อยากเป็นแค่มนุษย์เงินเดือนผิดด้วยหรอ?

สำหรับเรายังเป็นแค่นศที่เรียนมาได้เกินครึ่งทางละ เลยเริ่มวางแผนชีวิตไว้บ้าง ก่อนอื่นต้องบอกไว้ก่อนว่าเราจนต้องส่งตัวเองเรียน แต่เป็นคนง่ายๆ กินง่าย ใช้ชีวิตง่ายๆ ไม่ค่อยเหมือนวัยรุ่นทั่วไป เราไม่ชอบกินข้าวข้างนอกเพราะชอบทำกับข้าวกินเอง เราไม่ชอบเข้าร้านอาหารแพงๆหรือร้านเค้กกาแฟไรทั้งสิ้น เพราะเรามองว่ามันสิ้นเปลืองและเราไม่ชอบกินของพวกนี้เท่าไหร่ หรูสุดก็หมูกะทะ เฮฮาปาร์ตี้บ้างแล้วแต่บางโอกาส
เริ่มต้นจากเราเห็นเพื่อนเราหรือหลายๆคนฝันอยากจะเป็นอายุน้อยร้อยล้าน ฝันอยากจะมีธุรกิจเป็นของตัวเอง แชร์ไรต่างๆที่เป็นแรงบันดาลใจ และมองว่าการที่เรียนๆแล้วจบมาต้องไปเป็นลูกน้องเขามันไม่น่าภูมิใจเท่าไหร่นัก...แต่ทำไมเรากลับมองว่ามันน่าสนใจ(และปัจจุบันก็เป็นลูกน้องเขาอยู่) เรามองว่ามันก็มั่นคงนิ่ เห็นที่บ่นๆกันว่าเงินไม่พอก็เพราะฟุ่มเฟยทั้งนั้น เราอยากทำงานกินเงินเดือน มีวันหยุดก็หารายได้เสริม จัดการรายรับรับจ่าย รู้จักอดรู้จักออม ส่งเลี้ยงดูพ่อแม่ เก็บเงินไว้ยามเจ็บยามแก่ ฝากเงินประจำเก็บไว้ซื้อรถซื้อบ้าน อดทนอีกซัก6-7ปี ครบพอซื้อรถก็ค่อยซื้อ เพราะไม่อยากผ่อน อีกอย่างแว้นมอเตอร์ไซค์ นั่งรถโดยสารมาเป็น10กว่าปีละ ทนอีกไม่กี่ปีก็คงไม่เป็นไร เราไม่อยากเป็นหนี้ จะไม่ทำบัตรเครดิต อยากมากคงทำแค่เดบิต(เพื่อความสะดวก) จะผ่อนแค่อย่างเดียวคือบ้าน แต่6-7ปีแรกคงยังไม่ซื้อเพราะก็เป็นคนไร้บ้านมานาน ก็ทนอีกหน่อยนั่นแหละ(บ้านโดนธนาคารยึดตั้งแต่เด็กๆอาศัยอยู่กับคนนู้นทีคนนี้ที โตหน่อยก็เช่าหออยู่)
สิ่งที่เราคิดเราว่ามันเป็นไปได้นะ แต่หลายๆคนก็บอกมันเป็นไปไม่ได้หรอก เพ้อฝัน ยังไงจบไปก็เหมือนๆกันหมด ทำงานๆผ่อนนั่นผ่อนนี้ ไม่เหลืออะไร?
บางคนว่า คนรวยเขากล้าเสี่ยงกล้าทำ มีแต่คนจนที่ไม่กล้าเสี่ยงกล้าทำ
บางคนว่า เป็นลูกน้องเขา ก็เหมือนไปผลิตเงินให้เขา เจ้านายตายไปยังเหลือธุรกิจไว้ให้ลูก เราตายไปจะเหลืออะไรไว้ให้ลูกเรา?
บางคนว่า เรียนๆๆๆๆ จบมาก็ทำงานๆๆๆๆ แล้วก็ตายไปทั้งที่ยังไม่ได้ใช้เงิน
บางคนว่า ถ้าคิดแค่นี้ก็จะย่ำอยู่แค่นี้ ไม่ก้าวหน้า ทำงานเงินเดือน15000 อีกกี่100ปี จะมีเงินล้าน

