ความทุกข์ทั้งหมดนี้ พระพุทธเจ้าสอนว่า มันมีต้นเหตุมาจากจิตใจของเราเอง. คือสิ่งภายนอกทั้งหลายมันไม่ใช่เหตุที่แท้จริง ที่จะทำให้จิตใจของเราเป็นทุกข์เลย เพราะสิ่งภายนอกทั้งหลายมันก็เป็นธรรมชาติของมันอย่างนั้นเอง แต่สาเหตุที่จิตใจของเราเป็นทุกข์ ก็เพราะจิตใจของเราอยากให้สิ่งภายนอกทั้งหลาย มันเป็นไปตามความอยากของเรา. ซึ่งเมื่อมันเป็นไปตามที่เราอยาก (สมปรารถนา) เราก็จะยังไม่มีทุกข์ แต่ไม่มีอะไรที่จะเป็นไปตามที่เราอยากได้ตลอดไป. ดังนั้นเมื่อสิ่งใดไม่เป็นไปตามที่เราอยาก (ไม่สมปรารถนา) เราก็จะเกิดความเสียใจ หรือความทุกข์ขึ้นมาอย่างรุนแรงทันที.
สิ่งที่จิตอยากจะให้เป็นก็ได้แก่ : อยากมีร่างกายเป็นหนุ่มเป็นสาว, อยากหล่อ อยากสวย, อยากมีชีวิตที่สุขสบาย, อยากมีสมมรรถภาพทางเพศ, อยากมีร่างกายที่แข็งแรงไม่มีโรค, อยากมีคนหรือสิ่งที่รักอยู่ด้วย, อยากร่ำรวย, อยากมีเกียรติ, อยากมีชื่อเสียง, อยากมีอำนาจ, อยากมีชีวิตอยู่ (ไม่อยากตาย), อยากไม่มีปัญหา, อยากหนีคนหรือสิ่งที่น่าเกลียดหรือน่ากลัว, อยากสมหวังในทุกเรื่อง. เป็นต้น ซึ่งสรุปแล้วก็คือ อยากมีความสุข อยากไม่มีความทุกข์ (ไม่อยากมีความทุกข์) นั่นเอง.
ตามธรรมดาแล้วมนุษย์ทุกคนก็อยากมีความสุข ไม่อยากมีความทุกข์ ซึ่งความสุขที่มนุษย์อยากได้นั้น เกือบทั้งหมดมาจากสิ่งภายนอกทั้งสิ้น (คือมาจากรูปที่เห็น, เสียงที่ได้ยิน, กลิ่นที่ได้ดม, รสที่ได้ลิ้ม, วัตถุที่กระทบกาย) ซึ่งเมื่อสิ่งภายนอกเป็นไปตามความอยากของจิต (สมปรารถนา) จิตก็จะมีความสุข ยังไม่มีความทุกข์ แต่เมื่อใดที่สิ่งภายนอกเปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติของมัน แล้วไม่เป็นไปตามความอยากของจิต (ไม่สมปรารถนา) เช่น ร่างกายแก่หรือพิการ, ร่างกายไม่หล่อ ไม่สวย, มีชีวิตที่ยากลำบาก, ไร้สมรรถภาพทางเพศ, ร่างกายมีโรคร้ายแรง, คนหรือสิ่งที่รักจากไป, ยากจน, ไม่มีเกียรติ, ไม่มีชื่อเสียง, ไม่มีอำนาจ, ใกล้จะตาย (รู้ว่าต้องตาย), มีปัญหารุมเร้า, ต้องพบกับคนหรือสิ่งที่น่าเกลียดน่ากลัว, ผิดหวัง. เป็นต้น จิตก็จะเกิดความไม่พอใจ (เพราะไม่อยากมี ไม่อยากเป็น ในสภาพที่ไม่น่าพอใจเช่นนี้) ขึ้นมาทันที. ซึ่งความไม่พอใจนี้ก็คือความเสียใจอย่างรุนแรง ซึ่งความเสียใจนี้ก็คือความทุกข์นั่นเอง.
