ต่อเนื่องจากกระทู้ บุคคลในปวศที่ผมชอบ5อันดับแรกมีนักวิทย์ 4 และพระพุทธเจ้า 1 แต่ตอนนี้จะเป็นนักวิทยาศาสตร์หมดเลย 5 คนไม่มีพระพุทธเจ้า
ติดใจหลายประเด็นกับคำตอบ จนถึงกับตกใจกับคำตอบ ในเมื่อบัวมี 3 เหล่า ต้องใช้คำอธิบายละเอียดคงจะพอช่วยได้ ได้ไม่ต้องเป็นอาหารเต่า
------------------------------------
ข้อความจากกระทู้เดิม
ตอนเด็กๆผมให้พระพุทธเจ้าเป็นบุคคลใน ปวศ ที่ผมชื่อชอบอันดับ 1 รองลงมาเป็นนักวิทยาศาสตร์หมด
เพราะพอโตขึ้นเริ่มรู้สึกว่า เหตุการณ์ต่างๆในพระไตรปิฎกมันพิสดาร เหมาะเจาะ บังเอิญ เหลือเชื่อ การดำเนินเรื่องราวต่างๆคล้ายกับนิยายมากกว่าเป็นเรื่องจริง คนอะไรจะพิเศษขนาดนั้น ชีวประวัติของพระพุทธเจ้าดูไม่น่าจะเป็นเรื่องจริง ผมคิดเองว่าบางทีศาสนาพุทธอาจจะเป็นการคิดของหลายๆคน หรือเป็นการคิดของคนๆเดียว แต่ท่านคนนั้นก็ต้องเป็นคนเดินดินปกติธรรมดาเหมือนคนทั่วไป แต่ยุคหลังถูกเพิ่มสิ่งต่างๆเข้าไปให้ดูมหัสจรรย์ เมื่อมันขาดหลักฐาน ดูไม่ชัดเจน ผมจึงตัดพระพุทธเจ้าออกไปจากบุคคลในปวศที่ผมชอบ
แต่นักวิทยาศาสตร์นี่มีผลงานจริงๆ เรื่องราวมีเหตุมีผลจับต้องได้ ประวัติชีวิตไม่ได้พิสดาร มหัศจรรย์ขนาดนั้น แต่สร้างผลงานยิ่งใหญ่ออกมาเพราะความอัจฉริยะ ความรัก การทำงานอย่างจริงจังมุ่งมานะไม่ย่อท้อ นี่จึงเป็นโรลโมเดลแบบอย่างให้ผมในการดำเนินชีวิต การค้นหาความจริงของเอกภพช่างเป็นเรื่องที่น่าติดตาม น่าค้นหา แม้มีชีวิตอยู่เพียงราตรีเดียวเพื่อค้นหาการทำงานของธรรมชาติก็ขึ้นชื่อว่าเป็น สัตบุรุษ
http://pantip.com/topic/34573832
-----------------------------------------------------------------------
หลายคนบอกว่าพระพุทธเจ้าเป็นนักวิทย์ที่เก่งที่สุดในโลก บอกว่าผมยังไม่โตจึงคิดได้อค่นี้ บอกว่าเพราะไม่ปฎิบัติธรรมจึงไม่รู้เรื่องราว
ขออธิบายเป็นข้อๆดังนี้
1.ทีบอกว่าไม่ปฎิบัติจึงไม่รู้เรื่องราว หมายถึงอะไร หมายถึงนั่งสมาธิ เดินจงกลม แล้วจิตใจมโนไปว่าได้ญาณวิเศษอันนี้ๆ มีทิพจักษุ อะไรแบบนี้อ่ะหรอ ความจริงก็คือมันไม่มีจริง หลายงานวิจัยของวิทย์บอกว่าการนั่งสมาธิไม่ได้ช่วยอะไร มีผลอะไรต่อร่างกายเลย ที่คุณไปเห็นสิ่งต่างๆเป็นการมโนขึ้นของคุณทั้งนั้น
2.จริงๆผมไม่อยากเอาความจริงมาพูดหรอกนะ เพราะอาจทำร้ายจิตใจบางคน นั่นก็คือตายแล้วสูญ ทุกคนก็ต้องตาย ตายแล้วก็สูญ ที่พระพุทธเจ้าอ้างว่าคิดการดับทุกข์ได้ ปรินิพพานแล้วก็ไปนิพพาน หนทางดับทุกข์ จึงไม่เป็นความจริง เพราะตายแล้วสูญหมดอยู่แล้วทุกคน อันนี้ที่บอกว่าคิดหนทางดับทุกข์ได้จึงไม่จริง ขอเน้นย้ำตายแล้วสูญ ทุกคนก็ต้องตาย ตายแล้วก็สูญ ที่พระพุทธเจ้าอ้างว่าคิดการดับทุกข์ได้ ปรินิพพานแล้วก็ไปนิพพาน หนทางดับทุกข์ จึงไม่เป็นความจริง เพราะตายแล้วสูญหมดอยู่แล้วทุกคน อันนี้ที่บอกว่าคิดหนทางดับทุกข์ได้จึงไม่จริง
