให้ได้สามเกี่ยว ลำดวนอย่าห่วงเลย” พูดจบไอ้สุขก็โอบคนรักเข้ามากอดแนบอกเปลือยเปล่าของมัน พลางลูบผมดำขลับนั้นอย่างแผ่วเบา
“พี่จะบ้ารึ! มีผู้ใดกันทำนาได้สามเกี่ยวในฝนเดียว” ลำดวนผละออกจากอกคนรักฉายแววตาตกใจประสานดวงตาอบอุ่นที่มองตอบ
“พี่สุขๆ พวกฉันตัดไผ่ป่ามาให้แล้วจ่ะ!” ไอ้อิดรุ่นน้องผู้นับถือไอ้สุขเหมือนพี่ชายแท้ๆ วิ่งตะโกนมาจากกลางทุ่งนา
“เอ็งเลือกแต่ลำใหญ่มารึไม่” ไอ้สุขลงจากแคร่เดินเข้ามาถามผู้มาเยือน ที่ก้มหน้าเอามือยันเข่าลากลมหายใจยาวด้วยความเหน็ดเหนื่อย
“จ่ะพี่ ฉันตัดตามที่พี่สั่งทุกอย่างเลยจ่ะ”
“พี่สุขให้อิดมันตัดไผ่มาทำสิ่งไร” ลำดวนเดินตามคนรักออกมาจากเถียงนาพร้อมคำถาม
...
“พี่เจิดๆ ฉันมีข่าวด่วนมาบอก!” ไอ้เฉื่อยวิ่งหน้าตาตื่นมาขวางหน้าเจ้านาย ซึ่งกำลังเดินเก็บค่าเช่าที่นาชาวบ้านที่กลางหมู่บ้าน
“ข่าวอะไรของเอ็งวะ...ไอ้เฉื่อย” ไอ้เจิดมองหน้าลูกน้องด้วยความไม่สบอารมณ์ “รีบพูดมาให้ไว ไม่อย่างนั้น ข้าจะดีดปลายคางด้วยหลังตีนนี่” หนุ่มหน้ากวนผิวพรรณดีชี้นิ้วลงไปที่อวัยวะส่วนล่าง เป็นนัยให้รู้ว่าตอนนี้อารมณ์ไม่ดี
“ไอ้...ไอ้...ไอ้สุขมันตัดไผ่ป่ามาสร้างอันใดไม่รู้ ฉันไม่เคยพบเคยเห็น แต่สูงใหญ่ท่วมเรือนเลยจ้า” ไอ้เฉื่อยเล่าด้วยน้ำเสียงกระหืดกระหอบ
“ไผ่ป่า...งั้นรึวะ” ...
...
“ล้อเกวียนสูงท่วมเรือนเพียงนี้ พี่สุขจะใช้มันทำอันใดรึ” ไอ้อิดถามขึ้นในขณะที่ช่วยเพื่อนอีกสองคนเข็นสิ่งประดิษฐ์ขนาดใหญ่ ซึ่งทำจากไม้ไผ่ทั้งชุดลงไปในแม่น้ำ
“คนถิ่นอื่นเรียกมันว่ากังหันวิดน้ำ ข้าจะใช้มันวิดน้ำจากแม่น้ำ ส่งไปตามรางไม้ไผ่จนถึงที่นา เท่านี้ข้าก็จะมีฝนเป็นสิบฝน ให้ปลูกข้าวได้สามเกี่ยว ดังลั่นคำมั่นกับผู้ใหญ่เสือเอาไว้” ไอ้สุขแบกมัดลำไม้ไผ่ผ่าครึ่งตามยาวเดินตามมาพร้อมกับลำดวน
“พี่สุขเคยเห็นกังหันวิดน้ำมาจากที่ใดรึ” หญิงสาวเอ่ยถามคนรักด้วยความสงสัย เมื่อทั้งคู่เดินมาถึงขอบฝั่งแม่น้ำสายใหญ่ ที่ไหลยาวมาจากภูเขาผ่านหลังหมู่บ้าน
“พี่ตะเวนเล่นพิณกับพ่อแม่มาหลายสิบคุ้งน้ำ ได้พบเห็นหลายสิ่งหลายอย่างในถิ่นอื่น พี่ก็ครูพักลักจำเอามา หมายจะเอากลับมาทำมาหากินที่บ้านเกิด พี่มันจนเงินนักลำดวน แต่พี่จะไม่ยอมจนปัญญาทำให้เอ็งต้องลำบาก พี่จะปลูกข้าวไปขอเอ็งให้ได้ เอ็งรอพี่สักหน่อยเถิด” เมื่อวางมัดไม้ไผ่ลงกับพื้นชายหนุ่มก็โอบคนรักมากอดไว้แนบอก
“บ้า!...พี่สุขอย่ามารุ่มร่ามสิ...น้องนุ่งมองอยู่ไม่อายรึ” แก้มนวลของหญิงสาวแดงก่ำ พร้อมกับค้อนเจ้าของอ้อมกอด เมื่อตกเป็นเป้าสายตาของบรรดารุ่นน้องที่อมยิ้มกันอยู่ในแม่น้ำ
...
