ขอคำแนะนำการสอนลูกสาววัย 12 ปีด้วยค่ะ

ขอคำแนะนำวิธีการสอน วิะีการพูดให้เค้าคิดได้ หรือทำตามที่เราบอกหน่อยค่ะ

เหมือนเค้าจะเป็นคนดื้อเงียบ เวลาบอกให้ทำอะไรไม่ค่อยจะฟังและติดขี้เกียจด้วยค่ะ (แต่ถ้าเมื่อไหร่จะขยันขึ้นมาก็ทำเองดื้อๆโดยที่ไม่ต้องบอก)
ยกตัวอย่าง
1.เรื่องรีดผ้า เราให้เค้ารีดชุดนักเรียนเอง วันไหนขยันก็จะรีดไว้วันอาทิตย์สำหรับใส่ทั้งสัปดาห์เลย วันไหนถ้าขี้เกียจก็จะรีดทีละชุด หรือถ้าขี้เกียจมากๆๆก็ไม่รีดเลย ใส่ไปทั้งยับๆนั้นแหละ

2.เรื่องล้างจาน เวลาทานข้าวเสร็จ จะล้างแค่จานของตัวเอง เราเคยลองใจรีบทานให้เสร็จก่อนแล้วเอาจานไปแช่ไว้ในอ่าง แต่นางก็ล้างเฉพาะของตัวเอง หม้อแกง กะทะที่ตักแกงหมดแล้ว เราแช่ไว้ที่อ่างก็ไม่ล้าง เคยสอนแล้วว่าแม่เป็นคนทำกับข้าวให้ลูกกิน ลูกช่วยแม่เก็บล้างได้ไหม ก็ไม่ทำ กะทะหม้อที่ตัวเองทำเอง(ต้มมาม่า ทอดไข่) ก็ไม่ล้าง เราเคยปล่อยไว้ไม่ล้างให้ มันแช่ยังไงก็แช่ยังงั้น

3.เรื่องซักผ้า ครอบครัวเรามี 4 คน พ่อ แม่ ลูก2 คน เราจะแยกตะกร้า เสื้อ กางเกง ชุดชั้นใน ถุงเท้า  เราทำเป็นตัวอย่างให้ดูแล้ว  อธิบายแล้วว่าเวลาซักให้แยกซักและซักของทุกคนรวมกันไปเลย แต่นางก็จะค้นเอาเฉพาะเสื้อผ้าตัวเองไปซักอยู่ดี หรือบางครั้งเราเอาผ้าใส่เครื่องซัก พอต้องเอาไปตาก เราบอกให้นางเอาไปตากเพราะเราไม่ว่าง ทำอย่างอื่นอยู่ หรือซักทิ้งไว้ก่อนออกไปทำงานแล้วบอกให้ตากผ้าด้วย นางก็ไม่ทำ (ขี้เกียจแหละ) บางครั้งบังคับให้ซักผ้าได้ แต่พอถึงตอนตากมักจะเกี่ยงว่า ตัวเองเป็นคนเอาไปซักแล้วต่อไปเป็นหน้าที่คนอื่นที่ต้องเอาไปตาก

4.เรื่องอาบน้ำ ตอนเด็กจะมีปัญหาเรื่องอาบน้ำไวมาก ไม่ถึง5นาที ไม่ชอบสระผม พอเริ่มโตเป็นสาวอาบน้ำนานมากขัดสีฉวีวรรณอยู่นั่น ทั้งขัดผิวด้วยสครับ ทั้งมาร์คหน้า ทั้งหมักผม แต่จะไม่อาบน้ำตอนเย็นจะอาบเฉพาะตอนเช้า หรือบางทีอาบเย็นวันศุกร์ เสาร์และอาทิตย์ทั้งวันไม่อาบ มาอาบทีเดียวเช้าวันจันทร์ แต่บางครั้งก็อาบทุกวัน ( สอนแล้ว บอกแล้วเรื่องความสะอาด เหมือนรับฟังแต่ไม่ทำตาม )

เคยบอกเคยสอนเรื่องหน้าที่ของลูกแล้ว เรื่องแบ่งเบาภาระของพ่อกับแม่ ก็ยังเป็นเหมือนเดิม
เวลาเรียนมาคุย ก็เงียบไม่ตอบ เช่นเราถามว่า ขอเหตุผลไมลูกถึงซักแต่เสื้อผ้าของตัวเอง ก็เงียบไม่ตอบ

