เมื่ออาทิตย์ก่อน มีลูกหมาตัวหนึ่ง เดินเข้าไปกินอาหารกับรุ่นพี่ เลยโดนรุ่นพี่รังแกด้วยการใช้ปากที่มีเขี้ยวแหลมคมขย้ำ ลงไปที่ลูกหมาตัวนั้นทันที ท่ามกลางสายตาหลายสิบคู่ ที่ตกตะลึงพรึงเพริดกับเหตุการณ์สะเทือนใจ ทันทีที่ลูกหมาตัวนั้นโดนขย้ำ มันร้องโหยหวน เหมือนเจ็บปวดสุดแสน พร้อมกับหมอบนอนชักกระตุกอยู่หลายครั้ง
ผู้ใจบุญหลายท่านต่างวิ่งเข้าไปไล่หมาใหญ่ตัวนั้นที่ทำร้ายลูกหมาตัวน้อย หมาใหญ่ทั้งวงกว่าสิบตัวที่ล้อมวงหม่ำอาหารต่างแตกฮือกระจายไปหมดเลย
เมื่อจับไปที่หัวลูกหมาตัวน้อย ก็ต้องตกใจ เพราะรู้ได้ว่า กระโหลกภายใต้หนังนั้น ได้แตกออกเป็นสองเสี่ยง แต่ภายนอกกลับไม่มีบาดแผลเลยนะ ลูกหมาตัวน้อยยังคงร้องๆๆๆๆ พร้อมกับค่อยๆตัวเกร็งนอนเหยียดหายใจรวยริน เหมือนประหนึ่งจะลาจากโลกนี้ไป
ภาพที่เห็นตอนนั้น ทุกคนสรุปว่า " ตายแน่ๆ " เพราะ เขาฉี่แตก ขรี้แตก เสียงร้องก็ค่อยๆเบาลง กลายเป็นเสียงครวญคราง เบาๆ พร้อมกับมีดวงตาที่สะลึมสะลือ ตาจะปิดไม่ปิดแหล่ คือ ดูแล้วเค้าน่าจะปวดมาก
ก็เลยต้องปล่อยให้เขานอนนิ่งๆ คิดว่ามาถึงขนาดนี้ยังไงก็ไม่รอด ลูกหมาน้อยนอนแน่นิ่ง หายใจรวยรินถึง ๓ ช.ม. จนมดหลายตัวเริ่มเดินมาใต่ตามหน้าตาเขา ระหว่างนี้ ผู้ใจบุญหลายท่าน ก็วนเวียนผลัดกันดูอยู่ จึงช่วยกันหาลังกระดาษมาช้อนตัวเขาขึ้น พร้อมกับย้ายเข้าไปในที่ร่ม
จวบจนบ่ายๆ ลูกหมาน้อยก็ยังไม่ขาดใจ จึงหาน้ำให้กินโดยเอาน้ำสะอาดไปแตะๆที่ปากเขา ๆ ก็กินแบบเสียไม่ได้ (หรือเพราะไม่มีกะจิตกะใจที่จะกิน) ด้วยที่ว่าสถานที่เกิดเหตุนั้นเป็นที่ห่างไกลจากหมอยา จึงมีผู้ใจบุญเสนอว่า น่าจะหายาสมุนไพรที่น่าจะพอหาได้ มารักษาอาการปวดหัวของลูกหมาน้อย พลันก็คิดได้ว่า น้ำในต้นกล้วยมีสรรพคุณรักษาแผลเบาหวาน สมานแผลได้ดี
จึงหาช้อนกินข้าว เดินไปที่ต้นกล้วย แล้วเอาด้ามช้อนเสียบเข้าไปที่บริเวณโคนต้น ทันใดนั้นเอง น้ำในต้นกล้วยก็ไหลลงมาทันทีตามร่องด้ามช้อน จึงเอาชามรีบรองน้ำนั้นไว้ เมื่อได้น้ำฝาดจากต้นกล้วยแล้ว ก็เอาน้ำนั้นทาชโลมลงไปที่หัวหมาน้อย เจ้าหมาน้อยก็ยังนอนแบบอ่อนเปลี้ยไม่มีแรง หนึ่งในผู้ใจบุญอีกท่าน จึงเสนอให้ใช้วิธีโบราณรักษา ดูดพิษ
