กุศล และ อกุศล มันเข้าไม่ถึงใจหรอกนะ กุศลและอกุศล มันเป็นเพียงความรู้สึกของใจเท่านั้น เพียงแต่ใจมีอวิชชาไปยึดเท่านั้นเอง
เมื่อหมดอวิชชาแล้ว ใจอยู่เหนือกุศล และ อกุศล ทันทีเลยนะ บรรลุธรรมเมื่อไหร่ ใจก็อยู่เหนือกุศล อกุศล ทันที!!!
แต่สัตวทั้งหลาย ละไม่ได้ อย่าว่าแต่ความรู้สึกทางใจเลย ร่างกายก็ว่าเป็นตัวกูของกู เวทนาก็ว่าเป็นตัวกูของกู ความจำก็ว่าเป็นตัวกูของกู
ความคิดก็ว่าเป็นตัวกูของกู วิญญาณ(ธาตุรู้หรือความรู้สึกทางใจ)ก็ว่าเป็นตัวกูของกู
อย่างพวกฤๅษีเวลาท่านเข้าฌาน ท่านก็ไปแช่นิ่งในความรู้สึกทรงอารมณ์ความรู้สึกที่เป็นฝ่ายกุศลเอาใว้ไม่ให้เคลื่อนๆไปฝืนธรรมชาติ เมื่อใจมันสงบมากๆเพราะอาศัยความรู้สึกที่สงบกดข่มกิเลสใว้ ใจก็ไม่เห็นความจริง ไม่เห็นความจริงว่า ร่างกายไม่ใช่ตัวตน เวทนาไม่ใช่ตัวตน สัญญาไม่ใช่ตัวตน สังขารไม่ใช่ตัวตน วิญญาณไม่ใช่ตัวตน ฤๅษีท่านไม่รู้ใจท่านไม่เห็น เพราะใจกำลังดื่มอิ่มในความอารมณ์ความรู้สึกที่ทรงใว้ แช่นิ่งใว้ด้วยเหตุนี้ใจจึงไม่เห็นความจริง ของธรรมชาติ กิเลสน้อยใหญ่จึงไม่ได้ถูกถอดถอน เพราะใจไปทรงความรู้สึกที่เป็นกุศลแช่นิ่งใว้อย่างนั้น ใจก็ยึดความรู้สึกนั้นเป็นตัวกูของกู จึงนำพาท่านไปพรหมโลก เมื่อท่านสิ้นชีวิต จะพรหมชั้นไหนนั้น อยู่ที่ความรู้สึกที่ท่านทรงใว้ไม่เสื่อม!!! ส่วนสมาธิเป็นไปเพื่อบรรลุธรรม อย่างต่ำใจต้องเข้าถึงฌาณ4 เว้นใว้เสียแต่พระอรหันต์สุกขวิปัสสโก เพราะท่านบรรลุธรรมอาศัยเพียงปฐมฌาน เมื่อใจที่จะบรรลุธรรม ใจที่จะรู้แจ้งในคณะทำสมาธินั้น ใจจะเห็นพระไตรลักษ์ เมื่อใจสงบร่างกายหายไป ใจจะเห็นความจริงว่าร่างกายไม่ใช่ตัวตน เมื่อเวทนาหายไปใจจะยอมรับว่าเวทนาไม่ใช่ตัวตน เมื่อสัญญาหายไปใจจะยอมรับว่าสัญญาไม่ใช่ตัวตน เมื่อสังขารปรุงแต่งหายไปใจจะยอมรับว่าสังขารไม่ใช่ตัวตน เมื่อวิญญาณหายไปใจจะยอมรับว่าวิญญาณไม่ใช่ตัวตน การที่ใจจะเห็นแจ้งได้เช่นนี้ สติต้องแก่กล้าบริบูรณ์ ครบองค์ ศิล สมาธิ ปัญญา ประชุมลงพร้อมที่ใจ ใจจะมีสติแก้กล้าในการรู้เห็นธรรม เมื่อออกจากสมาธิมา ใจจะยอมรับความจริง ว่าร่างกายไม่ใช่ตัวตน ใจจึงไม่ฝืนร่างกาย ร่างกายจะเจ็บ จะแก่ ใจก็ยอมรับ ว่าร่างกายไม่ใช่เรามันเป็นธรรมดา เวทนาเกิดขึ้นใจก็ยอมรับว่าเวทนาไม่ใช่เราเวทนาเป็นธรรมดา สัญญาจำอะไรไม่ได้ใจก็ยอมรับว่าสัญญาไม่ใช่เราสัญญาเป็นธรรมดา สังขารปรุงแต่ง(ความคิด)ใจก็ยอมรับว่าสังขารไม่ใช่เราสังขารเป็นธรรมดา วิญญาณ(ธาตุรู้ หรือ รู้สึกทางใจ) ไม่ว่าจะมีสิ่งใดกระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ความรู้สึกจะส่งไปถึงใจ ใจจะยอมรับว่าวิญญาณไม่ใช่เรา