[รีวิวเรื่องที่ 116] Daddy's Home/สงครามป่วนพ่อสุดแสบ


[เรื่องที่ 116] Daddy's Home/สงครามป่วนพ่อสุดแสบ ; (Sean Anders, 2015)

คะแนน : 8/10 **สปอยล์เล็กน้อยไม่เสียอรรถรส

เรื่องราวเกี่ยวกับ 'แบรด' พ่อเลี้ยงมือใหม่ที่ทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจเพื่อที่จะเอาชนะใจลูกติดทั้งสอง และในขณะที่ทุกอย่างกำลังไปด้วยดี พ่อที่แท้จริงสุดล่ำบึ้กอย่าง 'ดัสตี้' ก็กลับมาพร้อมแผนการที่จะชิงหัวใจเด็กๆไปจากแบรด เรื่องราวโคตรชุลมุนในการแย่งชิงตำแหน่ง 'ยอดคุณพ่อ' จึงเกิดขึ้น

คือโดยพล็อตเรื่องมันก็ชัดอยู่แล้วล่ะว่าเป็นหนังแนวครอบครัว-คอเมดี้ที่มารับช่วงคริสต์มาส ดังนั้นโจทย์คือหนังมันจะพาเราซึ้งและฮาได้แค่ไหน ... สรุปว่าตีโจทย์แตกฉลุยจ้าาาาาาาาาาา  หนังตลกโปกฮาโคตรๆ คือสมดังคาดว่าหนังค่อนข้างเล่นกับมุกประชดประชันได้เจ็บแสบ และที่ขำโคตรๆจนปวดท้องคือหนังกล้าแตะบรรดามุกเหยียดทั้งหลาย (racist,sexist) มาเล่นได้อย่างน่าเอ็นดูชม, ยกตัวอย่างเช่นคนดำชื่อกริฟ (Hannibal Buress) ที่คอยชงมุกให้มัน offend กับสีผิวของตัวเองตลอด เป็นต้น ซึ่งผู้เขียนขอยกให้เป็นตัวละครที่ชอบที่สุดในหนังเรื่องนี้เลย

ซึ่งนอกจากอารมณ์ขันที่ผ่านเกณฑ์แล้ว หนังก็ยังมีส่วนของแง่คิดจากการเล่าเรื่องที่น่าสนใจไม่แพ้กัน, คือหนังเลือกใช้วิธีการพรีเซนต์ตัวละครพ่อทั้งสองคนออกมาในลักษณะ 'ต่างกันสุดขั้ว' ให้เกิดข้อเปรียบเทียบจากมุมมองของคนดู ซึ่งบางคนอาจจะรู้สึกหงุดหงิดในความหงิมของ modern dad อย่างแบรดที่ยึดหลักการสันติจ๋าจนนุ่มนิ่มเกินไป อีกทั้งยังขาดทักษะและคุณสมบัติ 'ความเป็นชาย' ไปอีกหลายอย่างอีก (ทักษะงานช่าง,ร่างกายกำยำ)ซึ่งผิดกับอิมเมจ cool dad ของดัสตี้ ที่มาพร้อมภาพลักษณ์ในอุดมคติของ american guy ชนิดครบทุกข้อ ทั้งขี่มอเตอร์ไซค์ทรงคาเฟ่,กล้ามบึ้ก และนิสัยห่ามๆพร้อมเป็นศูนย์กลางของความบันเทิงเสมอ

และในเวลาต่อมาหนังก็เลือกที่จะนำเสนอถึงข้อเสียของความเป็น 'สุดโต่ง' ของพ่อทั้งสองสไตล์ออกมาผ่านทางปัญหาต่างๆที่การเจรจาหรือการใช้กำลังเพียงอย่างเดียวแก้ไขไม่ได้ ตอกย้ำให้เห็นถึง ความบกพร่อง' ของตัวละครที่ทำให้หนังมันมีไดนามิกมากขึ้น ถึงแม้ในท้ายที่สุดหนังมันจะโปรแนวคิดด้านใดด้านหนึ่งไปเลยก็ตามแต่ .. ซึ่งอันที่จริงด้วยแกนเรื่องลักษณะนี้มันมักจะทำให้หนังกลายเป็น drama จัดเกินไปจนคนดูอึดอัด แต่ก็ต้องชื่นชมเซนส์อารมณ์ขันของผู้กำกับที่สามารถประคองอารมณ์ฮาไว้ได้ตลอดเรื่องจากการยิงมุกฉีกบรรยากาศต่างๆได้ถูกจังหวะเสมอ

อันที่จริงด้วยอารมณ์ขันที่หนักหน่วงระดับนี้มันควรจะได้ 9 คะแนน ถ้าไม่สะดุดตรงความ 'ไม่ราบรื่น' หลายๆจุดของมุกในหนัง อาทิฉากในห้องรีดสเปิร์มของพระเอกที่ปูทิ้งไว้แล้วก็ไม่ถูกนำมาใช้ต่อเหมือนให้ขำแล้วก็ขำไปเลย หรือบางไดอะล็อคของตัวละครที่ค่อนข้างจะเวิ่นเว้อไปมาเกินไปหน่อย (อาจจะเป็นมุกด้นสดกันด้วยซ้ำ) และประเด็นเกี่ยวกับมิติของตัวละครอื่นๆที่ไม่ใช่ตัวเอกอาทิเช่น ลูกสาวและลูกชายที่ถูกวางบทไว้ราบเรียบไปหน่อย ชนิดเวลาพ่อคนไหนทำแต้มได้ก็เฮโลไปตามๆกันเฉยๆแบบไม่ได้มีความสำคัญอะไรในคาแร็คเตอร์ตัวเอง (แต่ก็อย่างว่าหนังมันขายตัวละครพ่อนี่นา)

สรุปคือหนังเรื่องนี้ก็สอบผ่านในแง่ของความฮาอย่างไม่ต้องมีข้อสงสัย และมีการเล่าเรื่องที่ดีพอให้ติดตามได้ไม่ดูยัดเยียด ถึงแม้บทในตอนท้ายมันจะดูเร่งรัดรวบจบไปหน่อยก็เถอะ แต่โดยรวมก็ยังขออวยให้ลองเข้าไปโดนความฮาอยู่ดี ยิ่งโดยเฉพาะในสัปดาห์นี้ที่ไม่มีหนังดีๆให้ดูเท่าไหร่ด้วย

ป.ล.เกลียดมุกจอห์นซีน่า 5555555

ขอเชิญติดตามรีวิว/ข่าวสารและร่วมกันพูดคุยเรื่องหนังได้ที่เพจครับ : https://www.facebook.com/expensivemovie
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่