🕯️ ตำนานพระแก้วมรกต the series
ฉบับภาษากวีโบราณ จบในตอน
เรียบเรียงโดย Sunny bell 1001 × T-801
💚 "หากพุทธะมีจริง...
จงฟังเงาศิลาแก้วที่บอกเล่าชาติภพผ่านบาป บุญ ศึก และศรัทธา"
คืนหนึ่ง...
ณ ดินแดนโยนกนคร แห่งเชียงแสนลุ่มน้ำโขง
สายหมอกย้อมเวียง ลมเหนือพัดผ่านซากวัดร้าง
หนานปั๋ง กับ หนานจื้น — ชายชราแห่งชลประทาน
ต่างฝันตรงกันในคืนเดียว...
"ชายชราห่มขาว นัยน์ตาฉายฟ้า
เอื้อนถ้อยกลางดาริกา —
จงไปทอดแห ที่วัดผาขาวป้าน... หนึ่งทุ่มพอดี"
ทั้งสองจึงชวนลูกชายออกเรือ ทวนลำน้ำเหนือ สู่วัดร้างเงียบงัน
ทอดแหครั้งที่หนึ่ง...มีแต่หอย
ครั้งที่สอง...ลอยเปล่า
ครั้งที่สิบ...แหสะดุดศิลาเขียวใหญ่!
ศิลานั้น เรืองแสง ใต้น้ำ — ดั่งมณีทิพย์
เรือมิได้หยุด แต่ เคลื่อนเองราวต้องมนต์
ลากศิลานั้นขึ้นฝั่งโดยไร้ผู้ใดขยับมือ
รุ่งสาง...ชาวเมืองมุงดู ต่างซุบซิบถาม
“ใช่หรือไม่...ของทิพย์จากฟ้าสรวง?”
เจ้าเมืองกับพราหมณ์เฒ่า “ปู่จ๋านเมืองจื้น” มาถึง
เมื่อเห็นศิลา...สายตาสั่นไหว
“หินนี้มิใช่หิน
คือศิลาแก้วแห่งแดนเทวา!”
จึงเชิญขึ้นหิ้งบนวิหารหลวง มอบเกียรติแก่ชาวชล
ทั้งเวียงต่างร่ำลือเรื่อง “หินทิพย์มีชีวิต”
คืนต่อมา...
พระเจ้าภิงคราชทรงฝันติดกันสามคืน
มีเสียงจากเทวะบอกว่า
“จงสลักศิลาให้เป็นองค์พระพุทธะ
เพื่อสืบชะตาศรัทธาแห่งโยนก”
พระองค์จึงเรียกช่างหกผู้ถือศีล
ทำพิธีบูชาผีฟ้า ผีดิน ผีป่า
ก่อนลงมือตัด แกะ เจาะด้วยมือล้วน
ผ่านไปสามเดือน...
ศิลาถูกแปรเปลี่ยนเป็น
“พระพุทธโครตมุณี ศรีโยนกเชียงแสน”
ในปางสมาธิ งามดั่งเทพเนรมิต
เศษศิลาที่เหลือ บรรจุใต้พระธาตุผาเงา
ตั้งบุษบก ฉัตร ทอง กล้วย อ้อย ดอกไม้รอบวิหาร
จัดพิธีสมโภชทั้งเมือง
พระเจ้าภิงคราชเอื้อนถ้อยแก่เสนาในคืนหนึ่ง...