วิญญาณเป็นธรรมดา เมื่อใจยอมรับกฏธรรมดาเช่นนี้ ใจจะไม่ทุกข์อีกเลย ใจต้องเห็นธรรมด้วยใจตนเอง ไม่ใช่นั่งนึกคิดเอาเอง ต้องปฏิบัติให้ใจมันเห็น ใจมันถึงจะยอมรับความจริง ถ้าไม่ปฏิบัติให้ใจมันเห็นความจริง ความคิดอาจบอกว่า ขันธ์5ไม่ใช่เรา เราไม่ยึดขันธ์5 เผลอแปบเดียว ใจมันไปยึดขันธ์5ตามเดิม เพราะอะไร เพราะใจมันไม่เห็นความจริง สมองมันเห็นใจมันยังไม่เห็น ต้องทำให้ใจมันเห็นความจริงให้ได้ ถ้าจะใช้ทางปัญญา ให้เจริญสติปัฏฐาน4 เอาอย่างต่ำให้ได้ปฐมฌาณ ให้ใจมันควรแก่การงาน ใจจะสงบ แล้วฝึกใจตนเสีย ฝึกใจตนด้วยปัญญา ให้เห็นว่าโลกนี้เป็นของว่าง แล้วไม่มีเราในโลกนี้ ไม่มีเราในโลกหน้า ไม่มีเราในโลกอื่นๆ สอนใจด้วยปัญญาให้ใจมันยอมรับความจริงนี้โดยอาศัยปฐมฌาณเป็นอย่างต่ำ เพราะถ้าใจไม่ถึงปฐมฌาณไม่มีทางบรรลุธรรมได้เลย เพราะนิวรณ์5มันขวาง จะเจริญปัญญาไปไม่รอด ตัดกิเลสไม่ขาด แต่ถ้าเดินทางสมาธิก็ให้ทำสมาธิลงไปให้ใจมันรวมลงไป ตามลำดับให้ใจมันเป็นความจริง ถ้าใจมันเห็นความจริงตามที่กล่างใว้ข้างต้นแล้ว ใจดวงนี้จะไม่มีผู้ใดมาสามารถบิดเบือนได้เลย เพราะเห็นแจ้งเฉพาะตนแล้ว แต่สมัยนี้ผู้ที่จะบรรลุธรรมด้วยสมาธิหายากมาก เพราะผู้ที่บรรลุธรรมในสมาธิต้องหาที่สงบ วิเวก ป่าลึก ใจถึงจะรวมลงได้ง่าย
แสดงโดย 555
กุศล และ อกุศล มันเข้าไม่ถึงใจหรอกนะ กุศลและอกุศล มันเป็นเพียงความรู้สึกของใจเท่านั้น เพียงแต่ใจมีอวิชชาไปยึดเท่านั้นเอง
เมื่อหมดอวิชชาแล้ว ใจอยู่เหนือกุศล และ อกุศล ทันทีเลยนะ บรรลุธรรมเมื่อไหร่ ใจก็อยู่เหนือกุศล อกุศล ทันที!!!
แต่สัตวทั้งหลาย ละไม่ได้ อย่าว่าแต่ความรู้สึกทางใจเลย ร่างกายก็ว่าเป็นตัวกูของกู เวทนาก็ว่าเป็นตัวกูของกู ความจำก็ว่าเป็นตัวกูของกู
ความคิดก็ว่าเป็นตัวกูของกู วิญญาณ(ธาตุรู้หรือความรู้สึกทางใจ)ก็ว่าเป็นตัวกูของกู
อย่างพวกฤๅษีเวลาท่านเข้าฌาน ท่านก็ไปแช่นิ่งในความรู้สึกทรงอารมณ์ความรู้สึกที่เป็นฝ่ายกุศลเอาใว้ไม่ให้เคลื่อนๆไปฝืนธรรมชาติ เมื่อใจมันสงบมากๆเพราะอาศัยความรู้สึกที่สงบกดข่มกิเลสใว้ ใจก็ไม่เห็นความจริง ไม่เห็นความจริงว่า ร่างกายไม่ใช่ตัวตน เวทนาไม่ใช่ตัวตน สัญญาไม่ใช่ตัวตน สังขารไม่ใช่ตัวตน วิญญาณไม่ใช่ตัวตน ฤๅษีท่านไม่รู้ใจท่านไม่เห็น เพราะใจกำลังดื่มอิ่มในความอารมณ์ความรู้สึกที่ทรงใว้ แช่นิ่งใว้ด้วยเหตุนี้ใจจึงไม่เห็นความจริง ของธรรมชาติ กิเลสน้อยใหญ่จึงไม่ได้ถูกถอดถอน เพราะใจไปทรงความรู้สึกที่เป็นกุศลแช่นิ่งใว้อย่างนั้น ใจก็ยึดความรู้สึกนั้นเป็นตัวกูของกู จึงนำพาท่านไปพรหมโลก เมื่อท่านสิ้นชีวิต จะพรหมชั้นไหนนั้น