เสียงคนเดินกุกกักตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ธารารู้สึกปวดหัวมากกว่าเมื่อวาน ที่แผลหัวแตกอาจจะเริ่ม
ระบม แต่อาการครั่นเนื้อตัวที่เพิ่งเป็นนี่ ต้องมีไข้ตามมาด้วยแน่ ๆ
เสียงหัวเราะคิกคักของดาด้าดังมาจากนอกเต๊นท์ เจ้าหล่อนกำลังคุยเป็นภาษาอังกฤษแบบติด ๆ ขัด ๆ กับใครซักคนอยู่ที่นั่น ธาราได้ยินเสียงที่โต้ตอบไปมาฟังคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นพ่อหนุ่มเกาหลีหน้ามึน คนนั้น เดาไม่ยากนักหรอกระหว่างภาษาอังกฤษของคนอเมริกันกับของคนเกาหลี หญิงสาวคิดพลางอมยิ้ม
“Good morning Khun Naam , How do you feel today?”
หนุ่มเกาหลีตะโกนถามด้วยสีหน้าชื่นบาน ดาด้าเห็นลูกพี่สาวค่อย ๆ คืบคลานออกจากเต๊นท์จึงรีบลุกเข้ามาหา
“I’m feeling better, Thanks Mr. Park”
ธาราตอบกลับยิ้ม ๆ
“เจ๊ ... ทำไมตัวร้อนจังอ่ะ เออ.. เมื่อวานหนูส่งอีเมลบอกคุณขวัญแล้วนะ ว่าพวกเรามาติดอยู่ที่นี่ วันนี้ไม่ได้ไปออฟฟิศ”
ดาด้าเล่า คุณขวัญ เจ้าของผาดาวรีสอร์ท หล่อนมักจะมาตรวจงานที่ออฟฟิศในวันเสาร์ ธาราพยักหน้ารับ
“สบล่ะ”
“ไม่รู้สิเจ๊ หนูยังไม่เห็นมันเลย เช้านี้ คงยังไม่ตื่นมั้ง”
“แล้วเราล่ะ มาตื่นอะไรแต่เช้าเนี่ย”
ดาด้าพาลูกพี่มานั่งผิงไฟ ลูกค้าหน้าบานขอตัวไปช่วยลุงชาติทำมื้อเช้าพอดี ดาด้าจึงหันมากระซิบทำท่าตื่นเต้น
“เจ๊... เจ๊รู้อะไรเปล่า เรื่องเมื่อวานอ่ะ ตอนที่เจ๊ไปสไลด์ลงเขาเอาหัวโขกหินน่ะ มันเป็นที่ ‘ผาศิลาแอ่น’ ตรงศิลาพอดีเลย”
คนเล่าทำไหล่ห่อตาโต ธาราทำหน้างง
“คืออะไร ผาศิลาแอ่น ไม่รู้จัก”
“ฮู้ย...อะไรกันเจ๊ ผาศิลาแอ่น ศิลาหน้าตาประหลาดที่ใคร ๆ ก็รู้จักกันดีในย่านภูสอยดาวเนี่ย เจ๊ไปอยู่ไหนมาไม่รู้จัก”
ดาด้าตีหน้ายุ่งวางมาดเป็นผู้รู้ ธารากดฝ่ามือเข้ากับกระบอกตาถามเรื่อย ๆ อย่างไม่ใส่ใจนัก
“แกรู้ด้วยเหรอ ไม่เห็นจะเคยพูดถึงให้ฟังเลย”
“ก็เพิ่งรู้เมื่อคืนนี้ ตอนนั่งผิงไฟกับลุงชาติแหล่ะ”
ดาด้าเฉลยพลางหัวเราะก๊าก ชอบอกชอบใจอยู่คนเดียวในขณะที่ลูกพี่ไม่ได้ตลกตามไปด้วย
“แล้วมันเป็นไงล่ะ”
“อั้นแหน่ะ แอบสนใจอยู่ใช่มั้ยล่า”
ลูกน้องสาวหัวเราะคิก
“จะเล่ามั้ยยะ”
ธาราชักจะเริ่มมีอารมณ์ หนาวก็หนาว ปวดหัวก็ปวด
