ก่อนอื่นผมขอสวัสดีปีใหม่ 2016 เพื่อนๆ พันทิปทุกคนครับบบ ขอให้มีความสุข สมหวังกับทุกๆสิ่งที่คิดจะทำในปีนี้นะครับ
เมื่อวานผมได้อบอุ่นหัวใจไปกับหนังไทยเรื่องเยี่ยมในวันสิ้นปีอย่าง พันท้ายนรสิงห์
http://pantip.com/topic/34622824 ซึ่งได้ทำรีวิวเป็นเรื่องแรกไว้แล้ว และในวันแรกของปี ผมลังเลใจว่าจะดู Star Wars VII ซ้ำอีกครั้งดี หรือจะแกะกล่องตีตั๋วเข้าโรงดูหนังเรื่องใหม่ดี
และคำตอบก็ออกมาแล้ว ผมขอเริ่มต้นด้วย Daddy's Home หนังที่ชูโรงด้วยความเท่ ฟิต และมาดเข้มๆ ละลายใจสาวของ เฮียมาร์ค วอลเบิร์ก
กำกับการแสดงโดย: Sean Anders ที่มีผลงานจาก Horrible Bosses 2 และ John Morris จาก Mr. Popper's Penguins และยังเป็นผู้ให้เสียงตัวละคร แอนดี้ ใน Toy Story ทั้งสามภาคอีกด้วย
เรื่องราวโดยสรุป : เรื่องนี้พูดกันอย่างตรงไปตรงมา คือ หนังสงครามขับเคี่ยวกันแย่งหน้าที่ผู้นำครอบครัว ระหว่างชายที่เป็นพ่อเลี้ยง และ ชายที่เป็นพ่อแท้ๆ ในขณะที่ แบร้ด กำลังมีความสุขและไปด้วยสวยกับชีวิตคู่ และการเลี้ยงดูลูกติดแม่ตัวน้อยๆ ทั้งสองของนางเอก พระเอกของเราก็เจองานเข้า เพราะปาป๊าตัวจริงดันอยากกลับมาสวมบท พ่อ งานนี้ทำเอาเกิดศึกวินาศสันตะโรป่วนกันทั้งบ้าน เราจะได้เห็นการขับเคี่ยวกันแบบเปิ่นๆ ของตัวพ่อทั้งคู่ และรวมเด็ดกลเม็ดวิธีเอาใจลูกๆให้อยู่หมัด แต่ความยากมันก็อยู่ตรงความพอดี ที่ไม่มีค่อยจะตรงกัน อีกคนห่าม อีกคนหง๋อ ทั้งสองคุณพ่อก็เลยต้องมาฟาดฟันกันอย่างเข้มข้น เป็นเเวลากว่า 90 นาที

การเริ่มต้นเรื่อง : หนังได้พาเราไปรู้จักกับ แบรด ชายหนุ่มผู้ใฝ่ฝันจะเป็น ปาป๊า มาตลอดชีวิต แต่ติดตรงที่เขามีเองไม่ได้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้จากอุบัติเหตุในคลีนิกทำให้ลูกอัณฑะของเขาผิดรูป และไม่สามารถมีลูกได้
แบรดเป็นหนึ่งในคนที่ใช้วิธีการแบบที่ยุคสมัยนี้น่าจะนิยมใช้กัน คือ อ่านหนังสือ How To และใช้ชีวิตตามแบบที่มันสอน ทุกกิจกรรมที่ลูกทำแบร้ดมีส่วนร่วม หนังสื่อให้เราเห็นถึงการยิมรับ และช่องว่างที่กำลังลดลงของ ลูกๆ ที่มีต่อแบร้ด รูปแบบไม่ยืดยาด และไม่ปล่อยให้เรารอนาน ปัญหาก็วิ่งชนเข้าใส่และเริ่มเรื่องราวของมันอย่างรวดเร็ว แบบชนิดที่เรียกว่า มาร์ค กวนตีนตั้งแต่ฉากแรกที่เจอกัน
ตัวละครแต่ละตัว ทั้งแบรด (วิล เฟอร์เรล) และ ดัสตี้(มาร์ค วอลเบิร์ก) ต่างเป็นทั้งฝั่งพ่อที่เด็กๆควรมี กับ พ่อที่เราคาดหวังว่าจะต้องเป็น
