-- เรื่องมันเริ่มจาก ไม่ได้ขับรถคันนี้มานานมาก จนเมื่อไม่นานมานี้ได้มาขับอีกครั้ง ก็บ่นๆว่า รถเบรคแล้วไหล ไม่ค่อยจะอยู่ ซึ่งก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่า มันเป็นเพราะผมไปชินกับเบรค CR-V หรือป่าว ? แต่ผมก็ว่า ตอนใหม่ๆ มันดีกว่านี้นะ ... ว่าแล้วก็ยุเจ้าของรถ ให้อัพเกรดเบรคสักหน่อย เพราะรถก็วิ่งมา 6 - 7 หมื่นกม.ละ
-- แน่นอนครับ ผมแฟนพันธุ์แท้ Dixcel อยู่แล้วล่ะ ... รอบนี้ขอเบาะๆ แค่ผ้าเบรคก่อนละกัน โทร.เช็คคนขาย ดันมีของด้วยสิ เป็น Dixcel Type ES (Extra Speed) ครับ จัดมาในราคา 5,XXX บาท
ว่าแล้วมาดูสเปคกันหน่อยดีกว่า
Type X
เป็นตัวที่ใช้ใน CR-V ครับ เกรดนี้เป็นเกรดสำหรับ SUV จุดเด่น ถ้าตามกราฟก็คือ
1. ทนร้อนได้ 700 องศาเซลเซียส
2. Initial bite สูง
3. ค่าความฝืด สูง
Type ES
เป็นตัวที่จะใส่ใน Mazda 2 คันนี้ครับ จุดเด่น ก็
1. ทนร้อนได้ 600 องศาเซลเซียส
2. ค่าความฝืดสูงกว่าของติดรถ
-- ว่าแล้วก็แปลกดี ดูจากกราฟ ES น่าจะเป็นเกรดบ้านๆ ใช้แทนของติดรถ แต่กลับจัดอยู่ในหมวด Street/Circuit ในขณะที่เจ้า X กราฟสูงปรี๊ด ดันอยู่แค่หมวด Street
-- โม้เยอะ ... มาดูการใช้งานจริงดีกว่า ขอเทียบกับของเดิมติดรถ และ Type X ใน CR-V นะครับ (ผ้าเบรคของ Mazda 2 พ้นรันอิน แล้วนะครับ)
หลังใส่เสร็จ
Type X ... โหยยย ดูดปรี๊ดดดด ขับแล้วมั่นใจ (ตอนนั้น เปลี่ยนจานหน้า เป็น Type SD ด้วย) จับไวมาก แต่พอพ้นรันอิน ความไวก็เริ่มลดลง อยู่ในระดับพอดีๆค่อนไปทางไว
Type ES … เอิ่มมม เปลี่ยนแล้วเหรอ นี่ตรูเสียเงิน 5 พันแล้วเบรคได้แค่นี้เหรอ ? เหมือนเดิมเลยเหรอ ? อันนี้ คือ ที่เพื่อนโทร.มาถาม ด้วยคำถามนี้ ตลอดจนตัวเองที่เจอมา
คำอธิบาย
-- ด้วยความสงสัย เพราะ X มันชัดเจน แตกต่าง แต่ทำไม ES ไม่ต่าง ก็เลยไปถามคนขาย คำอธิบายสั้นๆก็คือ ดูกราฟครับ X มันมีค่า Initial bite สูงมาก ตรงนี้ ทำให้มันจับไว้ตั้งแต่ใส่ แถมด้วยผมยังเปลี่ยนจาน Type SD ที่มีค่าความฝืดสูงกว่าเดิมเข้าไปอีก ดังนั้น ยังไงก็ต่างครับ
อืมมม OK ครับ
หลังพ้นรันอิน