“คืองี้” ดาด้าขยับเข้าใกล้ลูกพี่ ทำเสียงกระซิบเล่าราวกับเป็นเรื่องต้องห้าม
“ตำนานผาศิลาแอ่นที่ลุงชาติพูดถึง เป็นเรื่องราวของหญิงสาว คนหนึ่งในหมู่บ้านหลงผา ซึ่งเป็นหนึ่งใน หมู่บ้านบนดอยเสมอดาวนี่แหละ นานมาละ นางชื่อว่า มะยี มะยีเป็นลูกสาวคนเล็กของครอบครัว ว่ากันว่าในบรรดาพี่น้องท้องเดียวกันทั้งหมด มะยีเป็นลูกสาวที่สวยที่สุดเลย แต่แปลกทั้งที่หล่อนเป็นคนสวยมาก แต่ความสวยของมะยีกลับเป็นความหวาดหวั่นของหนุ่ม ๆ ทั้งหลายในหมู่บ้าน มะยีจึงไม่มีใครเข้าใกล้ เป็นหญิงงามที่ไม่มีชายคนรัก”
ดาด้ามองหน้าคนฟังเห็นธาราอยู่ในท่าทางสนอกสนเป็นอย่างดี จึงเล่าต่อ หล่อนพูดถึงความอาภัพของมะยี ที่ต้องนั่งมองตัวเองในกระจกวันแล้ววันเล่า นั่งมองความสวยสดงดงามของใบหน้าตนเองอย่างประหลาดใจ ว่าเพราะเหตุใดความงามอย่างไร้ที่ตินั้นจึงไร้วี่แววคนหมายปอง
เวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่า เงาในกระจกของมะยีก็เริ่มสะท้อนใบหน้าของผู้หญิงที่เริ่มโรยราไปตามอายุที่ร่วงโรย พ่อกับแม่จากหล่อนไป พี่น้องทั้งหลายต่างทะยอยกันแยกย้ายไปมีครอบครัว สุดท้ายก็เหลือเพียงแต่มะยีที่บ้านเพียงลำพัง การใช้ชีวิตคนเดียวของผู้หญิงวัยกลางคนอย่างมะยีช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้า มะยีเหงา ว้าเหว่ และบางครั้งหล่อนก็รู้สึกหวาดกลัว ตอนพลบค่ำบางวันที่มะหยีรู้สึกเงียบเหงามาก ๆ นางจะออกมาที่หน้าผาใกล้ ๆ กับน้ำตกภูสอยดาวแห่งนี้ นางมักจะมานั่งคนเดียวเงียบ ๆ หรือไม่ก็มาเก็บผักไม้กลับไปทำอาหารทานที่บ้าน
จนกระทั่งเย็นวันหนึ่ง ขณะที่มะยีเดินเก็บผักตามแนวไม้ริมน้ำตกก็ปรากฏว่ามีงูตัวหนึ่งมาเลื้อยพันเข้าที่แขนของมะยี ยายแก่ชาวเขาคนหนึ่งมาอาบน้ำที่น้ำตกเห็นกับตา แต่แทนที่มะยีจะตกใจกลัวนางกลับจ้องมองไปที่งูตัวนั้นอย่างสนใจ งูสีเขียวตัวยาวท้องของมันเป็นประกายเรืองรองตวัดปลายหางพาดอยู่กับกิ่งไม้ใหญ่ริมหน้าผา มะยีลูบคลำงูตัวนั้นแล้วก็ยิ้ม