แบร้ด เป็น พ่อเลี้ยงที่แสนจะขี้หง๋อ แต่ก็ทุ่มเทหมดหน้าตักเพื่อให้ถูกเรียกว่าพ่อ ในขณะที่ ดัสตี้ เป็นตัวพ่อด้านปั่นหัวและโน้มน้าวคนให้ทำตามได้
เมื่อเรามี คู่แข่งเข้ามาในชีวิต แถมเป็นคนที่คิดจะมาชิงตำแหน่งที่เรายืนอยู่ เป็นใครก็ต้องสู้ ต่อให้รู้ว่าแต้มด้านความ เท่ จะน้อยกว่าแค่ไหนก็ตาม
ฉากส่วนใหญ่จะสลับไปมาระหว่างบ้าน ที่ทำงานของแบรด และ เล่าเรื่องถึงปัญหาความวุ่นวาย การให้คำปรึกษา การสอน การให้พื้นที่ และการทำหน้าที่พ่อ ผลัดกัน โอ๋ ผลัดกหัน สอน จนแท๊กทีมกันเป็น คู่หูปาป๊า แบบลงตัว แต่ไม่ลงรอย
วิล ฟอร์เรล แสดงบทบาทคนอยากเป็น "พ่อ" ได้ดี ด้วยมุกตลกหน้าเอ๋อของเขา ซึ่งปล่อยมาเป็นระยะ ประกบคู่กับ เจ้านายสุดกวนที่มักมีเรื่องเล่าขำๆ เกี่ยวกับเมียเก่าของตัวเองมาปลอบใจไม้เว้นแต่ละครั้ง ส่วน มาร์ค วอลเบิร์ก เองก็คุ้นชิ้นกับหนังแนวฮาๆวายป่วงอยู่แล้ว หลังจากรับบทคู่หูสยบฟ้าใน TED และ TED2 มาถึง 2 ภาค มาร์ค ก็เข้าถึงบทพ่อแท้ๆ ที่อยากลองทำหน้าที่ได้ดีสักครั้ง แม้ไม่มีแอ็คชั่นเหี้ยมๆ แต่ก็มีบทปะทะวาจาโชว์เก๋า โชว์กร่างแบบฉบับลูกผู้ชายอยู่ไม่น้อยครับ สำหรับสาวๆ ที่อยากห็นกล้ามแน่นๆ ของเฮียแก ก็ได้จัดไว้แบบเต็มอิ่ม 1 ฉาก
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ทั้งวิดพื้น โหนบาร์ แถมด้วยฉากโชว์มังกรน้อยแข่งกับ วิล เฟอร์เรล ที่ได้ฉายากระปู๋ฟรุ่งฟริ้งไปเมื่อตอนอุบัติเหตุช่วงต้นเรื่อง
ตัวละครรองแต่ละตัว ล้วนเสริมบทบาทของ พระเอกทั้งคู่ ให้ปรับจูนความเข้าใจ และเรียนรู้การทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดี
ทั้งลูกสาว ลูกชาย และภรรยา ผ่านบทเรียนต่างๆ ที่เกิดขึ้นในกิจวัตรประจำวันของคนเป็น พ่อ ทั้งต้องไปรับไปส่ง ทนกับเรื่องคิว มารยาท การวางตัว
การระงับอารมณ์ ในหนังเรื่องนี้ยังว่าด้วยเรื่องของวิธีแก้ปัญหาแบบหนึ่งที่ หลายครอบครัวอาจหลงลืมมันไป นั่นคือ "การไม่อ้อมค้อม"
หากเราได้พูดตรงๆ ออกไป ไม่ว่าจะเพราะเคลียร์ เปิดใจ ให้กำลังใจ ท้อแท้ หรือเสียใจกับอะไร อย่างน้อยคนที่อยู่ที่บ้าน
คนที่เราเรียกว่าครอบครัวก็จะได้รับรู้ และแก้ปัญหามันไปร่วมกันกับเรา แบรด เป็นตัวแทนของพ่อ ที่พยายามจะปกป้องลูก โดยไม่สอนให้ลูกเรียนรู้สิ่งที่เป็นความรุนแรง แต่เลือกที่จะทำความเข้าใจ แม้อาจไม่ดีที่สุด แต่ แบรด ก็มีทัศนคติที่ดีต่อชีวิตครอบครัว เขามักพูดว่า นี่เป็นก้าวแรกที่ดี นี่เป็นครั้งแรก
นี่คือการเปิดใจยอมรับมากขึ้น

ผมได้ข้อคิดจากหนังเรื่องนี้ว่า...