3.กระทู้นั้นมีผู้เคลมว่า พระพุทธเจ้าเข้าใจการทำงานของจิตใจ วิญญาณทรงเป็นอัจฉริยะเหนือนักวิทย์ทั้งปวง แต่ที่ผมไปอ่านหลักธรรมดู ก็พบว่าผิดจากความเป็นจริงอย่างยิ่ง
เป็นการแยกกายกับจิตออกจากกันเหมือนนักปรัชญาธรรมชาติในยุโรปที่ทำผิดมาเหมือนกัน แต่สุดท้ายนักวิทย์เขารู้แล้วว่า มีแต่ร่างกาย สมอง ไม่มีจิต ไอ้หลักธรรมต่างๆ จัดหมวดแบ่งนู่นแบ่งนี่เป็นกี่อย่างๆ เอาจริงๆแล้วมันผิด มันไม่มีจริง เป็นหมัน เป็นเท็จไม่ถูกต้อง ตั้งอยู่บนความเท็จ อยากรู้ว่าอะไรถูกต้อง ให้ไปเรียนชีววิทยา ประสาทวิทยา เรานักวิทย์ค้นพบความรู้เรื่องสมองมากขึ้นเรื่อยๆ และเราพอรู้หลักการทำงานของสมอง ในภาพรวมคร่าวๆแล้ว เป็นความรู้ที่ถูกต้องสวยงามในเบื้องต้น ท่ามกลาง และปลาย เทียบอันหนึ่งเป็นความรู้ผิดๆ อีกอันหนึ่งรู้เยอะมาก เจริญขึ้นเรื่อยๆ เป็นความจริง เอาความรู้ไปรักษาคนไข้ได้ ก็พอจะบอกได้แล้วว่าอะไรเป็นอย่างไร
https://en.wikipedia.org/wiki/Human_brain
สนใจไปอ่านดูมีแต่ความรู้วิทย์ทั้งนั้น แต่ไหนไม่เห็นมีการอ้างอิงมาจากพระไตรปิฎกเลยแม้นสักหนึ่งตัวอักษร บริสุทธิ์บริบูรณ์ด้วยอัตถะและพยัญชนะข้อมูลจากนักวิทย์ทั้งนั้นเลย
4.ที่บอกว่าศาสนาพุทธดับทุกข์ได้ จึงประสพความสำเร็จกว่าวิทย์ก็ไม่จริง เช่นถ้าอากาศร้อน พุทธสอนให้กำหนดจิต นิ่ง ภาวนาร้อนหนอๆ แต่วิทย์คิดค้น ประดิษฐ์แอร์ เครื่องปรับอากาศมาให้มนุาย์ทั่วโลกใช้ ทำให้ดับทุกข์ ดับร้อนได้จริง สิ่งอื่นๆก็เป็นแบบนี้หมด พุทธจะจมปลักอยู่กับปัญหาและเปลี่ยนวิธีคิด ส่วนวิทย์จะต่อสู้กับปัญหาและหาทางแก้ปัญหา
5.บางคนบอกให้ตัดบางส่วนออกไปเหลือแต่หลักธรรม คำถามคือเราจะรู้ได้ไงว่าควรตัดส่วนไหน ไม่ควรตัดส่วนไหน รู้ได้อย่างไรว่าอันไหนเป็นของจริง อันไหนเป็นของเท็จ เราไม่มีทางรู้ได้เลย แล้วจุดมุ่งหมายของพุทธมันเกี่ยวข้องกับเรื่องเหนือธรรมชาติ พวกวิญญาณ พวกชาตินห้า นิพพาน ซึ่งถ้าตัดออกไปศาสนาพุทธก็ต้องเป็นหมันอ่ะสิ เพราะจุดมุ่งหมายของพุทธมันเกี่ยวข้องกับเรื่องเหนือธรรมชาติ ตัดเรื่องเหนือธรรมชาติออกไปส่งผลให้จุดมุ่งหมายของพุทธมันก็หมดความหมาย
คือถ้าบอกว่าทำดีสุดท้ายเพื่อไปนิพพานคือความดับทุกข์สิ้งเชิง ไม่ต้องไปเกิดอีก แต่ความจริงคือตายแล้วสูญยังไงก็เหมือนกับไปนิพพานทุกคนอยู่แล้ว ไม่ว่าจะดีจะเลว
เห็นไหม นี่คือปัญหา
