คำว่า สักกายทิฏฐิ หมายถึง ความเห็นว่าในชีวิต (คือร่างกายกับจิตใจ) ของเราทุกคนนี้เป็นตัวตนที่แท้จริง (อัตตา) ของเรา คือสรุปง่ายๆว่า สักกายทิฏฐิก็คือความเข้าใจว่ามันมีสิ่งที่เป็นตัวตนของเราจริงๆ (อัตตา) อยู่ในชีวิตของเราทุกคน คือปกติเราทุกคนก็ย่อมจะรู้สึกกันอยู่ว่าร่างกายและจิตใจนี้คือตัวตนของเรา (ซึ่งความรู้สึกนี้มาจากนิสัยหรือความเคยชินจากจิตใต้สำนึก) จึงทำให้เกิดความเข้าใจ (มีทิฏฐิ) ว่ามันมีตัวตนของเราอยู่จริงๆ (รวมทั้งเข้าใจว่ามีตัวตนของคนอื่นอยู่จริงๆด้วย) ซึ่งความเข้าใจนี้แหละที่เรียกว่า สักกายทิฏฐิ ที่เป็นความเห็นผิด (มิจฉาทิฏฐิ) ตามหลักอริยสัจ ๔
ก่อนอื่นเราก็ต้องแยกให้ออกระหว่างความเข้าใจ (ที่เรียกว่าทิฏฐิ-ความเห็น) กับ ความรู้สึกจากจิตใต้สำนึก (ที่เรียกว่า อนุสัย-ความเคยชิน ที่เป็นพวก กิเลส อุปาทาน อวิชชา) ถ้าแยกไม่ออกก็จะไม่มีวันเข้าใจเรื่องสักกายทิฏฐิได้ถูกต้อง คือความเห็นก็เป็นแค่เพียงความเข้าใจที่มาจากการใช้เหตุผลหรือสามัญสำนึก (สามัญสำนึกคือความรู้สึกธรรมดาของจิตที่ยังไม่ประกอบด้วยสติปัญญา) มาสนับสนุนเท่านั้น ซึ่งถ้าเรามีเหตุผลที่ดีกว่าหรือสามัญสำนึกมันเปลี่ยนไป ความเห็นของเราก็สามารถเปลี่ยนตามไปได้ ส่วนความรู้สึกจากจิตใต้สำนึกนั้นมันเป็นความเคยชิน (อนุสัย) ที่จิตของเราได้สั่งสมมาตลอดทั้งชีวิต (ที่เรียกว่าสันดานหรือนิสัย) ที่เปลี่ยนแปลงได้ยาก ต้องใช้การสั่งสมนิสัยใหม่ (ที่ตรงข้ามกับนิสัยเก่า) ที่มากพอ (คือมีทั้งการปฏิบัติที่ต่อเนื่องและยาวนาน) จึงจะเปลี่ยนแปลงนิสัยของจิตใต้สำนึกได้
เปรียบเหมือนกับว่า เมื่อเราเกิดมาแล้วแต่ถูกเอาไปให้คนอื่นเลี้ยงตั้งแต่ยังเล็กจนโต โดยไม่รู้ว่าคนที่เลี้ยงนั้นไม่ใช่พ่อแม่ที่แท้จริง จนมาได้รู้ภายหลังจากหลักฐาน เช่น การตรวจดีเอ็นเอ หรือจากพยานที่รู้เห็น เป็นต้น ว่าพ่อแม่ที่แท้จริงนั้นเป็นใครและรู้ว่าคนที่เลี้ยงนั้นไม่ใช่พ่อแม่ที่แท้จริง แต่ถึงเราจะรู้แล้วว่าคนที่เลี้ยงไม่ใช่พ่อแม่ที่แท้จริง แต่ความรู้สึกมันก็ยังรู้สึกอยู่ว่าคนที่เลี้ยงนั้นเป็นพ่อแม่จริงๆ
การที่มีคนมาบอกว่า “ความเข้าใจว่ามีตัวเราอยู่ในชีวิตนี้เป็นความเห็นผิดนั้น” แน่นอนว่าใหม่ๆก็จะไม่มีใครเข้าใจและไม่ยอมรับ รวมทั้งยังอาจจะมองว่าคนบอกนั่นเองที่เป็นผู้มีความเห็นผิดเสียเอง ซึ่งสาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเขายังไม่ได้รับการศึกษาที่ถูกต้องว่าร่างกายกับจิตใจของเรานี้มันไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของเรา (คือเรื่องความเป็นอนัตตาของร่างกายกับจิตใจ) แต่ถ้าเขาได้รับการศึกษามาอย่างถูกต้องแล้ว เขาจึงจะเข้าใจและยอมรับซึ่งก็จะทำให้เขากลายมาเป็นผู้มีความเห็นที่ถูกต้อง (มีสัมมาทิฏฐิ) ได้