เราทำให้ทุกคนรักเราแต่แรกเลยไม่ได้ แต่เราสามารถทำให้ทุกคนเปิดใจหาเราได้ ไม่เร่งรัด ไม่รีบร้อน แต่ทำอย่างสม่ำเสมอ
หนังได้ให้แง่คิดในเรื่องของการ "เอาชนะ" ในเรื่อง ถ้าไม่มีตัวละครอย่าง ดัสตี้ แบรด ก็จะไม่ได้เรียนรู้ว่า ความรู้สึกที่อยากจะพยายามทำให้ดีกว่า
เอาชนะคนที่เหนือกว่า เพื่อตัวเองจะได้เป็นที่หนึ่งนั้น สำคัญแค่ไหน เพราะมันคือการแสดงออกว่า คุณจะไม่ยอมสูญเสียมันไป คุณจะดูแลมันเอาไว้ เพราะมันคือครอบครัวของคุณ หนังได้ทิ้งบทเรียนเรื่องความพอดี และสอนว่าไม่ใช่เงินที่บันดาลทุกๆอย่าง แต่คือ ความอดทน และการมีสติต่างหากที่จะทำให้คุณผ่านทุกเหตุการณ์ร้ายๆไปได้

ความอ่อนของตัวบทที่ควรติ คือ ในช่วงท้ายของเรื่อง และการสรุปปมตอนจบ ที่ยังให้ความรู้สึกไม่อิน และเร็วเกินไปที่จะให้ ดัสตี้ เป็นคนขมวดเรื่องเองอย่างดื้อๆ แล้วตัดกลับมาเพื่อให้จบตามแบบฉบับหนังครอบครัวในท้ายที่สุด
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ดัสตี้ทนไม่ไหวกับการต้องทำตามกฏต่างๆนาๆ และอดทนคุยกับพ่อของเพื่อนลูกชาย เพราะนิสัยในตัวที่เลือดร้อนจนยอมถอยไปเอง
เหตุการณ์ที่วางมาแต่ต้นเลยดูดรอปลงไปในความรู้สึกของผมเองอยู่บ้าง
ความยาวของหนังไม่ยาวมากจนน่าเบื่อ เวลา 90 กว่านาที ถือว่าพอสมควรกับหนังแนวครอบครัวแบบนี้ คุณสามารถดูไปเพลินๆ และอมยิ้มเล็กๆได้ ไม่ถึงกับฮาจนน้ำตาไหล แต่จะเข้าใจเหตุผลของตัวละครมากขึ้น โดยเฉพาะตัว แบรด พ่อเลี้ยงคนเก่งในเรื่อง
บทสรุปสุดท้าย : หน้าที่ "พ่อ" จึงไม่ใช่แค่เรื่องของการเอาชนะ แต่คือการใส่ใจความรู้สึกของชีวิตเล็กๆ ที่คุณต้องรับผิดชอบ ไม่ว่าคุณจะเป็นพ่อเลี้ยง พ่อจริงๆ หรือ แม่ คุณมีหัวใจที่อ่อนไหวดวงเล็กๆ รอคอยให้คุณสอน ให้คุณฟัง ให้คุณเป็นแบบอย่าง และเหนืออื่นใด รอคอยให้ คุณรับผิดชอบ
เพราะ พ่อที่ดี ไม่ใช่แค่ พ่อที่ทำลูกเป็นอย่างเดียว
ผมให้คะแนน 3.5 / 5 สำหรับเรื่องนี้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ช่วงท้ายมี จอห์น ซีน่า มาแจมด้วยนะครับบบบบบ
นับเป็นอีกหนึ่งเรื่องในวันต้นปี ที่ไม่ดีมากจนเว่อร์ แต่ก็เหมาะที่จะดูกับคนในครอบครัวนะครับ พบกันใหม่กระทู้หน้าครับบ ^^