6..ในกระทู้เก่ามีความเห็นผิดเยอะมากกกก การศึกษาขั้นพื้นฐาน อนุบาลถึงมอหก สถานศึกษาทั้งโรงเรียนและมหาวิทยาลัยจำนวนมากในประเทศไม่ได้ช่วยอะไรเลยหรือ
เช่น ความเห็นลอกอินสู้เพื่อเธอ บอกว่า
ชีวิตคือ รูป + นาม (จิต และ เจตสิก)
-------------------------------------
ผมบอกแล้วว่าหลักการ การแบ่งสิ่งต่างในพุทธมันผิดไม่ถูกต้อง เพราะไม่ได้อยู่บนพื้นฐานความจริง
ความจริงก็คือ สิ่งมีชีวิตประกอบด้วยเซลล์ โดยทั่วไปบนโลกนี้ เราสามารถจำแนกสิ่งมีชีวิตออกจากสิ่งไม่มีชีวิตได้โดยไม่ยาก อย่างไรก็ตามการจำแนกสิ่งที่มีขนาดเล็กจนไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าและมีการเปลี่ยนแปลงช้าว่าเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่นั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย อาจต้องใช้เครื่องมือในการทดสอบหรือเฝ้าติดตามดูการเปลี่ยนแปลงเป็นระยะเวลานาน ดังนั้นในการพิสูจน์สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่บนดาวดวงอื่นจึงเป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะปัจจัยและสภาพแวดล้อมไม่เหมือนบนโลกและอาจอยู่นอกเหนือจินตนาการของมนุษย์
นักวิทยาศาสตร์จึงกำหนดสมบัติของสิ่งมีชีวิตอย่างที่เรารู้จักกันบนโลก (Earth's life forms) ดังนี้
-มีองค์ประกอบเป็นคาร์บอน
-มีเนื้อเยื่อหรือผนัง ไว้สร้างสภาพแวดล้อมภายใน
-ต้องใช้พลังงานเพื่อที่จะรักษาสถานภาพของระบบภายใน
-ต้องการน้ำในสถานะของเหลว
-มีความสามารถในการสกัดพลังงานจากสิ่งแวดล้อม
-กระบวนการเผาผลาญภายใน (Metabolic) นำมาซึ่งการแลกเปลี่ยนสสารทั้งในสถานะแก๊ส ของเหลว และของแข็ง (เช่น ต้องการนำเข้าวัตถุดิบและปลดปล่อยของเสีย)
-มีการเจริญเติบโต การแบ่งเซลล์ การสืบพันธ์ (Reproduction) หรือการจำลองแบบตัวเอง (Replication)
-มีการวิวัฒนาการปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อม
ศาสนาพุทธจะเขียนหลักธรรมอะไร แบ่งอะไร อย่างไรก็ได้ เพราะไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานความจริง แต่ถ้าคุณสนใจอยากรู้ความจริงต้องมาศึกษาวิทยาศาสตร์ คุณจะค้นพบความจริง ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ไม่ใช่จะเขียนอะไรก็ได้ แต่จะเขียนเรื่องของข้อมูลความรู้ที่ชัดเจนชุดหนึ่ง เพราะมีพื้นฐานมาจากความจริงเกิดจากการสังเกต และทดลอง
------------------------------------------
ผมมีประเด็นอยากจะชี้แจงอีกบ้าง แต่หลักๆก็มีเพียงเท่านี้
ต่อเนื่องจากกระทู้ บุคคลในปวศที่ผมชอบ5อันดับแรกมีนักวิทย์ 4 และพระพุทธเจ้า 1 แต่ตอนนี้จะเป็นนักวิทยาศาสตร์หมดเลย 5 คน?