อยู่ที่ความรู้สึกที่ท่านทรงใว้ไม่เสื่อม!!! ส่วนสมาธิเป็นไปเพื่อบรรลุธรรม อย่างต่ำใจต้องเข้าถึงฌาณ4 เว้นใว้เสียแต่พระอรหันต์สุกขวิปัสสโก เพราะท่านบรรลุธรรมอาศัยเพียงปฐมฌาน เมื่อใจที่จะบรรลุธรรม ใจที่จะรู้แจ้งในคณะทำสมาธินั้น ใจจะเห็นพระไตรลักษ์ เมื่อใจสงบร่างกายหายไป ใจจะเห็นความจริงว่าร่างกายไม่ใช่ตัวตน เมื่อเวทนาหายไปใจจะยอมรับว่าเวทนาไม่ใช่ตัวตน เมื่อสัญญาหายไปใจจะยอมรับว่าสัญญาไม่ใช่ตัวตน เมื่อสังขารปรุงแต่งหายไปใจจะยอมรับว่าสังขารไม่ใช่ตัวตน เมื่อวิญญาณหายไปใจจะยอมรับว่าวิญญาณไม่ใช่ตัวตน การที่ใจจะเห็นแจ้งได้เช่นนี้ สติต้องแก่กล้าบริบูรณ์ ครบองค์ ศิล สมาธิ ปัญญา ประชุมลงพร้อมที่ใจ ใจจะมีสติแก้กล้าในการรู้เห็นธรรม เมื่อออกจากสมาธิมา ใจจะยอมรับความจริง ว่าร่างกายไม่ใช่ตัวตน ใจจึงไม่ฝืนร่างกาย ร่างกายจะเจ็บ จะแก่ ใจก็ยอมรับ ว่าร่างกายไม่ใช่เรามันเป็นธรรมดา เวทนาเกิดขึ้นใจก็ยอมรับว่าเวทนาไม่ใช่เราเวทนาเป็นธรรมดา สัญญาจำอะไรไม่ได้ใจก็ยอมรับว่าสัญญาไม่ใช่เราสัญญาเป็นธรรมดา สังขารปรุงแต่ง(ความคิด)ใจก็ยอมรับว่าสังขารไม่ใช่เราสังขารเป็นธรรมดา วิญญาณ(ธาตุรู้ หรือ รู้สึกทางใจ) ไม่ว่าจะมีสิ่งใดกระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ความรู้สึกจะส่งไปถึงใจ ใจจะยอมรับว่าวิญญาณไม่ใช่เรา วิญญาณเป็นธรรมดา เมื่อใจยอมรับกฏธรรมดาเช่นนี้ ใจจะไม่ทุกข์อีกเลย ใจต้องเห็นธรรมด้วยใจตนเอง ไม่ใช่นั่งนึกคิดเอาเอง ต้องปฏิบัติให้ใจมันเห็น ใจมันถึงจะยอมรับความจริง ถ้าไม่ปฏิบัติให้ใจมันเห็นความจริง ความคิดอาจบอกว่า ขันธ์5ไม่ใช่เรา เราไม่ยึดขันธ์5 เผลอแปบเดียว ใจมันไปยึดขันธ์5ตามเดิม เพราะอะไร เพราะใจมันไม่เห็นความจริง สมองมันเห็นใจมันยังไม่เห็น ต้องทำให้ใจมันเห็นความจริงให้ได้ ถ้าจะใช้ทางปัญญา ให้เจริญสติปัฏฐาน4 เอาอย่างต่ำให้ได้ปฐมฌาณ ให้ใจมันควรแก่การงาน ใจจะสงบ แล้วฝึกใจตนเสีย ฝึกใจตนด้วยปัญญา ให้เห็นว่าโลกนี้เป็นของว่าง แล้วไม่มีเราในโลกนี้ ไม่มีเราในโลกหน้า ไม่มีเราในโลกอื่นๆ สอนใจด้วยปัญญาให้ใจมันยอมรับความจริงนี้โดยอาศัยปฐมฌาณเป็นอย่างต่ำ เพราะถ้าใจไม่ถึงปฐมฌาณไม่มีทางบรรลุธรรมได้เลย เพราะนิวรณ์5มันขวาง จะเจริญปัญญาไปไม่รอด ตัดกิเลสไม่ขาด แต่ถ้าเดินทางสมาธิก็ให้ทำสมาธิลงไปให้ใจมันรวมลงไป ตามลำดับให้ใจมันเป็นความจริง ถ้าใจมันเห็นความจริงตามที่กล่างใว้ข้างต้นแล้ว ใจดวงนี้จะไม่มีผู้ใดมาสามารถบิดเบือนได้เลย เพราะเห็นแจ้งเฉพาะตนแล้ว แต่สมัยนี้ผู้ที่จะบรรลุธรรมด้วยสมาธิหายากมาก เพราะผู้ที่บรรลุธรรมในสมาธิต้องหาที่สงบ วิเวก ป่าลึก ใจถึงจะรวมลงได้ง่าย
แสดงโดย 555