รีวิว : Daddy's Home หนังครอบครัวต้อนรับปีใหม่ เพราะ พ่อที่ดี ไม่ใช่แค่ พ่อที่ "ทำลูกเป็น"
ก่อนอื่นผมขอสวัสดีปีใหม่ 2016 เพื่อนๆ พันทิปทุกคนครับบบ ขอให้มีความสุข สมหวังกับทุกๆสิ่งที่คิดจะทำในปีนี้นะครับ
เมื่อวานผมได้อบอุ่นหัวใจไปกับหนังไทยเรื่องเยี่ยมในวันสิ้นปีอย่าง พันท้ายนรสิงห์ http://pantip.com/topic/34622824 ซึ่งได้ทำรีวิวเป็นเรื่องแรกไว้แล้ว และในวันแรกของปี ผมลังเลใจว่าจะดู Star Wars VII ซ้ำอีกครั้งดี หรือจะแกะกล่องตีตั๋วเข้าโรงดูหนังเรื่องใหม่ดี
และคำตอบก็ออกมาแล้ว ผมขอเริ่มต้นด้วย Daddy's Home หนังที่ชูโรงด้วยความเท่ ฟิต และมาดเข้มๆ ละลายใจสาวของ เฮียมาร์ค วอลเบิร์ก
กำกับการแสดงโดย: Sean Anders ที่มีผลงานจาก Horrible Bosses 2 และ John Morris จาก Mr. Popper's Penguins และยังเป็นผู้ให้เสียงตัวละคร แอนดี้ ใน Toy Story ทั้งสามภาคอีกด้วย
เรื่องราวโดยสรุป : เรื่องนี้พูดกันอย่างตรงไปตรงมา คือ หนังสงครามขับเคี่ยวกันแย่งหน้าที่ผู้นำครอบครัว ระหว่างชายที่เป็นพ่อเลี้ยง และ ชายที่เป็นพ่อแท้ๆ ในขณะที่ แบร้ด กำลังมีความสุขและไปด้วยสวยกับชีวิตคู่ และการเลี้ยงดูลูกติดแม่ตัวน้อยๆ ทั้งสองของนางเอก พระเอกของเราก็เจองานเข้า เพราะปาป๊าตัวจริงดันอยากกลับมาสวมบท พ่อ งานนี้ทำเอาเกิดศึกวินาศสันตะโรป่วนกันทั้งบ้าน เราจะได้เห็นการขับเคี่ยวกันแบบเปิ่นๆ ของตัวพ่อทั้งคู่ และรวมเด็ดกลเม็ดวิธีเอาใจลูกๆให้อยู่หมัด แต่ความยากมันก็อยู่ตรงความพอดี ที่ไม่มีค่อยจะตรงกัน อีกคนห่าม อีกคนหง๋อ ทั้งสองคุณพ่อก็เลยต้องมาฟาดฟันกันอย่างเข้มข้น เป็นเเวลากว่า 90 นาที
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แบรดเป็นหนึ่งในคนที่ใช้วิธีการแบบที่ยุคสมัยนี้น่าจะนิยมใช้กัน คือ อ่านหนังสือ How To และใช้ชีวิตตามแบบที่มันสอน ทุกกิจกรรมที่ลูกทำแบร้ดมีส่วนร่วม หนังสื่อให้เราเห็นถึงการยิมรับ และช่องว่างที่กำลังลดลงของ ลูกๆ ที่มีต่อแบร้ด รูปแบบไม่ยืดยาด และไม่ปล่อยให้เรารอนาน ปัญหาก็วิ่งชนเข้าใส่และเริ่มเรื่องราวของมันอย่างรวดเร็ว แบบชนิดที่เรียกว่า มาร์ค กวนตีนตั้งแต่ฉากแรกที่เจอกัน