ติดใจหลายประเด็นกับคำตอบ จนถึงกับตกใจกับคำตอบ ในเมื่อบัวมี 3 เหล่า ต้องใช้คำอธิบายละเอียดคงจะพอช่วยได้ ได้ไม่ต้องเป็นอาหารเต่า
------------------------------------
ข้อความจากกระทู้เดิม
ตอนเด็กๆผมให้พระพุทธเจ้าเป็นบุคคลใน ปวศ ที่ผมชื่อชอบอันดับ 1 รองลงมาเป็นนักวิทยาศาสตร์หมด
เพราะพอโตขึ้นเริ่มรู้สึกว่า เหตุการณ์ต่างๆในพระไตรปิฎกมันพิสดาร เหมาะเจาะ บังเอิญ เหลือเชื่อ การดำเนินเรื่องราวต่างๆคล้ายกับนิยายมากกว่าเป็นเรื่องจริง คนอะไรจะพิเศษขนาดนั้น ชีวประวัติของพระพุทธเจ้าดูไม่น่าจะเป็นเรื่องจริง ผมคิดเองว่าบางทีศาสนาพุทธอาจจะเป็นการคิดของหลายๆคน หรือเป็นการคิดของคนๆเดียว แต่ท่านคนนั้นก็ต้องเป็นคนเดินดินปกติธรรมดาเหมือนคนทั่วไป แต่ยุคหลังถูกเพิ่มสิ่งต่างๆเข้าไปให้ดูมหัสจรรย์ เมื่อมันขาดหลักฐาน ดูไม่ชัดเจน ผมจึงตัดพระพุทธเจ้าออกไปจากบุคคลในปวศที่ผมชอบ
แต่นักวิทยาศาสตร์นี่มีผลงานจริงๆ เรื่องราวมีเหตุมีผลจับต้องได้ ประวัติชีวิตไม่ได้พิสดาร มหัศจรรย์ขนาดนั้น แต่สร้างผลงานยิ่งใหญ่ออกมาเพราะความอัจฉริยะ ความรัก การทำงานอย่างจริงจังมุ่งมานะไม่ย่อท้อ นี่จึงเป็นโรลโมเดลแบบอย่างให้ผมในการดำเนินชีวิต การค้นหาความจริงของเอกภพช่างเป็นเรื่องที่น่าติดตาม น่าค้นหา แม้มีชีวิตอยู่เพียงราตรีเดียวเพื่อค้นหาการทำงานของธรรมชาติก็ขึ้นชื่อว่าเป็น สัตบุรุษ
http://pantip.com/topic/34573832
-----------------------------------------------------------------------
หลายคนบอกว่าพระพุทธเจ้าเป็นนักวิทย์ที่เก่งที่สุดในโลก บอกว่าผมยังไม่โตจึงคิดได้อค่นี้ บอกว่าเพราะไม่ปฎิบัติธรรมจึงไม่รู้เรื่องราว
ขออธิบายเป็นข้อๆดังนี้
1.ทีบอกว่าไม่ปฎิบัติจึงไม่รู้เรื่องราว หมายถึงอะไร หมายถึงนั่งสมาธิ เดินจงกลม แล้วจิตใจมโนไปว่าได้ญาณวิเศษอันนี้ๆ มีทิพจักษุ อะไรแบบนี้อ่ะหรอ ความจริงก็คือมันไม่มีจริง หลายงานวิจัยของวิทย์บอกว่าการนั่งสมาธิไม่ได้ช่วยอะไร มีผลอะไรต่อร่างกายเลย ที่คุณไปเห็นสิ่งต่างๆเป็นการมโนขึ้นของคุณทั้งนั้น
2.จริงๆผมไม่อยากเอาความจริงมาพูดหรอกนะ เพราะอาจทำร้ายจิตใจบางคน นั่นก็คือตายแล้วสูญ ทุกคนก็ต้องตาย ตายแล้วก็สูญ ที่พระพุทธเจ้าอ้างว่าคิดการดับทุกข์ได้ ปรินิพพานแล้วก็ไปนิพพาน หนทางดับทุกข์ จึงไม่เป็นความจริง เพราะตายแล้วสูญหมดอยู่แล้วทุกคน อันนี้ที่บอกว่าคิดหนทางดับทุกข์ได้จึงไม่จริง ขอเน้นย้ำตายแล้วสูญ ทุกคนก็ต้องตาย ตายแล้วก็สูญ ที่พระพุทธเจ้าอ้างว่าคิดการดับทุกข์ได้ ปรินิพพานแล้วก็ไปนิพพาน หนทางดับทุกข์ จึงไม่เป็นความจริง เพราะตายแล้วสูญหมดอยู่แล้วทุกคน อันนี้ที่บอกว่าคิดหนทางดับทุกข์ได้จึงไม่จริง
