ร้าน industrial furniture ของมนุษย์เงินเดือน




current job status   :  คล้ายมะม่วงสุกพร้อมหลุดจากขั้วเพราะลมหนาว  ( winter is coming )

ผมเริ่มเป็นมนุษย์เงินเดือนสายการเงินมาตั้งแต่สมัยเรียนจบ  (ไม่นับ 1 เดือนที่ทำงาน airline เพราะที่นี่เรียกไปเป็นที่แรกหลังเรียนจบ)   ถ้าใครจำได้ (นานมากแล้ว)  ตอนนั้นพวก Finance สมัยก่อนจ่ายโบนัสกัน 12-24 เดือน  เป็นเรื่องปกติ  อู้ฟู้มากถ้าเทียบกับสายงานด้านอื่น    เด็กๆสมัยนั้น   ส่วนใหญ่ก็อยากทำงาน Finance  (สมัยนั้นยังไม่มีการแยกธุรกิจหลักทรัพย์ กับ ธุรกิจเงินทุนออกจากกัน  เรียกรวมกันว่าเงินทุนหลักทรัพย์  หรือสั้นๆง่ายๆว่า Finance)  ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น   ตอนใกล้จบมีหลายบริษัทมารับสมัตรงานถึงมหาวิทยาลัย   แต่ที่หน้าโต็ะรับสมัครงานแปะป้ายไว้ชัดเจนว่า    รับเกรดเฉลียไม่ต่ำกว่า 3   ผมเลยอด   แต่ก็ลองหาตามหนังสือพิมพิ์ (ซึ่งสมัยนั้นยังไม่มี พวก job db หรือ บริษัท head hunter แบบสมัยนี้) พอส่งใบสมัครไป  โชคดีได้เรียกสัมภาษณ์  

บริษัทที่ผมได้ทำงานเกี่ยวกับการเงินเป็นที่แรก เป็นบริษัทเล็กๆ   เข้าไปทำงานสักพัก  บริษัทมีการเปลี่ยนแปลง  มีบริษัทฝรั่งมาถือหุ้น   มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง  เปลี่ยนชื่อบริษัท ( ซึ่งอาจจะเรียกกว่าเป็นสิ่งที่ดีเพราะตอนหลัง   พอบอกใครว่าเคยผ่านงานมาจากที่นี้   ก็ดูมีเครดิตดี  เพราะบริษัทที่มา takeover ถือว่ามีชื่อเสียงพอสมควร)    หลังจากนั้นไม่นาน   ผู้บริหารคนไทยก็ถูกจ้างออก   สักพักก็มาถึงพวกระดับล่างๆอย่างผม   โดนให้ออกพร้อมเงินปลอบใจตามกฏหมาย  เศรฐกิจเริ่มแย่หุ้นตก   บริษัทห้างร้านปิดกิจการ   ผมก็หางานใหม่  กลับไปเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่  เงินเดือนใหม่ก็เท่ากับตอนจบใหม่ๆ   ประสพการณ์ 2-3 ปี  ไม่ได้ทำให้เรียกเงินเดือนได้เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด   จากวันนั้นถึงวันนี้   ผ่านมามากกว่า 10 ปี  มีทั้งยุครุ่งเรืองมากๆ  ที่คนในวงการที่ผมทำงานอยู่ถูกเรียกว่า มนุษย์ทองคำฝังเพชร  (หนังสือพิมพิ์เรียกอย่างนั้นจริงๆ)   หรือยุคตกต่ำ  มีคนฆ่าตัวตายจากหุ้นตก  บริษัทถูกปิด พนักงานโดนให้ออกจากงาน  จนกลายเป็น cycle ที่เห็นเป็นเรื่องธรรมดา   

แนวคิดทำร้านเฟอนิเจอร์      
ผมก็เป็นมนุษย์เงินเดือน   มีเปลี่ยนงาน  ดิ้นรน  รู้สึกว่าชีวิตมันไม่มั่นคง   เพราะตัวแปรเยอะ  หลายครั้งรู้สึกว่าเก่งยังไม่สู้เฮง   ทำงานเก็บเงินมาเรื่อยๆ (มีเงินประมาณหนึ่ง  เอาไปสร้างอพาร์ตเมนต์ เป็น  passive income ตอนตกงาน   แต่ขอข้ามส่วนนี้ไปนะครับ   เพราะไม่ได้เกี่ยวกับร้านเฟอนิเจอร์เท่าไหร่)
อยากทำธุรกิจอะไรเล็กๆของตนเองเสริมไปด้วยระหว่างที่ยังเป็นมนุษย์เงินเดือนอยู่   เผื่อตกงานจริงๆ  จะได้มีอะไรทำ   