แต่ในมุมของเรา
เรามองว่า ปลอดภัยไว้ก่อนไม่อยากเสี่ยง คือจะให้เราที่ๆมีแค่ตัวและแรงบันดานใจไปเสี่ยงอ่อ? ถ้าพลาดมาเราจะหันหน้าไปทางไหน บ้านก็ไม่มีเงินก็ไม่มีพ่อแม่ก็แก่แล้ว เป็นหนี้หัวโตขึ้นมาจะทำยังไง คนอื่นบอกล้มแล้วก็ลุกได้ แต่เราว่าพยายามอย่าล้มมันจะดีกว่ามั้ย? (เพราะมีบทเรียนจากครอบครัว) ทำงานเก็บตังเล็กๆน้อยๆ ค่อยๆหาธุรกิจเล็กๆทำควบคู่ไปกับงานประจำดีกว่ามั้ย เจ้งมายังมีงานทำ
เรามองว่า การที่มีคนมาบอกว่าเป็นแค่ลูกจ้างมันไม่ดีหรอก บลาๆ แต่ลืมคิดไปรึเปล่าว่าธุรกิจหลายๆอย่างมันต้องมีแรงงานหรือลูกจ้าง ไม่มีลูกจ้าง งานก็ไม่เกิด งานไม่เกิดธุรกิจก็ไม่เดิน ธุรกิจไม่เดินเศษฐกิจก็ไม่ขับเคลื่อน ทุกๆอย่างน้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่านะ เรื่องมรดกตกทอด บางทีเรามองว่าอนาคตของเด็กที่จะเกิดมาไม่จำเป็นต้องเจริญรอยตามพ่อแม่ บางสิ่งบางอย่างให้เขาได้เติบโตและได้สร้างอะไรขึ้นเองได้บ้าง ถ้าเตรียมอะไรไว้ให้ลูกพร้อมไปซะหมดเขาคงไม่รู้จักความลำบากในการหามา
คนเราจบมาก็อายุ20ต้นๆ ทำงานๆๆ ไปจนถึง50-60 ก็คงมีเหนื่อยมีท้อมีเบื่อบ้างตามโอกาสไปแหละ เป็นนายตัวเองก็ใช่ว่าจะสบายเผลอๆเครียดหนักกว่าลูกจ้างด้วยซ้ำ ของแบบนี้มันแล้วแต่บุคคลแหละ มองให้มันทุกข์ไปหมดมันก็ทุกข์ มองให้ทุกข์บ้างสุขบ้างจะดีกว่า ส่วนเรื่องเงินเดือน15000กี่ปีจะมีเงินล้าน? เรามองว่าเงินมากน้อยมันไม่สำคัญ เงิน1แสนของคนบางคนอาจอยู่ได้เป็น2-3ปี บางคนปีเดียวหมด บางคนเดือนเดียว วันเดียวหมด ค่าของเงินมันจะมากจะน้อยก็ขึ้นอยู่กับคนถือมัน ยกตัวอย่างเช่น คนนึงไปกินอาหารญี่ปุ่นในห้างมื้อเป็นพัน >>1000ซื้อความสุขเขา อีกคนกินอาหารญี่ปุ่นข้างทางราคา2-3ร้อย>>1000สามารถซื้อความสุขเขาได้2-3ครั้ง อีกคนกินซูชิตลาดนัด 50บาท >>1000ซื้อความสุขเขาได้20ครั้ง
เงินเดือน15000 ใช้เหมือนคนเงินเดือน15000 เราก็จะไม่เหลือเก็บ
เงินเดือน15000 ใช้เหมือนคนเงินเดือน50000 เราก็จะเป็นหนี้
เงินเดือน15000 ใช้เหมือนคนเงินเดือน9000 เราจะเหลือเก็บ6000
เวลา24 ชม ทำงาน8ชม นอนอีก8ชม ทำเรื่องจุกจิก4ชม หาความสุข2ชม เหลือ2ชมหาไรทำเสริมรายได้วันละเล็กวันละน้อย

ไม่เห็นด้วยกับความคิดของเรา เราไม่ว่า แต่อย่าดูถูกเหยียดหยามกันเลย ความสุขของคนเราไม่เหมือนกัน พวกคุณทำแล้วสำเร็จเรายินดีด้วยเสมอ.

บางทีเราก็ไม่ได้อยากเป็น"อายุน้อยร้อยล้าน"ก็ได้ เราอาจจะอยากเป็นแค่"คนตัวน้อยๆธรรมดาๆคนนึง"ก็ได้

ปล.เรายังเด็ก อาจดูเหมือนเพ้อฝัน แต่เราเชื่อว่าเราจะยังยืนยันการใช้ชีวิตแบบนี้ในอนาคตแม้ว่าเราจะเจออะไร พี่ๆมีอะไรแนะนำได้ ทั้งเรื่องการออม การจัดการรายรับรายจ่าย เผื่อจะเป็นแนวทางในอนาคต ขอบคุณค่ะ.

สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 42
ผมอยากให้ลองมองมุมนี้บ้าง

จริงๆแล้วเราถูกชักจูงด้วยวาทะกรรมของผู้ผลิต หรือบริโภคนิยม
สมัยก่อนเด็กๆ(ถ้าคุณอายุ 25-30 ปี) เราจะได้ยินว่าให้"ขยัน อดทน อดออม","อย่าเกี่ยงเงินน้อย อย่าคอยวาสนา"
อะไรประมาณนี้
ซึ่งเป็นคติโบราณช้านาน เพื่อให้คนตั้งหน้าตั้งตาเอาชีวิตรอด จากความวุ่นวาย เช่นสงคราม กฎหมายที่ไม่แน่นอน(ซึ่งปัจจุบันก็ยังคงอยู่ แต่ผลกระทบน้อยลง)
แต่พอมายุคนี้ "ทำตามความฝัน","อย่าเป็นขี้ข้าใคร"
อะไรประมาณนั้น
เป็นวาทะกรรมที่สร้างขึ้นมาให้โดนใจ ผู้คน เพื่อเร่งการบริโภค นักเศรษฐศาสตร์ก็จะออกมาคอยย้ำว่า ถ้าไม่ซื้อเศรษฐกิจก็จะไม่เดิน มันจะแย่ !

ผมแบ่งออกเป็นว่า วาทะเก่า วาทะใหม่
ใช่ครับถ้าคุณเกิดมาในสถานะภาพที่ทุกอย่างเอื้ออำนวยต่อการที่จะรับวาทะใหม่ เช่นถ้าคุณไม่ต้องแบกรับภาระที่หนักเกินไปในการใช้ชีวิตประจำวัน
เช่น ดูแลคนในครอบครัว ดูแลสถานะภาพทางการเงินในครอบครัว
คุณก็อาจจะเห็นด้วยกับสิ่งที่ "ผู้สร้าง"ร้องไห้วาทะใหม่)
คุณก็จะมุ่งเสมอว่าจะต้อง "ทำตามความต้องการของตนเอง" โดยมีผลกระทบคือการเริ่มดูถูกคนที่ไม่คิดแบบคุณ(ในบางคน)

ส่วนในกรณีกลับกันใน สถานะภาพที่จะต้องดูแลคนในครอบครัว ดูแลสภาพทางการเงินในครอบครัว
คุณก็จะเชื่อมั่นใน วาทะเก่า(อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถึงแม้จะยึดมั่นในวาทะใหม่) เพราะคุณจะต้องใช้เวลาทั้งเพื่อความมั่นคงในรายรับ และรายจ่าย ไม่มีเวลา"เสี่ยง"ต่อสิ่งที่ไม่แน่นอน
เพราะถ้าหากเกิดผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว หมายถึงการที่คุณและครอบครัวจะได้รับความทุกข์ยาก

แต่ในกรณีที่ วาทะและสถานะ ตรงกันข้ามกัน ก็จะเกิดสภาพที่ปัจจุบันนิยมเรียกกัน
ถ้าวาทะเก่าผสมสถานะที่ไม่มีภาระ ก็จะเกิดเป็นคำว่า Slowlife วิถีชีวิตที่เรียบง่าย แต่ยังคงอยู่ในความที่ไม่ได้แบกรับภาระใดๆ
และเช่นกัน วาทะใหม่ที่ผสมสถานะแบกรับภาระ ก็จะเกิดเป็น Start up ผู้ที่พยายามทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้หลุดพ้นวงโคจรแห่งการแบกรับนี้

สองบุคคลนี้ แน่นอนจะต้อง ไม่เห็นด้วยกับอีกคนแน่นอน ไม่มากก็น้อย
SL ก็จะมอง SU เป็นคนที่เอาจริงเอาจังมากเกินไป ตึงเครียด ไม่มีความสุข
ส่วน SU ก็จะอยากใช้ชีวิตแบบ SL เป็นสิ่งที่ใฝ่ฝัน แต่ชีวิตประจำวันเรานั้นทำไม่ได้

จากที่เห็นในบทสนทนากัน เอาให้เข้าใจง่ายๆเลย

1. "ช่ายสิ๊มันไม่ต้องรับผิดชอบอะไร มากมากหนิ"
2. "ก็คิดได้แค่นี้ จะเจริญได้ไง"

สรุปคือ วาทะหรือคำคมจากผู้ที่ประสบความสำเร็จต่างๆที่เราเสพทุกๆวัน มันมีไว้ให้ใครบางคน ไม่ใช่ทุกคน
จงอย่าดูถูกเหยียบหยามกัน และอย่าอิจฉาใครคนนั้น
เพราะว่ามีคนทำให้เราคิดแบบที่เค้าอยากให้เราคิด ทำ เพื่อสินค้า เพื่อการบริโภค เพื่อกำไร ของกลุ่มคนเท่านั้นเอง

จงมีสติต่อทุกคำโฆษณาชวนเชื่อเหล่านี้ แล้วท่านจะหลุดพ้นต่อโลกที่หมุนเร็วและบ้าคลั่ง
ความคิดเห็นที่ 2
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่