3.กระทู้นั้นมีผู้เคลมว่า พระพุทธเจ้าเข้าใจการทำงานของจิตใจ วิญญาณทรงเป็นอัจฉริยะเหนือนักวิทย์ทั้งปวง แต่ที่ผมไปอ่านหลักธรรมดู ก็พบว่าผิดจากความเป็นจริงอย่างยิ่ง เป็นการแยกกายกับจิตออกจากกันเหมือนนักปรัชญาธรรมชาติในยุโรปที่ทำผิดมาเหมือนกัน แต่สุดท้ายนักวิทย์เขารู้แล้วว่า มีแต่ร่างกาย สมอง ไม่มีจิต ไอ้หลักธรรมต่างๆ จัดหมวดแบ่งนู่นแบ่งนี่เป็นกี่อย่างๆ เอาจริงๆแล้วมันผิด มันไม่มีจริง เป็นหมัน เป็นเท็จไม่ถูกต้อง ตั้งอยู่บนความเท็จ อยากรู้ว่าอะไรถูกต้อง ให้ไปเรียนชีววิทยา ประสาทวิทยา เรานักวิทย์ค้นพบความรู้เรื่องสมองมากขึ้นเรื่อยๆ และเราพอรู้หลักการทำงานของสมอง ในภาพรวมคร่าวๆแล้ว เป็นความรู้ที่ถูกต้องสวยงามในเบื้องต้น ท่ามกลาง และปลาย เทียบอันหนึ่งเป็นความรู้ผิดๆ อีกอันหนึ่งรู้เยอะมาก เจริญขึ้นเรื่อยๆ เป็นความจริง เอาความรู้ไปรักษาคนไข้ได้ ก็พอจะบอกได้แล้วว่าอะไรเป็นอย่างไร
https://en.wikipedia.org/wiki/Human_brain
สนใจไปอ่านดูมีแต่ความรู้วิทย์ทั้งนั้น แต่ไหนไม่เห็นมีการอ้างอิงมาจากพระไตรปิฎกเลยแม้นสักหนึ่งตัวอักษร บริสุทธิ์บริบูรณ์ด้วยอัตถะและพยัญชนะข้อมูลจากนักวิทย์ทั้งนั้นเลย
4.ที่บอกว่าศาสนาพุทธดับทุกข์ได้ จึงประสพความสำเร็จกว่าวิทย์ก็ไม่จริง เช่นถ้าอากาศร้อน พุทธสอนให้กำหนดจิต นิ่ง ภาวนาร้อนหนอๆ แต่วิทย์คิดค้น ประดิษฐ์แอร์ เครื่องปรับอากาศมาให้มนุาย์ทั่วโลกใช้ ทำให้ดับทุกข์ ดับร้อนได้จริง สิ่งอื่นๆก็เป็นแบบนี้หมด พุทธจะจมปลักอยู่กับปัญหาและเปลี่ยนวิธีคิด ส่วนวิทย์จะต่อสู้กับปัญหาและหาทางแก้ปัญหา
5.บางคนบอกให้ตัดบางส่วนออกไปเหลือแต่หลักธรรม คำถามคือเราจะรู้ได้ไงว่าควรตัดส่วนไหน ไม่ควรตัดส่วนไหน รู้ได้อย่างไรว่าอันไหนเป็นของจริง อันไหนเป็นของเท็จ เราไม่มีทางรู้ได้เลย แล้วจุดมุ่งหมายของพุทธมันเกี่ยวข้องกับเรื่องเหนือธรรมชาติ พวกวิญญาณ พวกชาตินห้า นิพพาน ซึ่งถ้าตัดออกไปศาสนาพุทธก็ต้องเป็นหมันอ่ะสิ เพราะจุดมุ่งหมายของพุทธมันเกี่ยวข้องกับเรื่องเหนือธรรมชาติ ตัดเรื่องเหนือธรรมชาติออกไปส่งผลให้จุดมุ่งหมายของพุทธมันก็หมดความหมาย
คือถ้าบอกว่าทำดีสุดท้ายเพื่อไปนิพพานคือความดับทุกข์สิ้งเชิง ไม่ต้องไปเกิดอีก แต่ความจริงคือตายแล้วสูญยังไงก็เหมือนกับไปนิพพานทุกคนอยู่แล้ว ไม่ว่าจะดีจะเลว
เห็นไหม นี่คือปัญหา