Type X … ด้วย CR-V เป็นดิสค์ 4 ล้อ ดังนั้น การทำงานจึงว่องไวกว่าเป็นทุนอยู่แล้ว เสริมด้วยจานของมันเองอีก ฉะนั้น หายห่วงครับ เป็นเบรคที่จับไว แต่หัวไม่ทิ่ม จับไว แบบดูดลงทั้งคัน แค่วางเท้าบนแป้น ก็รู้สึกว่า มันจับละ พอเพิ่มน้ำหนักทีนี้ก็มาแบบทวีคูณของน้ำหนักเท้าเลยครับ ฟิลลิ่งมานุ่มๆ หยุ่นๆ น่าสัมผัส
-- แต่เฉียบคม ฉับพลัน เมื่อมีเหตุฉุกเฉินครับ มาเร็วแค่ไหน ถ้าอยากหยุด ขอแค่กดเบรคให้ทัน ให้แรงพอ รับรองมันเอาอยู่ครับ
Type ES … เหมือนแฝดคนละฝา เพราะหลังเป็นดรัม ระยะคันเหยียบยาว ระยะฟรีเยอะ ช่วงแรก ไม่รู้สึกถึงการจับตัว จนพอเริ่มจับตัว แรงดึงก็จะเริ่มมา ตามน้ำหนักเท้าแบบเป๊ะๆ อาการดูดทวีคูณแบบ Type X จะน้อยกว่าเยอะครับ แป้นแข็งกว่าสักหน่อย แต่ตรงไปตรงมาดีเยี่ยม กดไม่แรง ก็ค่อยๆจับ แต่มาเร็ว กดหนักๆ มันก็ดึงแรงใช้ได้ ระยะเบรคสั้นลงกว่าเดิมชัดเจน อาการหน้าทิ่มน้อยกว่าที่คาด
-- ที่ความเร็วสูง ระดับ 100 – 120 กม./ช.ม. การเบรคกระทันหัน อย่างรุนแรง ใช้ได้ครับ ไม่ไหลแบบเบรคติดรถครับ มาตามน้ำหนักเท้าเลยล่ะ
-- งานนี้เจ้าของรถถูกใจกันไป มีบ่นอย่างเดียวคือ ล้อดำเร็ว ... แต่สำหรับผม ผมว่า มันดำน้อยกว่า X ของผมเยอะนะ รายนั้นมาเต็ม แต่ก็นั่นแหละ เรื่องล้อดำ ไม่สนใจละ ขออย่างเดียว เบรคให้อยู่แล้วกันครับ
-- สำหรับผม ถ้าจะให้ติ มีเรื่องเดียวคือ มันไม่ดูด มันไม่นุ่ม แบบ X (หรือต้องเปลี่ยนจานด้วยหว่า) รวมถึง เมื่อเทียบกับผ้าเบรคยี่ห้อดังในตลาดครับ แต่มันก็แลกมาด้วยความตรงไปตรงมาครับ ซึ่งผ้าเบรคบางตัว ความเร็วต่ำ ถึง ปานกลาง จะดูดดีมาก ขับแล้วมั่นใจสูง แต่มาเร็วจัด กดเบรคด้วยน้ำหนัก ที่คาดว่า มันจะอยู่ มันดันไม่อยู่ ดันไหล น่ะครับ
สรุปส่งท้าย
คำถามที่เจอประจำ หลังเปลี่ยนก็คือ
“จะบ้าเหรอ ผ้าเบรคคู่เดียว 5 พัน”
“จะขับเร็วสักเท่าไหร่เชียว ถึงต้องใช้ผ้าเบรคระดับนี้”
คำตอบ มันก็เหมือนกับตอนที่ใส่ CR-V แหละ ของพวกนี้ สำหรับผม มันไม่แพงเลย ถ้าเทียบกับว่า มันช่วยให้เรารอดจากอุบัติเหตุได้ แม้แค่ครั้งเดียว ก็คุ้มเกินค่าตัวมันแล้วล่ะ
-- ทุกวันนี้ ผมขับ CR-V อย่างมั่นใจ แซงรถยาวๆ ด้วยความเร็วระดับ 140 กม./ช.ม. แล้วดันมีรถโผล่จากซอยข้างหน้า แล้วสวนขึ้นมา ต้องหักหลบเข้าระหว่างรถ 2 คัน ในระยะแค่ไม่กี่เมตร และต้องเบรคให้ชิดคันหน้าที่สุด เพราะต้องเผื่อระยะเบรคให้รถบรรทุกคันหลัง ... เบรคที่ใส่มาเอาอยู่ครับ ชนิดที่ คนไม่เคยนั่งรถคันนี้ กรี๊ดลั่นรถมาแล้ว นึกว่า ชน แต่คนชินรถอย่างผม ชิวๆ ครับ