สองสามวันต่อมา มะยีในวัย 45 ปี ก็ล้มป่วย พี่น้องของมะยีต่างผลัดกันไปเฝ้าดูอาการ มะยีล้มป่วยอยู่ราวสองสัปดาห์ ระหว่างนั้น ทุกคนจะได้ยินมะยีละเมอพูดเป็นเรื่องราว ถึงด้ายสีแดงที่พันอยู่ที่ข้อมือของเธอ ปลายด้ายแดงที่พันอยู่รอบที่ไม้ใหญ่ริมหน้าผา ไม้ใหญ่ใกล้น้ำตกที่มีผู้ชายรูปงามที่ยืนรอนางอยู่ที่นั่น ก่อนมะยีจะเสียชีวิต นางบอกให้พี่ ๆ ของนางไว้ว่าหากนางจากไปให้ฝังนางไว้ที่ริมหน้าผาใกล้ไม้ใหญ่แล้วเก็บด้ายสีแดงที่ข้อมือนางไปให้หมด ทุกคนที่นั่นพากันแปลกใจและคิดว่านางเป็นบ้าเพราะพิษไข้ป่าเพราะไม่มีใครมองเห็นด้ายสีแดงที่ว่านั่นเลย แต่ทว่า ในวันที่มะยีจากไป ขบวนนำศพของนางก็ต้องพากันแปลกใจที่ปรากฏด้ายสีแดงอยู่ที่ข้อมือของนางจริง ๆ นอกจากนั้น เมื่อพาร่างของมะยีไปฝัง ทุกคนที่นั่นก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าที่กิ่งไม้ใหญ่ริมหน้าผานั้นมีงูสีเขียวตัวยาวมากอยู่ที่นั่น มันอยู่นิ่ง ๆ จ้องมองขบวนศพก่อนจะค่อย ๆ เลื้อยจากไป เมื่อปลายหางสีเขียวเรืองลับเลือนหายไปท่ามกลางแมกไม้ กองด้ายสีแดงก็ร่วงหล่นลงมาจากกิ่งไม้อย่างน่าอัศจรรย์
“เฮ่ย... แล้วด้ายสีแดงพวกนั้นมันมาจากไหนกันล่ะ”
ธาราถามขึ้นหลังฟังเรื่องราวของมะยีที่ดาด้าเล่าอย่างประหลาดใจ
“ก็นั่นแหละ มาจากไหนก็ไม่รู้ หล่นกองร่วงลงมาจากกิ่งไม้สวมลงกับหินรูปร่างประหลาดที่โคนไม้นั้นด้วย หลังการฝังมะยี พวกเขาก็เลยกลิ้งหินก้อนนั้นทับหลุมศพของมะยีไว้ หินก้อนที่เจ๊ไถลลงไปชนด้วยนั่นแหละ”
ขนทั่วทุกอณูบนร่างกายของธาราลุกซู่ขึ้นพร้อมกัน ความหนาวเย็นยะเยือกถาโถมเข้าไปในร่างกาย หล่อนรู้สึกตัวสั่น
“จริงเหรอ ไอ้ด้า ที่เจ๊ตกลงไปอ่ะ มันเป็นหลุมศพคนเหรอ”
ธาราว่าเสียงสั่น ดาด้าทำหน้าแหยเกพยักคอหงึกหงักตามไปด้วย
“แต่ .. เค้าว่า ผาศิลาแอ่นศักดิ์สิทธิ์นะเจ๊ มะยีได้พบความอัศจรรย์ก่อนตาย เค้าว่า งูตัวนั้นอ่ะ เป็นด้ายสีแดงที่มะยีเห็น เจ๊เคยได้ยินเรื่องด้ายสีแดงมะ ด้ายที่เค้าว่าโยงเนื้อคู่ให้มาเจอกันอ่ะ ผู้ชายของมะยี เนื้อคู่ของมะยีน่ะ เป็นคนที่ตายไปแล้ว เพราะแบบนี้แหละมะยีถึงไม่มีใคร จนกระทั่งได้มาเจอเนื้อคู่ของตัวเอง”
“เจอเนื้อคู่แล้วก็ตายเนี่ยนะ”
หญิงสาวสลัดต้นคอ รู้สึกขนลุกขนพอง ดาด้ามาเล่าเรื่องอะไรก็ไม่รู้แต่เช้า ทั้งที่เจ้าหล่อนก็ยังไม่หายช็อก กับเรื่องความฝันที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้เลย พูดถึงเรื่องความฝัน... จริงสิ หล่อนก็รู้สึกถึงความแปลกอยู่เช่นกัน ฝันย้อนอดีต ฝัน ที่คนในฝันก็ได้รับรู้ด้วย...