เราไม่รู้จะสอนหรือดัดนิสัยยังไงแล้ว ขอคำแนะนำทีค่ะ

สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 2
ตอบจาก ปสก. เลั้ยงลูก 2 คน จนเข้าม. อันดับ 1 จบ เกียรตินิยมอันดับ 1 มีงานทำแล้ว ชีวิตเขาดีมาก  กล่าวคือ
1. พื้นฐานที่คุณแม่กำลังบ่นอยู่ และเขารับรู้ มันไม่ใช่วิธีการสอนครับ มันคือการบ่นและบังคับให้ลูกทำสิ่งนี้สิ่งนั้นโดยการใช้ Negative reinforcement หรือการให้แรงจูงใจทางลบ ยิ่งใช้มากเด็กยิ่งต่อต้าน ลองหันมาดูตัวเองสืครับ ถ้าใครสั่งให้เราทำเรื่องนี้เรื่องนั้นโดยเราคิดว่ามันไม่สำคัญ เราจะอยากทำไหม  ทางแก้คือ เปลี่ยนแรงจูงใจครับทให้เขาได้ทำในสิ่งที่เราอธิบายว่ามันจำเป็นอย่างไรคุยด้วยเหตุผล อย่าใช้อารมณ์ และสิ่งไหนที่เขาทำแล้วดี ก็ชมเขา ให้รางวัล  อย่างเช่นสมัยลูกผมตอนเด็ก อยากให้ลูกช่วยล้างรถ ผมก็ชวนเขามาทำ ทำเสร็จก็ชมเขาว่าลูกช่วยพ่อล้างรถสะอาดกว่าพ่อทำคนเดียวอีก แล้วผมก็ให้เงินบอกเขาว่า ถ้าลูกไม่ทำพ่อต้องเสียเงินไปล้างข้างนอก พอลูกทำพ่อประหยัดเงิน เลยยกให้ลูก แล้วก็จูงมือพาลูกไปฝากธนาคารในชื่อเขาเพื่อสอนให้เขารู้จักออมเงิน

2. โฟกัสของการเลี้ยงลูกไม่ใช่เรื่องแค่ที่คุณแม่กล่าวมาครับ หัวใจสำคัญคือ ต้องทำให้เขารู้ว่าโตขึ้นอยากทำอะไร อยากเป็นอะไร ควรเอาเวลาส่วนใหญ่ส่งเสริมเรื่องแบบนี้ครับ  สมัยลูกผมเล็ก ๆ เห็นเขามีแววด้านคอมพิวเตอร์ ผมสอนเขาเขียนโปรกแกรมคอมตั้งแต่ ป.4 หรือตอนนั้นแค่ 9ขวบ เขาสนใจและต่อยอดความรู้ได้แล้ว และนั่นคือที่มาทีเขาสามารถเข้า ม.อันดับ 1 จบเกียรตินิยมได้เพราะเขาได้เรียนและทำในสิ่งที่เขารัก

ลูกคุณแม่อายุ 12 เหลือเวลาแค่ 6 ปี ก่อนเขาจะเข้ามหาลัย ผมคิดว่า คุณแม่ควรเปลี่ยนวิธีการสอนลูก โฟกัสไปที่อนาคตลูก และ เปลี่ยนวิธีการสอน เป็นแบบให้กำลังใจครับ  การเลี้ยงลูกด้วยการ บ่น ดุ ว่า ตี มีแต่จะทำให้ลูกแย่ลงครับ  ผผเลี้ยงลูกมา 20 กว่าปี ไม่เคยตีลูก หรือว่าลูก  แม้แต่ครั้งเดียว ลูกเขาก็โตมาได้ดีนะ  ซักเสื้อผ้า  ล้างจานผมก็ไม่เคยให้เขาทำ แต่วันที่เขาออกไปอยู่คนเดียว เขาก็ดูแลชีวิตเขาได้ดีครับ เพราะมันคือพื้นฐานการใช้ชีวิตทั่วไป วันที่เขาโต มีความคิดเรื่องพวกนี้มันทำได้เองโดยไม่ต้องสอนครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่