โดยนำหมาน้อยลงนอนในกองทราย แล้วก็โกยทรายหุ้มตัวไว้เหลือไว้แต่หัวให้เขาหายใจได้ ถึงตรงนี้ เขาก็ยังนอนหายใจรวยรินแบบไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้นหลายชั่วโมง ถึงตอนเย็น อากาศหนาวมาแล้ว จึงหาของมาคลุมตัวไว้เพื่อกันไม่ให้หมาตัวอื่นมาโดน เพราะมีหมาหลายตัวเดินมาดมๆ บ้างก็เอาขาเขี่ยก็มี
เวลาผ่านไปทั้งคืน เช้ามาดูปรากฏว่า ลูกหมาหายไปจากตรงนั้น จึงออกตามหา พบว่า แม่หมาเอาเขาไปนอนกกให้ความอบอุ่นคลายหนาว พอแม่หมาลุกขึ้น ก็เห็นลูกหมานั้นค่อยๆยกหัวขึ้น โงนเงนๆ แล้วก็ค่อยๆยันตัวขึ้นยืนแบบโงนเงน ใช่ครับ มันรอด รอดเพราะอะไร อาจยังไม่ถึงคราว แต่ก็น่าจะใช้กรรมไปแล้ว
วันสองวันต่อจากนี้ ต้องคอยกันไม่ให้ลูกหมาตัวอื่นๆ ไปกระทบกระทั่งเขา เพราะทุกครั้งที่ไปโดนหัว เขาจะร้องครางดังลั่น
ถึงวันนี้ ครบอาทิตย์หนึ่งแล้ว ลูกหมาน้อย กลับมากินข้าวได้ กินนมได้ แต่เวลากินอะไร เหมือนๆว่า ตาจะมองไม่เห็น ต้องเอาตาอีกข้างมองแล้วก็เอียงหน้าเอียงปากกิน ลองจับที่หัวก็รู้สึกได้ว่า กระดูกกระโหลกแตกแยกจากกัน และมีเหมือนเนื้อนุ่มๆ ดันนูนขึ้นมา
วันนี้ ผู้ใจบุญจึงเรียกน้องหมาตัวนี้ว่า น้องมะโหนก ๆ ยังคงได้รับความอบอุ่นจากแม่หมา และผู้ใจบุญหลายๆท่านที่คอยเอาอาหารและขนมให้กินแบบไม่ต้องให้ใครตัวไหนมาแย่ง หรือ ต้องไปแย่งกับตัวไหนอีก

ให้สังเกตุที่หัวเขานะ

ตอนห่มทราย ดูดพิษ

ภาพวันนี้ นอนเล่น หลังกินข้าว
น้องมะโหนก (หมาน้อย...ที่น่าสงสาร)
ผู้ใจบุญหลายท่านต่างวิ่งเข้าไปไล่หมาใหญ่ตัวนั้นที่ทำร้ายลูกหมาตัวน้อย หมาใหญ่ทั้งวงกว่าสิบตัวที่ล้อมวงหม่ำอาหารต่างแตกฮือกระจายไปหมดเลย
เมื่อจับไปที่หัวลูกหมาตัวน้อย ก็ต้องตกใจ เพราะรู้ได้ว่า กระโหลกภายใต้หนังนั้น ได้แตกออกเป็นสองเสี่ยง แต่ภายนอกกลับไม่มีบาดแผลเลยนะ ลูกหมาตัวน้อยยังคงร้องๆๆๆๆ พร้อมกับค่อยๆตัวเกร็งนอนเหยียดหายใจรวยริน เหมือนประหนึ่งจะลาจากโลกนี้ไป
ภาพที่เห็นตอนนั้น ทุกคนสรุปว่า " ตายแน่ๆ " เพราะ เขาฉี่แตก ขรี้แตก เสียงร้องก็ค่อยๆเบาลง กลายเป็นเสียงครวญคราง เบาๆ พร้อมกับมีดวงตาที่สะลึมสะลือ ตาจะปิดไม่ปิดแหล่ คือ ดูแล้วเค้าน่าจะปวดมาก
ก็เลยต้องปล่อยให้เขานอนนิ่งๆ คิดว่ามาถึงขนาดนี้ยังไงก็ไม่รอด ลูกหมาน้อยนอนแน่นิ่ง หายใจรวยรินถึง ๓ ช.ม. จนมดหลายตัวเริ่มเดินมาใต่ตามหน้าตาเขา ระหว่างนี้ ผู้ใจบุญหลายท่าน ก็วนเวียนผลัดกันดูอยู่ จึงช่วยกันหาลังกระดาษมาช้อนตัวเขาขึ้น พร้อมกับย้ายเข้าไปในที่ร่ม