“เฮ่ย...เจ๊ไม่รู้อะไร ลุงชาติว่า หลังจากนั้น ผาศิลาแอ่นก็เป็นที่รู้จักของสาว ๆ ในหมู่บ้านหลงผาเลยนะ สาวคนใด ไม่สมหวังในรัก หรือเป็นสาวแก่ สาวทึนทึกหาผ. ไม่ได้ เค้าก็กราบไหว้กันที่นี่ รับรองผลทุกราย”
ดาด้าดีดนิ้ว
“ได้ผ.หมดทุกคนว่างั้น ... แกไม่ไปขอดูมั่งล่ะด้า เผื่อจะได้หนุ่มเกาหลีไว้เชยชมซักคน”
เสียงสบชัยดังขึ้น เจ้าของน้ำเสียงดูไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่นัก ดาด้าย่นจมูก
“สาระแนเจ้าสบ ไปเถอะเจ๊ ไปกินข้าวกัน”
ธารารู้สึกตัวชาอย่างบอกไม่ถูก หล่อนนึกถึงงูสีเขียวท้องเป็นประกายเรืองรองที่หล่อนมองเห็นก่อนจะพลัดตกเขาไป นึกถึงความฝันพิศดารที่ยังหาข้อสรุปของสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ นึกถึงสาวชาวเขาหน้าขาวซีดที่ห้องนอนของหล่อน นึกถึงด้ายสีแดงพันระโยงระยางอยู่ทั่วทุกนิ้วในภาพฝัน นึกถึงตัวเอง... ที่ก็ชักจะเป็นสาวทึนทึกอยู่เหมือนกัน .. ไม่นะ คิดอะไรอยู่เนี่ย ธารา!!!!!
นิยายออนไลน์ มาลย์มายา รีไรท์ ตอน 4
ระบม แต่อาการครั่นเนื้อตัวที่เพิ่งเป็นนี่ ต้องมีไข้ตามมาด้วยแน่ ๆ
เสียงหัวเราะคิกคักของดาด้าดังมาจากนอกเต๊นท์ เจ้าหล่อนกำลังคุยเป็นภาษาอังกฤษแบบติด ๆ ขัด ๆ กับใครซักคนอยู่ที่นั่น ธาราได้ยินเสียงที่โต้ตอบไปมาฟังคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นพ่อหนุ่มเกาหลีหน้ามึน คนนั้น เดาไม่ยากนักหรอกระหว่างภาษาอังกฤษของคนอเมริกันกับของคนเกาหลี หญิงสาวคิดพลางอมยิ้ม
“Good morning Khun Naam , How do you feel today?”