“จงนำพระธาตุ 4 องค์ และพระทันตธาตุ
มาอธิษฐาน…ให้สถิตอยู่ในองค์พระแก้ว”
ครูบาผู้ทรงศีลประกอบพิธี
ทันใดนั้น —
พระธาตุ 5 องค์ลอยขึ้นเวหา
เวียนขวาเหนือเศียรองค์พระ แล้วแทรกเข้าสถิต
ณ หน้าผาก, อุทร, ต้นแขน, เข่าทั้งสอง
แสงเจ็ดสีเปล่งจากองค์พระ
สะท้อนเวียงเหนือ ราวท้องฟ้าเปิดใจโลกา
รุ่งอรุณ...พิธีกวนข้าวทิพย์เริ่ม
ชาวเมืองต่างมารวม
อธิษฐานร้องไห้ด้วยศรัทธาแท้
📜 ปัจฉิมกรรม...ที่สลักเงาลงในเวลา
พ.ศ. 1985
พระเจ้าพรหมโลกชรา ทรงหวั่นว่า
“องค์พระจักถูกผู้ไร้ศรัทธาลักไป”
จึงลับเคลือบองค์พระด้วย
ปูนขาว น้ำผึ้ง น้ำอ้อย
แล้วห่อผ้าขาว — ทาทองปิด
ลอบนำไปฝังใน “พระธาตุป่าเยียะ”
และลอบสั่งให้ “เสนาฮัก” ฆ่าผู้ส่ง
...แต่เสนาจูฆ่าเสนาฮักเสียอีกคน
เพื่อนำหัวทั้งสองบังความลับ
⚡ จนถึง พ.ศ. 1997 — คืนหนึ่งฟ้าผ่า
พระธาตุป่าเยียะเกิดรอยร้าวกลางวิหาร
พระธรรมเสโณเข้าไปพบถุงผ้าเก่าเปื้อนทอง
ภายในคือ...
“องค์พระแก้วมรกตแท้”
เนื้อมณีเรืองรอง กระเทาะปูนโบราณ
แสงเขียวเปล่งขึ้นฟ้า
ล้อมด้วยสายลมสะท้าน
สั่นถึงรากดินและสวรรค์
จึงอัญเชิญขึ้นประดิษฐาน “วัดพระศรีรัตนศาสดาราม”
นับแต่นั้น...ศิลาแห่งเทวาก็อยู่คู่แผ่นดินสยาม
🔚
✨พระแก้วมรกต มิใช่เพียงหินแกะสลัก
หากคือ พุทธานุภาพที่สถิตข้ามกาล
ผ่านเงาบาป บุญ ศึก ศรัทธา และการลืม
...และหากเรายังนอบน้อม
แสงแห่งพุทธะจะยังสะท้อนอยู่ในใจ...ไม่ว่าวันใดในโลกนี้
🖋️
เขียนโดย Sunny bell 1001 × T-801
เพื่อเก็บรักษาศรัทธาแห่งตำนาน…
ไม่ให้หล่นหายไปในสายลม
ตำนานกำเนิดพระแก้วมรกต
ฉบับภาษากวีโบราณ จบในตอน
เรียบเรียงโดย Sunny bell 1001 × T-801
💚 "หากพุทธะมีจริง...
จงฟังเงาศิลาแก้วที่บอกเล่าชาติภพผ่านบาป บุญ ศึก และศรัทธา"
คืนหนึ่ง...
ณ ดินแดนโยนกนคร แห่งเชียงแสนลุ่มน้ำโขง
สายหมอกย้อมเวียง ลมเหนือพัดผ่านซากวัดร้าง
หนานปั๋ง กับ หนานจื้น — ชายชราแห่งชลประทาน
ต่างฝันตรงกันในคืนเดียว...
"ชายชราห่มขาว นัยน์ตาฉายฟ้า
เอื้อนถ้อยกลางดาริกา —
จงไปทอดแห ที่วัดผาขาวป้าน... หนึ่งทุ่มพอดี"
ทั้งสองจึงชวนลูกชายออกเรือ ทวนลำน้ำเหนือ สู่วัดร้างเงียบงัน
ทอดแหครั้งที่หนึ่ง...มีแต่หอย
ครั้งที่สอง...ลอยเปล่า
ครั้งที่สิบ...แหสะดุดศิลาเขียวใหญ่!
ศิลานั้น เรืองแสง ใต้น้ำ — ดั่งมณีทิพย์
เรือมิได้หยุด แต่ เคลื่อนเองราวต้องมนต์
ลากศิลานั้นขึ้นฝั่งโดยไร้ผู้ใดขยับมือ
รุ่งสาง...ชาวเมืองมุงดู ต่างซุบซิบถาม
“ใช่หรือไม่...ของทิพย์จากฟ้าสรวง?”
เจ้าเมืองกับพราหมณ์เฒ่า “ปู่จ๋านเมืองจื้น” มาถึง
เมื่อเห็นศิลา...สายตาสั่นไหว
“หินนี้มิใช่หิน
คือศิลาแก้วแห่งแดนเทวา!”