จวบจนบ่ายๆ ลูกหมาน้อยก็ยังไม่ขาดใจ จึงหาน้ำให้กินโดยเอาน้ำสะอาดไปแตะๆที่ปากเขา ๆ ก็กินแบบเสียไม่ได้ (หรือเพราะไม่มีกะจิตกะใจที่จะกิน) ด้วยที่ว่าสถานที่เกิดเหตุนั้นเป็นที่ห่างไกลจากหมอยา จึงมีผู้ใจบุญเสนอว่า น่าจะหายาสมุนไพรที่น่าจะพอหาได้ มารักษาอาการปวดหัวของลูกหมาน้อย พลันก็คิดได้ว่า น้ำในต้นกล้วยมีสรรพคุณรักษาแผลเบาหวาน สมานแผลได้ดี
จึงหาช้อนกินข้าว เดินไปที่ต้นกล้วย แล้วเอาด้ามช้อนเสียบเข้าไปที่บริเวณโคนต้น ทันใดนั้นเอง น้ำในต้นกล้วยก็ไหลลงมาทันทีตามร่องด้ามช้อน จึงเอาชามรีบรองน้ำนั้นไว้ เมื่อได้น้ำฝาดจากต้นกล้วยแล้ว ก็เอาน้ำนั้นทาชโลมลงไปที่หัวหมาน้อย เจ้าหมาน้อยก็ยังนอนแบบอ่อนเปลี้ยไม่มีแรง หนึ่งในผู้ใจบุญอีกท่าน จึงเสนอให้ใช้วิธีโบราณรักษา ดูดพิษ
โดยนำหมาน้อยลงนอนในกองทราย แล้วก็โกยทรายหุ้มตัวไว้เหลือไว้แต่หัวให้เขาหายใจได้ ถึงตรงนี้ เขาก็ยังนอนหายใจรวยรินแบบไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้นหลายชั่วโมง ถึงตอนเย็น อากาศหนาวมาแล้ว จึงหาของมาคลุมตัวไว้เพื่อกันไม่ให้หมาตัวอื่นมาโดน เพราะมีหมาหลายตัวเดินมาดมๆ บ้างก็เอาขาเขี่ยก็มี
เวลาผ่านไปทั้งคืน เช้ามาดูปรากฏว่า ลูกหมาหายไปจากตรงนั้น จึงออกตามหา พบว่า แม่หมาเอาเขาไปนอนกกให้ความอบอุ่นคลายหนาว พอแม่หมาลุกขึ้น ก็เห็นลูกหมานั้นค่อยๆยกหัวขึ้น โงนเงนๆ แล้วก็ค่อยๆยันตัวขึ้นยืนแบบโงนเงน ใช่ครับ มันรอด รอดเพราะอะไร อาจยังไม่ถึงคราว แต่ก็น่าจะใช้กรรมไปแล้ว
วันสองวันต่อจากนี้ ต้องคอยกันไม่ให้ลูกหมาตัวอื่นๆ ไปกระทบกระทั่งเขา เพราะทุกครั้งที่ไปโดนหัว เขาจะร้องครางดังลั่น
ถึงวันนี้ ครบอาทิตย์หนึ่งแล้ว ลูกหมาน้อย กลับมากินข้าวได้ กินนมได้ แต่เวลากินอะไร เหมือนๆว่า ตาจะมองไม่เห็น ต้องเอาตาอีกข้างมองแล้วก็เอียงหน้าเอียงปากกิน ลองจับที่หัวก็รู้สึกได้ว่า กระดูกกระโหลกแตกแยกจากกัน และมีเหมือนเนื้อนุ่มๆ ดันนูนขึ้นมา
วันนี้ ผู้ใจบุญจึงเรียกน้องหมาตัวนี้ว่า น้องมะโหนก ๆ ยังคงได้รับความอบอุ่นจากแม่หมา และผู้ใจบุญหลายๆท่านที่คอยเอาอาหารและขนมให้กินแบบไม่ต้องให้ใครตัวไหนมาแย่ง หรือ ต้องไปแย่งกับตัวไหนอีก
ให้สังเกตุที่หัวเขานะ
ตอนห่มทราย ดูดพิษ
ภาพวันนี้ นอนเล่น หลังกินข้าว