ตัวละครแต่ละตัว ทั้งแบรด (วิล เฟอร์เรล) และ ดัสตี้(มาร์ค วอลเบิร์ก) ต่างเป็นทั้งฝั่งพ่อที่เด็กๆควรมี กับ พ่อที่เราคาดหวังว่าจะต้องเป็น
แบร้ด เป็น พ่อเลี้ยงที่แสนจะขี้หง๋อ แต่ก็ทุ่มเทหมดหน้าตักเพื่อให้ถูกเรียกว่าพ่อ ในขณะที่ ดัสตี้ เป็นตัวพ่อด้านปั่นหัวและโน้มน้าวคนให้ทำตามได้
เมื่อเรามี คู่แข่งเข้ามาในชีวิต แถมเป็นคนที่คิดจะมาชิงตำแหน่งที่เรายืนอยู่ เป็นใครก็ต้องสู้ ต่อให้รู้ว่าแต้มด้านความ เท่ จะน้อยกว่าแค่ไหนก็ตาม
ฉากส่วนใหญ่จะสลับไปมาระหว่างบ้าน ที่ทำงานของแบรด และ เล่าเรื่องถึงปัญหาความวุ่นวาย การให้คำปรึกษา การสอน การให้พื้นที่ และการทำหน้าที่พ่อ ผลัดกัน โอ๋ ผลัดกหัน สอน จนแท๊กทีมกันเป็น คู่หูปาป๊า แบบลงตัว แต่ไม่ลงรอย
วิล ฟอร์เรล แสดงบทบาทคนอยากเป็น "พ่อ" ได้ดี ด้วยมุกตลกหน้าเอ๋อของเขา ซึ่งปล่อยมาเป็นระยะ ประกบคู่กับ เจ้านายสุดกวนที่มักมีเรื่องเล่าขำๆ เกี่ยวกับเมียเก่าของตัวเองมาปลอบใจไม้เว้นแต่ละครั้ง ส่วน มาร์ค วอลเบิร์ก เองก็คุ้นชิ้นกับหนังแนวฮาๆวายป่วงอยู่แล้ว หลังจากรับบทคู่หูสยบฟ้าใน TED และ TED2 มาถึง 2 ภาค มาร์ค ก็เข้าถึงบทพ่อแท้ๆ ที่อยากลองทำหน้าที่ได้ดีสักครั้ง แม้ไม่มีแอ็คชั่นเหี้ยมๆ แต่ก็มีบทปะทะวาจาโชว์เก๋า โชว์กร่างแบบฉบับลูกผู้ชายอยู่ไม่น้อยครับ สำหรับสาวๆ ที่อยากห็นกล้ามแน่นๆ ของเฮียแก ก็ได้จัดไว้แบบเต็มอิ่ม 1 ฉาก
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ตัวละครรองแต่ละตัว ล้วนเสริมบทบาทของ พระเอกทั้งคู่ ให้ปรับจูนความเข้าใจ และเรียนรู้การทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดี
ทั้งลูกสาว ลูกชาย และภรรยา ผ่านบทเรียนต่างๆ ที่เกิดขึ้นในกิจวัตรประจำวันของคนเป็น พ่อ ทั้งต้องไปรับไปส่ง ทนกับเรื่องคิว มารยาท การวางตัว
การระงับอารมณ์ ในหนังเรื่องนี้ยังว่าด้วยเรื่องของวิธีแก้ปัญหาแบบหนึ่งที่ หลายครอบครัวอาจหลงลืมมันไป นั่นคือ "การไม่อ้อมค้อม"
หากเราได้พูดตรงๆ ออกไป ไม่ว่าจะเพราะเคลียร์ เปิดใจ ให้กำลังใจ ท้อแท้ หรือเสียใจกับอะไร อย่างน้อยคนที่อยู่ที่บ้าน