“พวกเอ็งทำสิ่งไรกันรึ” เมื่อไอ้สุขกับพรรคพวกที่กำลังง่วนอยู่กับการติดตั้งกังหันวิดน้ำขนาดใหญ่ หันหลังตามที่มาของเสียง ก็พบกับไอ้เจิดย่นหน้าผากเผยอปากอยู่ด้านหน้าลูกน้องอีกห้าคน
“พวกข้าทำสิ่งไรก็ไม่เกี่ยวกับพวกเอ็ง...ไอ้เจิด” ไอ้อิดลอยตัวจากแม่น้ำตะกายขึ้นฝั่งมาตอบ ก่อนที่ไอ้สุขและคนอื่นอีกสองคนจะตามขึ้นมา
“ทำไมจะไม่เกี่ยววะ ก็แม่น้ำสายนี้ใช้กันทั้งหมู่บ้าน พวกเอ็งเอาอันใดมาใส่แม่น้ำ เอ็งขออนุญาตผู้ใดกัน” ไอ้เฉื่อยเสนอหน้าขึ้นตอบเอาใจลูกพี่ ที่ยังยืนเผยอปากทำหน้ากวนอยู่ที่เดิม ก่อนเสียง “ใช่” ของคนอื่นๆ จะดังตามมาพร้อมกัน
“พวกข้าขออนุญาตผู้ใหญ่เสือตามกฎหมู่บ้านแล้ว พวกเอ็งข้องใจอันใดรึ” ไอ้สุขตอบคำถามโดยมีลำดวนเกาะแขนหลบอยู่ด้านหลัง
“มันว่ามันขอผู้ใหญ่เสือแล้วพี่ ทำเช่นไรดี” ไอ้เฉื่อยป้องปากกระซิบลูกพี่ ก่อนจะโดนฝ่าเท้าของไอ้เจิดแนบลงบนอก แล้วยันกระเด็นหงายเก๋งออกไป “เออ!...ข้าไม่ได้หูหนวก”
“งั้นรึวะ งั้นข้าก็ไม่มีธุระกับเอ็ง ข้ามาพาลำดวนกลับบ้าน” หนุ่มหน้ากวนใช้มือเสยผมทรง มิตร ชัยบัญชา ก่อนจะจับคอเสื้อลายดอก เดินเข้ามาแอ่นอกเผยอปากมองหน้าไอ้สุขใกล้ๆ ในขณะที่คู่สนทนาใช้ท่อนแขนกันรุ่นน้อง ที่จะเข้ามาเอาเรื่องกับไอ้เจิดไว้
“ฉันไม่ใช่คู่รักของพี่ เหตุใดต้องกลับกับพี่กันเล่า” ลำดวนปฏิเสธทันที ก่อนจะหลบหน้าหวานเข้าไปซุกที่หลังไอ้สุข
“ทำไมจะไม่ใช่ล่ะจ๊ะลำดวน ก็ลำดวนต้องแต่งงานกับพี่นี่จ๊ะ” ไอ้เจิดเอื้อมมือจะจับท่อนแขนเรียวของสาวที่หมายปอง แต่ถูกมือใหญ่ของไอ้สุขปัดออกไป “ลำดวนเป็นคนรักของข้า ข้าจะพากลับเอง”
“อย่างนั้นรึวะ” หนุ่มผมมันเงาใช้นิ้วหัวมือลูบริมฝีปากล่างหันไปมองลูกน้อง ก่อนจะกลับตัวใช้ฝ่าเท้ายันเข้ากลางอกไอ้สุขกระเด็นล้มทั้งยืน
“เอาเว้ย! กระทืบมันให้ครบทุกตัว อย่าให้มันรอดไปได้แม้แต่ตัวเดียว” สองฝ่ายเข้าตะลุมบอนกันชุลมุน โดยมีลำดวนร้องห้ามเสียงหลงอยู่ด้านหลัง