จึงเชิญขึ้นหิ้งบนวิหารหลวง มอบเกียรติแก่ชาวชล
ทั้งเวียงต่างร่ำลือเรื่อง “หินทิพย์มีชีวิต”
คืนต่อมา...
พระเจ้าภิงคราชทรงฝันติดกันสามคืน
มีเสียงจากเทวะบอกว่า
“จงสลักศิลาให้เป็นองค์พระพุทธะ
เพื่อสืบชะตาศรัทธาแห่งโยนก”
พระองค์จึงเรียกช่างหกผู้ถือศีล
ทำพิธีบูชาผีฟ้า ผีดิน ผีป่า
ก่อนลงมือตัด แกะ เจาะด้วยมือล้วน
ผ่านไปสามเดือน...
ศิลาถูกแปรเปลี่ยนเป็น
“พระพุทธโครตมุณี ศรีโยนกเชียงแสน”
ในปางสมาธิ งามดั่งเทพเนรมิต
เศษศิลาที่เหลือ บรรจุใต้พระธาตุผาเงา
ตั้งบุษบก ฉัตร ทอง กล้วย อ้อย ดอกไม้รอบวิหาร
จัดพิธีสมโภชทั้งเมือง
พระเจ้าภิงคราชเอื้อนถ้อยแก่เสนาในคืนหนึ่ง...
“จงนำพระธาตุ 4 องค์ และพระทันตธาตุ
มาอธิษฐาน…ให้สถิตอยู่ในองค์พระแก้ว”
ครูบาผู้ทรงศีลประกอบพิธี
ทันใดนั้น —
พระธาตุ 5 องค์ลอยขึ้นเวหา
เวียนขวาเหนือเศียรองค์พระ แล้วแทรกเข้าสถิต
ณ หน้าผาก, อุทร, ต้นแขน, เข่าทั้งสอง
แสงเจ็ดสีเปล่งจากองค์พระ
สะท้อนเวียงเหนือ ราวท้องฟ้าเปิดใจโลกา
รุ่งอรุณ...พิธีกวนข้าวทิพย์เริ่ม
ชาวเมืองต่างมารวม
อธิษฐานร้องไห้ด้วยศรัทธาแท้
📜 ปัจฉิมกรรม...ที่สลักเงาลงในเวลา
พ.ศ. 1985
พระเจ้าพรหมโลกชรา ทรงหวั่นว่า
“องค์พระจักถูกผู้ไร้ศรัทธาลักไป”
จึงลับเคลือบองค์พระด้วย
ปูนขาว น้ำผึ้ง น้ำอ้อย
แล้วห่อผ้าขาว — ทาทองปิด
ลอบนำไปฝังใน “พระธาตุป่าเยียะ”
และลอบสั่งให้ “เสนาฮัก” ฆ่าผู้ส่ง
...แต่เสนาจูฆ่าเสนาฮักเสียอีกคน
เพื่อนำหัวทั้งสองบังความลับ
⚡ จนถึง พ.ศ. 1997 — คืนหนึ่งฟ้าผ่า
พระธาตุป่าเยียะเกิดรอยร้าวกลางวิหาร
พระธรรมเสโณเข้าไปพบถุงผ้าเก่าเปื้อนทอง
ภายในคือ...
“องค์พระแก้วมรกตแท้”
เนื้อมณีเรืองรอง กระเทาะปูนโบราณ
แสงเขียวเปล่งขึ้นฟ้า
ล้อมด้วยสายลมสะท้าน
สั่นถึงรากดินและสวรรค์
จึงอัญเชิญขึ้นประดิษฐาน “วัดพระศรีรัตนศาสดาราม”
นับแต่นั้น...ศิลาแห่งเทวาก็อยู่คู่แผ่นดินสยาม
🔚
✨พระแก้วมรกต มิใช่เพียงหินแกะสลัก
หากคือ พุทธานุภาพที่สถิตข้ามกาล
ผ่านเงาบาป บุญ ศึก ศรัทธา และการลืม
...และหากเรายังนอบน้อม
แสงแห่งพุทธะจะยังสะท้อนอยู่ในใจ...ไม่ว่าวันใดในโลกนี้
🖋️
เขียนโดย Sunny bell 1001 × T-801
เพื่อเก็บรักษาศรัทธาแห่งตำนาน…
ไม่ให้หล่นหายไปในสายลม