[CR] * * * จัดผ้าเบรค Dixcel Type ES ให้ Mazda 2 นิดนึง * * *
-- แน่นอนครับ ผมแฟนพันธุ์แท้ Dixcel อยู่แล้วล่ะ ... รอบนี้ขอเบาะๆ แค่ผ้าเบรคก่อนละกัน โทร.เช็คคนขาย ดันมีของด้วยสิ เป็น Dixcel Type ES (Extra Speed) ครับ จัดมาในราคา 5,XXX บาท
ว่าแล้วมาดูสเปคกันหน่อยดีกว่า
Type X
เป็นตัวที่ใช้ใน CR-V ครับ เกรดนี้เป็นเกรดสำหรับ SUV จุดเด่น ถ้าตามกราฟก็คือ
1. ทนร้อนได้ 700 องศาเซลเซียส
2. Initial bite สูง
3. ค่าความฝืด สูง
Type ES
เป็นตัวที่จะใส่ใน Mazda 2 คันนี้ครับ จุดเด่น ก็
1. ทนร้อนได้ 600 องศาเซลเซียส
2. ค่าความฝืดสูงกว่าของติดรถ
-- ว่าแล้วก็แปลกดี ดูจากกราฟ ES น่าจะเป็นเกรดบ้านๆ ใช้แทนของติดรถ แต่กลับจัดอยู่ในหมวด Street/Circuit ในขณะที่เจ้า X กราฟสูงปรี๊ด ดันอยู่แค่หมวด Street
-- โม้เยอะ ... มาดูการใช้งานจริงดีกว่า ขอเทียบกับของเดิมติดรถ และ Type X ใน CR-V นะครับ (ผ้าเบรคของ Mazda 2 พ้นรันอิน แล้วนะครับ)
หลังใส่เสร็จ
Type X ... โหยยย ดูดปรี๊ดดดด ขับแล้วมั่นใจ (ตอนนั้น เปลี่ยนจานหน้า เป็น Type SD ด้วย) จับไวมาก แต่พอพ้นรันอิน ความไวก็เริ่มลดลง อยู่ในระดับพอดีๆค่อนไปทางไว
Type ES … เอิ่มมม เปลี่ยนแล้วเหรอ นี่ตรูเสียเงิน 5 พันแล้วเบรคได้แค่นี้เหรอ ? เหมือนเดิมเลยเหรอ ? อันนี้ คือ ที่เพื่อนโทร.มาถาม ด้วยคำถามนี้ ตลอดจนตัวเองที่เจอมา
คำอธิบาย
-- ด้วยความสงสัย เพราะ X มันชัดเจน แตกต่าง แต่ทำไม ES ไม่ต่าง ก็เลยไปถามคนขาย คำอธิบายสั้นๆก็คือ ดูกราฟครับ X มันมีค่า Initial bite สูงมาก ตรงนี้ ทำให้มันจับไว้ตั้งแต่ใส่ แถมด้วยผมยังเปลี่ยนจาน Type SD ที่มีค่าความฝืดสูงกว่าเดิมเข้าไปอีก ดังนั้น ยังไงก็ต่างครับ
อืมมม OK ครับ
หลังพ้นรันอิน
Type X … ด้วย CR-V เป็นดิสค์ 4 ล้อ ดังนั้น การทำงานจึงว่องไวกว่าเป็นทุนอยู่แล้ว เสริมด้วยจานของมันเองอีก ฉะนั้น หายห่วงครับ เป็นเบรคที่จับไว แต่หัวไม่ทิ่ม จับไว แบบดูดลงทั้งคัน แค่วางเท้าบนแป้น ก็รู้สึกว่า มันจับละ พอเพิ่มน้ำหนักทีนี้ก็มาแบบทวีคูณของน้ำหนักเท้าเลยครับ ฟิลลิ่งมานุ่มๆ หยุ่นๆ น่าสัมผัส