“ถ้าจะมีเรื่องกัน ทำไมไม่ใช้คนเท่ากันล่ะ” สิ้นเสียงปริศนา แข้งขวาของชายแปลกหน้าก็ฝ่าอากาศเข้ากระแทกสีข้างไอ้เฉื่อย กระเด็นออกจากตัวไอ้อิดที่นอนหงายบนพื้น ก่อนที่ชายคนเดิมจะบรรเลงศิลปะการต่อสู้เข้าใส่ไอ้เจิด และพวกพ้องล้มหงายระเนนระนาดไปทีละคนสองคน
“ฝากไว้ก่อนเถอะวะ” ไอ้เจิดชี้นิ้วตะโกนลั่น ก่อนจะวิ่งหายไปพร้อมสมุน
“ขอบใจเอ็งสองคนมากที่มาช่วยพวกข้า เอ็งสองคนเป็นผู้ใดกันรึ ข้าไม่คุ้นหน้าคุ้นตาพวกเอ็งเลย” ไอ้สุขพิจารณาสองหนุ่มสาวผิวพรรณผุดผ่อง ที่ยืนอยู่เบื้องหน้า
“ฉันชื่อจักรจ่ะ ส่วนเมียฉันชื่อมะลิ พวกฉันมากับขบวนส่งสินค้าไปเมืองหลวง แต่โดนโจรปล้นกลางทาง เลยระเห็จหนีเอาชีวิตรอดมาทางนี้ มาเจอพวกพี่พอดี ก็เลยเข้ามาช่วยจ่ะ” ชายแปลกหน้าตอบผู้ถามด้วยท่าทีนอบน้อม
“แล้วกำลังจะไปไหนกันจ๊ะ” ลำดวนถามขึ้นมา เพราะคิดว่าผู้มาเยือนคงกำลังลำบากทั้งการเดินทางและที่พัก
“พวกฉันว่าจะไปขออาศัยอยู่วัดสักพักจ่ะ พอมีขบวนสินค้าผ่านมาก็จะขอติดเข้าเมืองไปด้วยจ่ะ” หญิงสาวตอบลำดวนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ถ้ามาแต่ผู้ชายไปขออาศัยวัดก็คงไม่มีปัญหากระไร แต่มีผู้หญิงมาด้วย ฉันว่าไม่ควรนัก” ลำดวนเอ่ยทัดทาน
...
“เอ็งมาอยู่กับข้าจวนจะขวบปีแล้ว ช่วยข้าทำนาจนครบสามเกี่ยว นวดข้าวเสร็จข้าก็จะไปขอลำดวนเสียที ข้าขอบใจเอ็งมากไอ้จักร ตัวข้าเองไม่ใช่คนมีอันใด สมบัติติดตัวก็มีเพียงพิณคันเดียวนี่แหละ ข้ายกให้เอ็งก็แล้วกัน เอาไปขายก็คงได้หลายเงินอยู่ดอก ข้าอยากให้เอ็งรับไว้” ไอ้สุขยื่นพิณไม้ประดู่แกะสลักลายไทยอย่างวิจิตรให้กับรุ่นน้อง ในขณะที่ทั้งสองนั่งอยู่บนแคร่ไม้ไผ่บนเถียงนา มองดูพวกพ้องช่วยกันนวดข้าวอย่างสนุกสนานอยู่เบื้องหน้า
“ฉันรับเอาไว้ไม่ได้ดอกจ่ะพี่สุข ฉันไม่ได้ช่วยพี่ ฉันช่วยทุกคนที่ฉันรักจ่ะ” เมื่อเห็นรุ่นน้องบ่ายเบี่ยง ไอ้สุขก็จับพิณยัดใส่มือแล้วใช้นิ้วชี้หน้า เป็นการปรามเพื่อไม่ให้ปฏิเสธ ไอ้จักรจึงไม่อาจจะทัดทานใดๆ ได้อีก