ตอนแรกที่มองก็คือร้านซักรีด   กับมินิมาร์ท  เพราะมีห้องว่างใต้อพาร์ตเมนท์ของผมเองที่ยังว่าง   ไม่มีคนเช่าสักที  กะจะทำเอง  จ้างเด็กสักคนอยู่หน้าร้าน  แต่ก็รู้สึกว่าจะยุ่งยากเกินไป  รอคนมาเช่าง่ายกว่า   คนที่มาดูส่วนใหญ่จะมาขอทำร้านขายของชำ   ผมรู้สึกว่าถ้าเป็นร้านขายของชำ   จะทำให้ตึกดูไม่เรียบร้อย  อยากให้เป็นมินิมาร์ทติดแอร์ (สรุปคือเรื่องมาก  เลยไม่มีใครมาเช่าสักที)   เคยมีบริษัทขนส่ง (ชื่อคล้ายข้าวแกงกระหรี่)  มาขอเช่าทำเป็นศูนย์กระจายสินค้า   พูดคุยกันแล้วก็เงียบหายไป   เลยเป็นห้องว่างมาตั้งแต่ตอนเปิดตึก   มีเพื่อนแนะนำให้ทำเป็นร้านกาแฟ   ผมก็คิดว่าน่าสน   แต่คนทำกันเยอะ  แล้วทำงานประจำด้วยจะเอาเวลาไหนไปขาย   ทำเลของอพาร์ตเมนต์ก็เป็นซอยตัน   คนเดินผ่านไม่เยอะพอ   สรุปคือคงไม่รอด     



สาเหตุที่กล้ายมาเป็นร้านเฟอนิเจอร์แนว  industrial  เพราะตอนตบแต่งอพาร์ตเมนต์   มีบางห้องผมอยากแต่งเป็นแบบแนว loft แนว industrial  ก็เลยทำห้องเป็นแบบปูนเปลือย  วางแผนว่าจะใช้เฟอนิเจอร์แบบนี้   ผมก้ดูแบบจากในอินเตอร์เน็ต  ติดต่อร้านเฟอนิเจอร์ดังๆ  ในเน็ต   ปรากฏว่าราคาแพงมาก  เข้าใจว่ามันเป็นเฟอนิเจอร์แบบ  make to order  แต่ราคาแบบนี้มันแพงเกินไป   ผมก็เลยศึกษา  ลองทำเอง  แบบตอนแรกๆ  จะเรียบๆ  ไม่ซับซ้อน  ก็ไม่ได้สวยงามอะไร  แต่ใช้งานได้ดี  (สามารถดูรูปในกระทู้เก่าได้ครับ)  พอทำเสร็จ   เขียนเป็นกระทู้ใน  pantip  ปรากฏว่ามีคนติดต่อมาพอสมควร   สอบถามวิธีทำบ้าง  แต่ทีทำให้ตัดสินใจเริ่มทำเป็นร้าน   เพราะมีลูกค้าอยู่คนหนึ่ง  มาสอบถามว่า   ตัวเค้าเองกำลังจะเปิดร้านกาแฟ  อยากใช้เฟอนิเจอร์แบบนี้  ผมทำให้ได้ไหม   ต้องการโต้ะใหญ่  โต้ะเล็ก กับเก้าอี้ เอาแนวนี้ทั้งร้าน   ซึ่งผมก็บอกไปว่ายังไม่พร้อม(เพราะตีราคาไม่เป็น   เคยทำแต่ชิ้นเล็กๆ  แบบเรียบๆง่ายๆ)   มีพูดคุยกันอีกครั้งสองครั้งในเรื่องรายละเอียดของวัสดุ   แล้วก็บอกลากันไป   ตอนนั้นเป็นตัวที่จุดประกายว่า   น่าจะลองทำขายแบบเป็นเรื่องเป็นราวดูนะ   


แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่