6..ในกระทู้เก่ามีความเห็นผิดเยอะมากกกก การศึกษาขั้นพื้นฐาน อนุบาลถึงมอหก สถานศึกษาทั้งโรงเรียนและมหาวิทยาลัยจำนวนมากในประเทศไม่ได้ช่วยอะไรเลยหรือ
เช่น ความเห็นลอกอินสู้เพื่อเธอ บอกว่า
ชีวิตคือ รูป + นาม (จิต และ เจตสิก)
-------------------------------------
ผมบอกแล้วว่าหลักการ การแบ่งสิ่งต่างในพุทธมันผิดไม่ถูกต้อง เพราะไม่ได้อยู่บนพื้นฐานความจริง
ความจริงก็คือ สิ่งมีชีวิตประกอบด้วยเซลล์ โดยทั่วไปบนโลกนี้ เราสามารถจำแนกสิ่งมีชีวิตออกจากสิ่งไม่มีชีวิตได้โดยไม่ยาก อย่างไรก็ตามการจำแนกสิ่งที่มีขนาดเล็กจนไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าและมีการเปลี่ยนแปลงช้าว่าเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่นั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย อาจต้องใช้เครื่องมือในการทดสอบหรือเฝ้าติดตามดูการเปลี่ยนแปลงเป็นระยะเวลานาน ดังนั้นในการพิสูจน์สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่บนดาวดวงอื่นจึงเป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะปัจจัยและสภาพแวดล้อมไม่เหมือนบนโลกและอาจอยู่นอกเหนือจินตนาการของมนุษย์
นักวิทยาศาสตร์จึงกำหนดสมบัติของสิ่งมีชีวิตอย่างที่เรารู้จักกันบนโลก (Earth's life forms) ดังนี้
-มีองค์ประกอบเป็นคาร์บอน
-มีเนื้อเยื่อหรือผนัง ไว้สร้างสภาพแวดล้อมภายใน
-ต้องใช้พลังงานเพื่อที่จะรักษาสถานภาพของระบบภายใน
-ต้องการน้ำในสถานะของเหลว
-มีความสามารถในการสกัดพลังงานจากสิ่งแวดล้อม
-กระบวนการเผาผลาญภายใน (Metabolic) นำมาซึ่งการแลกเปลี่ยนสสารทั้งในสถานะแก๊ส ของเหลว และของแข็ง (เช่น ต้องการนำเข้าวัตถุดิบและปลดปล่อยของเสีย)
-มีการเจริญเติบโต การแบ่งเซลล์ การสืบพันธ์ (Reproduction) หรือการจำลองแบบตัวเอง (Replication)
-มีการวิวัฒนาการปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อม
ศาสนาพุทธจะเขียนหลักธรรมอะไร แบ่งอะไร อย่างไรก็ได้ เพราะไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานความจริง แต่ถ้าคุณสนใจอยากรู้ความจริงต้องมาศึกษาวิทยาศาสตร์ คุณจะค้นพบความจริง ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ไม่ใช่จะเขียนอะไรก็ได้ แต่จะเขียนเรื่องของข้อมูลความรู้ที่ชัดเจนชุดหนึ่ง เพราะมีพื้นฐานมาจากความจริงเกิดจากการสังเกต และทดลอง
------------------------------------------
ผมมีประเด็นอยากจะชี้แจงอีกบ้าง แต่หลักๆก็มีเพียงเท่านี้