คนที่เราเรียกว่าครอบครัวก็จะได้รับรู้ และแก้ปัญหามันไปร่วมกันกับเรา แบรด เป็นตัวแทนของพ่อ ที่พยายามจะปกป้องลูก โดยไม่สอนให้ลูกเรียนรู้สิ่งที่เป็นความรุนแรง แต่เลือกที่จะทำความเข้าใจ แม้อาจไม่ดีที่สุด แต่ แบรด ก็มีทัศนคติที่ดีต่อชีวิตครอบครัว เขามักพูดว่า นี่เป็นก้าวแรกที่ดี นี่เป็นครั้งแรก
นี่คือการเปิดใจยอมรับมากขึ้น
เราทำให้ทุกคนรักเราแต่แรกเลยไม่ได้ แต่เราสามารถทำให้ทุกคนเปิดใจหาเราได้ ไม่เร่งรัด ไม่รีบร้อน แต่ทำอย่างสม่ำเสมอ
หนังได้ให้แง่คิดในเรื่องของการ "เอาชนะ" ในเรื่อง ถ้าไม่มีตัวละครอย่าง ดัสตี้ แบรด ก็จะไม่ได้เรียนรู้ว่า ความรู้สึกที่อยากจะพยายามทำให้ดีกว่า
เอาชนะคนที่เหนือกว่า เพื่อตัวเองจะได้เป็นที่หนึ่งนั้น สำคัญแค่ไหน เพราะมันคือการแสดงออกว่า คุณจะไม่ยอมสูญเสียมันไป คุณจะดูแลมันเอาไว้ เพราะมันคือครอบครัวของคุณ หนังได้ทิ้งบทเรียนเรื่องความพอดี และสอนว่าไม่ใช่เงินที่บันดาลทุกๆอย่าง แต่คือ ความอดทน และการมีสติต่างหากที่จะทำให้คุณผ่านทุกเหตุการณ์ร้ายๆไปได้
เหตุการณ์ที่วางมาแต่ต้นเลยดูดรอปลงไปในความรู้สึกของผมเองอยู่บ้าง
ความยาวของหนังไม่ยาวมากจนน่าเบื่อ เวลา 90 กว่านาที ถือว่าพอสมควรกับหนังแนวครอบครัวแบบนี้ คุณสามารถดูไปเพลินๆ และอมยิ้มเล็กๆได้ ไม่ถึงกับฮาจนน้ำตาไหล แต่จะเข้าใจเหตุผลของตัวละครมากขึ้น โดยเฉพาะตัว แบรด พ่อเลี้ยงคนเก่งในเรื่อง
บทสรุปสุดท้าย : หน้าที่ "พ่อ" จึงไม่ใช่แค่เรื่องของการเอาชนะ แต่คือการใส่ใจความรู้สึกของชีวิตเล็กๆ ที่คุณต้องรับผิดชอบ ไม่ว่าคุณจะเป็นพ่อเลี้ยง พ่อจริงๆ หรือ แม่ คุณมีหัวใจที่อ่อนไหวดวงเล็กๆ รอคอยให้คุณสอน ให้คุณฟัง ให้คุณเป็นแบบอย่าง และเหนืออื่นใด รอคอยให้ คุณรับผิดชอบ
เพราะ พ่อที่ดี ไม่ใช่แค่ พ่อที่ทำลูกเป็นอย่างเดียว
ผมให้คะแนน 3.5 / 5 สำหรับเรื่องนี้ [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
นับเป็นอีกหนึ่งเรื่องในวันต้นปี ที่ไม่ดีมากจนเว่อร์ แต่ก็เหมาะที่จะดูกับคนในครอบครัวนะครับ พบกันใหม่กระทู้หน้าครับบ ^^