หนุ่มเกาหลีตะโกนถามด้วยสีหน้าชื่นบาน ดาด้าเห็นลูกพี่สาวค่อย ๆ คืบคลานออกจากเต๊นท์จึงรีบลุกเข้ามาหา
“I’m feeling better, Thanks Mr. Park”
ธาราตอบกลับยิ้ม ๆ
“เจ๊ ... ทำไมตัวร้อนจังอ่ะ เออ.. เมื่อวานหนูส่งอีเมลบอกคุณขวัญแล้วนะ ว่าพวกเรามาติดอยู่ที่นี่ วันนี้ไม่ได้ไปออฟฟิศ”
ดาด้าเล่า คุณขวัญ เจ้าของผาดาวรีสอร์ท หล่อนมักจะมาตรวจงานที่ออฟฟิศในวันเสาร์ ธาราพยักหน้ารับ
“สบล่ะ”
“ไม่รู้สิเจ๊ หนูยังไม่เห็นมันเลย เช้านี้ คงยังไม่ตื่นมั้ง”
“แล้วเราล่ะ มาตื่นอะไรแต่เช้าเนี่ย”
ดาด้าพาลูกพี่มานั่งผิงไฟ ลูกค้าหน้าบานขอตัวไปช่วยลุงชาติทำมื้อเช้าพอดี ดาด้าจึงหันมากระซิบทำท่าตื่นเต้น
“เจ๊... เจ๊รู้อะไรเปล่า เรื่องเมื่อวานอ่ะ ตอนที่เจ๊ไปสไลด์ลงเขาเอาหัวโขกหินน่ะ มันเป็นที่ ‘ผาศิลาแอ่น’ ตรงศิลาพอดีเลย”
คนเล่าทำไหล่ห่อตาโต ธาราทำหน้างง
“คืออะไร ผาศิลาแอ่น ไม่รู้จัก”
“ฮู้ย...อะไรกันเจ๊ ผาศิลาแอ่น ศิลาหน้าตาประหลาดที่ใคร ๆ ก็รู้จักกันดีในย่านภูสอยดาวเนี่ย เจ๊ไปอยู่ไหนมาไม่รู้จัก”
ดาด้าตีหน้ายุ่งวางมาดเป็นผู้รู้ ธารากดฝ่ามือเข้ากับกระบอกตาถามเรื่อย ๆ อย่างไม่ใส่ใจนัก
“แกรู้ด้วยเหรอ ไม่เห็นจะเคยพูดถึงให้ฟังเลย”
“ก็เพิ่งรู้เมื่อคืนนี้ ตอนนั่งผิงไฟกับลุงชาติแหล่ะ”
ดาด้าเฉลยพลางหัวเราะก๊าก ชอบอกชอบใจอยู่คนเดียวในขณะที่ลูกพี่ไม่ได้ตลกตามไปด้วย
“แล้วมันเป็นไงล่ะ”
“อั้นแหน่ะ แอบสนใจอยู่ใช่มั้ยล่า”
ลูกน้องสาวหัวเราะคิก
“จะเล่ามั้ยยะ”
ธาราชักจะเริ่มมีอารมณ์ หนาวก็หนาว ปวดหัวก็ปวด
“คืองี้” ดาด้าขยับเข้าใกล้ลูกพี่ ทำเสียงกระซิบเล่าราวกับเป็นเรื่องต้องห้าม
“ตำนานผาศิลาแอ่นที่ลุงชาติพูดถึง เป็นเรื่องราวของหญิงสาว คนหนึ่งในหมู่บ้านหลงผา ซึ่งเป็นหนึ่งใน หมู่บ้านบนดอยเสมอดาวนี่แหละ นานมาละ นางชื่อว่า มะยี มะยีเป็นลูกสาวคนเล็กของครอบครัว ว่ากันว่าในบรรดาพี่น้องท้องเดียวกันทั้งหมด มะยีเป็นลูกสาวที่สวยที่สุดเลย แต่แปลกทั้งที่หล่อนเป็นคนสวยมาก แต่ความสวยของมะยีกลับเป็นความหวาดหวั่นของหนุ่ม ๆ ทั้งหลายในหมู่บ้าน มะยีจึงไม่มีใครเข้าใกล้ เป็นหญิงงามที่ไม่มีชายคนรัก”
ดาด้ามองหน้าคนฟังเห็นธาราอยู่ในท่าทางสนอกสนเป็นอย่างดี จึงเล่าต่อ หล่อนพูดถึงความอาภัพของมะยี ที่ต้องนั่งมองตัวเองในกระจกวันแล้ววันเล่า นั่งมองความสวยสดงดงามของใบหน้าตนเองอย่างประหลาดใจ ว่าเพราะเหตุใดความงามอย่างไร้ที่ตินั้นจึงไร้วี่แววคนหมายปอง
เวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่า เงาในกระจกของมะยีก็เริ่มสะท้อนใบหน้าของผู้หญิงที่เริ่มโรยราไปตามอายุที่ร่วงโรย พ่อกับแม่จากหล่อนไป พี่น้องทั้งหลายต่างทะยอยกันแยกย้ายไปมีครอบครัว สุดท้ายก็เหลือเพียงแต่มะยีที่บ้านเพียงลำพัง การใช้ชีวิตคนเดียวของผู้หญิงวัยกลางคนอย่างมะยีช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้า มะยีเหงา ว้าเหว่ และบางครั้งหล่อนก็รู้สึกหวาดกลัว ตอนพลบค่ำบางวันที่มะหยีรู้สึกเงียบเหงามาก ๆ นางจะออกมาที่หน้าผาใกล้ ๆ กับน้ำตกภูสอยดาวแห่งนี้ นางมักจะมานั่งคนเดียวเงียบ ๆ หรือไม่ก็มาเก็บผักไม้กลับไปทำอาหารทานที่บ้าน
จนกระทั่งเย็นวันหนึ่ง ขณะที่มะยีเดินเก็บผักตามแนวไม้ริมน้ำตกก็ปรากฏว่ามีงูตัวหนึ่งมาเลื้อยพันเข้าที่แขนของมะยี ยายแก่ชาวเขาคนหนึ่งมาอาบน้ำที่น้ำตกเห็นกับตา แต่แทนที่มะยีจะตกใจกลัวนางกลับจ้องมองไปที่งูตัวนั้นอย่างสนใจ งูสีเขียวตัวยาวท้องของมันเป็นประกายเรืองรองตวัดปลายหางพาดอยู่กับกิ่งไม้ใหญ่ริมหน้าผา มะยีลูบคลำงูตัวนั้นแล้วก็ยิ้ม
สองสามวันต่อมา มะยีในวัย 45 ปี ก็ล้มป่วย พี่น้องของมะยีต่างผลัดกันไปเฝ้าดูอาการ มะยีล้มป่วยอยู่ราวสองสัปดาห์ ระหว่างนั้น ทุกคนจะได้ยินมะยีละเมอพูดเป็นเรื่องราว ถึงด้ายสีแดงที่พันอยู่ที่ข้อมือของเธอ ปลายด้ายแดงที่พันอยู่รอบที่ไม้ใหญ่ริมหน้าผา ไม้ใหญ่ใกล้น้ำตกที่มีผู้ชายรูปงามที่ยืนรอนางอยู่ที่นั่น ก่อนมะยีจะเสียชีวิต นางบอกให้พี่ ๆ ของนางไว้ว่าหากนางจากไปให้ฝังนางไว้ที่ริมหน้าผาใกล้ไม้ใหญ่แล้วเก็บด้ายสีแดงที่ข้อมือนางไปให้หมด ทุกคนที่นั่นพากันแปลกใจและคิดว่านางเป็นบ้าเพราะพิษไข้ป่าเพราะไม่มีใครมองเห็นด้ายสีแดงที่ว่านั่นเลย แต่ทว่า ในวันที่มะยีจากไป ขบวนนำศพของนางก็ต้องพากันแปลกใจที่ปรากฏด้ายสีแดงอยู่ที่ข้อมือของนางจริง ๆ นอกจากนั้น เมื่อพาร่างของมะยีไปฝัง ทุกคนที่นั่นก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าที่กิ่งไม้ใหญ่ริมหน้าผานั้นมีงูสีเขียวตัวยาวมากอยู่ที่นั่น มันอยู่นิ่ง ๆ จ้องมองขบวนศพก่อนจะค่อย ๆ เลื้อยจากไป เมื่อปลายหางสีเขียวเรืองลับเลือนหายไปท่ามกลางแมกไม้ กองด้ายสีแดงก็ร่วงหล่นลงมาจากกิ่งไม้อย่างน่าอัศจรรย์
“เฮ่ย... แล้วด้ายสีแดงพวกนั้นมันมาจากไหนกันล่ะ”