-- แต่เฉียบคม ฉับพลัน เมื่อมีเหตุฉุกเฉินครับ มาเร็วแค่ไหน ถ้าอยากหยุด ขอแค่กดเบรคให้ทัน ให้แรงพอ รับรองมันเอาอยู่ครับ
Type ES … เหมือนแฝดคนละฝา เพราะหลังเป็นดรัม ระยะคันเหยียบยาว ระยะฟรีเยอะ ช่วงแรก ไม่รู้สึกถึงการจับตัว จนพอเริ่มจับตัว แรงดึงก็จะเริ่มมา ตามน้ำหนักเท้าแบบเป๊ะๆ อาการดูดทวีคูณแบบ Type X จะน้อยกว่าเยอะครับ แป้นแข็งกว่าสักหน่อย แต่ตรงไปตรงมาดีเยี่ยม กดไม่แรง ก็ค่อยๆจับ แต่มาเร็ว กดหนักๆ มันก็ดึงแรงใช้ได้ ระยะเบรคสั้นลงกว่าเดิมชัดเจน อาการหน้าทิ่มน้อยกว่าที่คาด
-- ที่ความเร็วสูง ระดับ 100 – 120 กม./ช.ม. การเบรคกระทันหัน อย่างรุนแรง ใช้ได้ครับ ไม่ไหลแบบเบรคติดรถครับ มาตามน้ำหนักเท้าเลยล่ะ
-- งานนี้เจ้าของรถถูกใจกันไป มีบ่นอย่างเดียวคือ ล้อดำเร็ว ... แต่สำหรับผม ผมว่า มันดำน้อยกว่า X ของผมเยอะนะ รายนั้นมาเต็ม แต่ก็นั่นแหละ เรื่องล้อดำ ไม่สนใจละ ขออย่างเดียว เบรคให้อยู่แล้วกันครับ
-- สำหรับผม ถ้าจะให้ติ มีเรื่องเดียวคือ มันไม่ดูด มันไม่นุ่ม แบบ X (หรือต้องเปลี่ยนจานด้วยหว่า) รวมถึง เมื่อเทียบกับผ้าเบรคยี่ห้อดังในตลาดครับ แต่มันก็แลกมาด้วยความตรงไปตรงมาครับ ซึ่งผ้าเบรคบางตัว ความเร็วต่ำ ถึง ปานกลาง จะดูดดีมาก ขับแล้วมั่นใจสูง แต่มาเร็วจัด กดเบรคด้วยน้ำหนัก ที่คาดว่า มันจะอยู่ มันดันไม่อยู่ ดันไหล น่ะครับ
สรุปส่งท้าย
คำถามที่เจอประจำ หลังเปลี่ยนก็คือ
“จะบ้าเหรอ ผ้าเบรคคู่เดียว 5 พัน”
“จะขับเร็วสักเท่าไหร่เชียว ถึงต้องใช้ผ้าเบรคระดับนี้”
คำตอบ มันก็เหมือนกับตอนที่ใส่ CR-V แหละ ของพวกนี้ สำหรับผม มันไม่แพงเลย ถ้าเทียบกับว่า มันช่วยให้เรารอดจากอุบัติเหตุได้ แม้แค่ครั้งเดียว ก็คุ้มเกินค่าตัวมันแล้วล่ะ
-- ทุกวันนี้ ผมขับ CR-V อย่างมั่นใจ แซงรถยาวๆ ด้วยความเร็วระดับ 140 กม./ช.ม. แล้วดันมีรถโผล่จากซอยข้างหน้า แล้วสวนขึ้นมา ต้องหักหลบเข้าระหว่างรถ 2 คัน ในระยะแค่ไม่กี่เมตร และต้องเบรคให้ชิดคันหน้าที่สุด เพราะต้องเผื่อระยะเบรคให้รถบรรทุกคันหลัง ... เบรคที่ใส่มาเอาอยู่ครับ ชนิดที่ คนไม่เคยนั่งรถคันนี้ กรี๊ดลั่นรถมาแล้ว นึกว่า ชน แต่คนชินรถอย่างผม ชิวๆ ครับ