ปล. โปรดติดตามกระทู้ต่อไป
ต้องทำลายสักกายทิฏฐิให้ได้ก่อน
ก่อนอื่นเราก็ต้องแยกให้ออกระหว่างความเข้าใจ (ที่เรียกว่าทิฏฐิ-ความเห็น) กับ ความรู้สึกจากจิตใต้สำนึก (ที่เรียกว่า อนุสัย-ความเคยชิน ที่เป็นพวก กิเลส อุปาทาน อวิชชา) ถ้าแยกไม่ออกก็จะไม่มีวันเข้าใจเรื่องสักกายทิฏฐิได้ถูกต้อง คือความเห็นก็เป็นแค่เพียงความเข้าใจที่มาจากการใช้เหตุผลหรือสามัญสำนึก (สามัญสำนึกคือความรู้สึกธรรมดาของจิตที่ยังไม่ประกอบด้วยสติปัญญา) มาสนับสนุนเท่านั้น ซึ่งถ้าเรามีเหตุผลที่ดีกว่าหรือสามัญสำนึกมันเปลี่ยนไป ความเห็นของเราก็สามารถเปลี่ยนตามไปได้ ส่วนความรู้สึกจากจิตใต้สำนึกนั้นมันเป็นความเคยชิน (อนุสัย) ที่จิตของเราได้สั่งสมมาตลอดทั้งชีวิต (ที่เรียกว่าสันดานหรือนิสัย) ที่เปลี่ยนแปลงได้ยาก ต้องใช้การสั่งสมนิสัยใหม่ (ที่ตรงข้ามกับนิสัยเก่า) ที่มากพอ (คือมีทั้งการปฏิบัติที่ต่อเนื่องและยาวนาน) จึงจะเปลี่ยนแปลงนิสัยของจิตใต้สำนึกได้
เปรียบเหมือนกับว่า เมื่อเราเกิดมาแล้วแต่ถูกเอาไปให้คนอื่นเลี้ยงตั้งแต่ยังเล็กจนโต โดยไม่รู้ว่าคนที่เลี้ยงนั้นไม่ใช่พ่อแม่ที่แท้จริง จนมาได้รู้ภายหลังจากหลักฐาน เช่น การตรวจดีเอ็นเอ หรือจากพยานที่รู้เห็น เป็นต้น ว่าพ่อแม่ที่แท้จริงนั้นเป็นใครและรู้ว่าคนที่เลี้ยงนั้นไม่ใช่พ่อแม่ที่แท้จริง แต่ถึงเราจะรู้แล้วว่าคนที่เลี้ยงไม่ใช่พ่อแม่ที่แท้จริง แต่ความรู้สึกมันก็ยังรู้สึกอยู่ว่าคนที่เลี้ยงนั้นเป็นพ่อแม่จริงๆ
การที่มีคนมาบอกว่า “ความเข้าใจว่ามีตัวเราอยู่ในชีวิตนี้เป็นความเห็นผิดนั้น” แน่นอนว่าใหม่ๆก็จะไม่มีใครเข้าใจและไม่ยอมรับ รวมทั้งยังอาจจะมองว่าคนบอกนั่นเองที่เป็นผู้มีความเห็นผิดเสียเอง ซึ่งสาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเขายังไม่ได้รับการศึกษาที่ถูกต้องว่าร่างกายกับจิตใจของเรานี้มันไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของเรา (คือเรื่องความเป็นอนัตตาของร่างกายกับจิตใจ) แต่ถ้าเขาได้รับการศึกษามาอย่างถูกต้องแล้ว เขาจึงจะเข้าใจและยอมรับซึ่งก็จะทำให้เขากลายมาเป็นผู้มีความเห็นที่ถูกต้อง (มีสัมมาทิฏฐิ) ได้
ปล. โปรดติดตามกระทู้ต่อไป