ธาราถามขึ้นหลังฟังเรื่องราวของมะยีที่ดาด้าเล่าอย่างประหลาดใจ
“ก็นั่นแหละ มาจากไหนก็ไม่รู้ หล่นกองร่วงลงมาจากกิ่งไม้สวมลงกับหินรูปร่างประหลาดที่โคนไม้นั้นด้วย หลังการฝังมะยี พวกเขาก็เลยกลิ้งหินก้อนนั้นทับหลุมศพของมะยีไว้ หินก้อนที่เจ๊ไถลลงไปชนด้วยนั่นแหละ”
ขนทั่วทุกอณูบนร่างกายของธาราลุกซู่ขึ้นพร้อมกัน ความหนาวเย็นยะเยือกถาโถมเข้าไปในร่างกาย หล่อนรู้สึกตัวสั่น
“จริงเหรอ ไอ้ด้า ที่เจ๊ตกลงไปอ่ะ มันเป็นหลุมศพคนเหรอ”
ธาราว่าเสียงสั่น ดาด้าทำหน้าแหยเกพยักคอหงึกหงักตามไปด้วย
“แต่ .. เค้าว่า ผาศิลาแอ่นศักดิ์สิทธิ์นะเจ๊ มะยีได้พบความอัศจรรย์ก่อนตาย เค้าว่า งูตัวนั้นอ่ะ เป็นด้ายสีแดงที่มะยีเห็น เจ๊เคยได้ยินเรื่องด้ายสีแดงมะ ด้ายที่เค้าว่าโยงเนื้อคู่ให้มาเจอกันอ่ะ ผู้ชายของมะยี เนื้อคู่ของมะยีน่ะ เป็นคนที่ตายไปแล้ว เพราะแบบนี้แหละมะยีถึงไม่มีใคร จนกระทั่งได้มาเจอเนื้อคู่ของตัวเอง”
“เจอเนื้อคู่แล้วก็ตายเนี่ยนะ”
หญิงสาวสลัดต้นคอ รู้สึกขนลุกขนพอง ดาด้ามาเล่าเรื่องอะไรก็ไม่รู้แต่เช้า ทั้งที่เจ้าหล่อนก็ยังไม่หายช็อก กับเรื่องความฝันที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้เลย พูดถึงเรื่องความฝัน... จริงสิ หล่อนก็รู้สึกถึงความแปลกอยู่เช่นกัน ฝันย้อนอดีต ฝัน ที่คนในฝันก็ได้รับรู้ด้วย...
“เฮ่ย...เจ๊ไม่รู้อะไร ลุงชาติว่า หลังจากนั้น ผาศิลาแอ่นก็เป็นที่รู้จักของสาว ๆ ในหมู่บ้านหลงผาเลยนะ สาวคนใด ไม่สมหวังในรัก หรือเป็นสาวแก่ สาวทึนทึกหาผ. ไม่ได้ เค้าก็กราบไหว้กันที่นี่ รับรองผลทุกราย”
ดาด้าดีดนิ้ว
“ได้ผ.หมดทุกคนว่างั้น ... แกไม่ไปขอดูมั่งล่ะด้า เผื่อจะได้หนุ่มเกาหลีไว้เชยชมซักคน”
เสียงสบชัยดังขึ้น เจ้าของน้ำเสียงดูไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่นัก ดาด้าย่นจมูก
“สาระแนเจ้าสบ ไปเถอะเจ๊ ไปกินข้าวกัน”
ธารารู้สึกตัวชาอย่างบอกไม่ถูก หล่อนนึกถึงงูสีเขียวท้องเป็นประกายเรืองรองที่หล่อนมองเห็นก่อนจะพลัดตกเขาไป นึกถึงความฝันพิศดารที่ยังหาข้อสรุปของสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ นึกถึงสาวชาวเขาหน้าขาวซีดที่ห้องนอนของหล่อน นึกถึงด้ายสีแดงพันระโยงระยางอยู่ทั่วทุกนิ้วในภาพฝัน นึกถึงตัวเอง... ที่ก็ชักจะเป็นสาวทึนทึกอยู่เหมือนกัน .. ไม่นะ คิดอะไรอยู่เนี่ย ธารา!!!!!