ความอยากของจิตนี้ มาจากจิตใต้สำนึก (จิตใต้สำนึกคือจิตส่วนลึกที่ควบคุมไม่ได้ มันจะแสดงอาการของมันออกมาได้เองเมื่อมีสิ่งภายนอกมากระตุ้น แต่มันสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ถ้าจิตปกติมีการรับรู้บ่อยๆจนจิตมีความเคยชิน ซึ่งนิสัยของมนุษย์ก็มาจากความเคยชินหรือจากจิตใต้สำนึกนี่เอง) ที่รู้สึกว่า “มีตนเอง” (หรือมีตัวเรา) อยู่ตลอดเวลา. และเมื่อมีสิ่งภายนอกมากระตุ้น (เช่น รู้ว่าคนรักได้จากไป) ความรู้สึกว่ามีตนเองนี้จะเข้มข้นขึ้นแล้วกลายมาเป็น “ความยึดถือว่ามีตนเอง” ขึ้นมา (เช่น เกิดความยึดถือว่ามีตัวเราที่คนรักของเราได้จากไป) และเมื่อมีความยึดถือว่ามีตนเอง ความทุกข์ประการต่างๆของจิตใจที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับ : ความทรมานของร่างกาย (เช่น จากความหิว, กระหาย, เหนื่อย, เจ็บ), ความแก่ของร่างกาย, ความตายร่างกาย, ความพลัดพรากจากบุคคลหรือสิ่งที่พอใจ, ความที่ต้องประสบกับบุคคลหรือสิ่งที่ไม่พอใจ, ความไม่สมปรารถนา. เป็นต้น ก็จะเกิดขึ้นมาทันทีอย่างรุนแรง.
ความรู้สึกว่ามีตนเองของจิตใต้สำนึก ก็มาจาก ความรู้ผิดสูงสุด ที่รู้ว่า “มีตนเองอยู่จริง” (หรือมีตัวเราอยู่จริง) ซึ่งความรู้ผิดว่ามีตนเองนี้ก็คือ ความรู้ที่ผิดไปจากความเป็นจริงของธรรมชาติ. คือความเป็นจริงของร่างกายและจิตใจของมนุษย์ทุกคนนั้น มันไม่ได้มีตัวตนของใครๆเลย มันเป็นแค่เพียง “สิ่งปรุงแต่ง” ที่ธรรมชาติปรุงแต่งหรือสร้างสรรค์ขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์เท่านั้น (ซึ่งเรื่องนี้เราจะศึกษากันโดยละเอียดต่อไป)
สรุปได้ว่า ต้นเหตุของความทุกข์ทั้งหมดของจิตใจมนุษย์มาจาก จิตใต้สำนึกที่มีความรู้ผิดว่ามีตนเอง ซึ่งความรู้ผิดนี้เอง ที่คอยกระตุ้นให้จิตเกิดความรู้สึกว่ามีตนเองขึ้นมาอยู่เสมอๆ และเมื่อใดที่มีสิ่งภายนอกมากระตุ้น ก็จะทำให้จิตเกิดความยึดถือเอาร่างกายและจิตใจ รวมทั้งสิ่งภายนอกที่เกี่ยวข้องว่าเป็น ตัวตนและเป็นของตนขึ้นมาทันที เมื่อมีความยึดถือว่ามีตนเองขึ้นมาเมื่อใด ความทุกข์ของจิตใจก็จะเกิดขึ้นมาด้วยทันทีอย่างรุนแรง.
อะไรคือสาเหตุของความทุกข์?
สิ่งที่จิตอยากจะให้เป็นก็ได้แก่ : อยากมีร่างกายเป็นหนุ่มเป็นสาว, อยากหล่อ อยากสวย, อยากมีชีวิตที่สุขสบาย, อยากมีสมมรรถภาพทางเพศ, อยากมีร่างกายที่แข็งแรงไม่มีโรค, อยากมีคนหรือสิ่งที่รักอยู่ด้วย, อยากร่ำรวย, อยากมีเกียรติ, อยากมีชื่อเสียง, อยากมีอำนาจ, อยากมีชีวิตอยู่ (ไม่อยากตาย), อยากไม่มีปัญหา, อยากหนีคนหรือสิ่งที่น่าเกลียดหรือน่ากลัว, อยากสมหวังในทุกเรื่อง. เป็นต้น ซึ่งสรุปแล้วก็คือ อยากมีความสุข อยากไม่มีความทุกข์ (ไม่อยากมีความทุกข์) นั่นเอง.
ตามธรรมดาแล้วมนุษย์ทุกคนก็อยากมีความสุข ไม่อยากมีความทุกข์ ซึ่งความสุขที่มนุษย์อยากได้นั้น เกือบทั้งหมดมาจากสิ่งภายนอกทั้งสิ้น (คือมาจากรูปที่เห็น, เสียงที่ได้ยิน, กลิ่นที่ได้ดม, รสที่ได้ลิ้ม, วัตถุที่กระทบกาย) ซึ่งเมื่อสิ่งภายนอกเป็นไปตามความอยากของจิต (สมปรารถนา) จิตก็จะมีความสุข ยังไม่มีความทุกข์ แต่เมื่อใดที่สิ่งภายนอกเปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติของมัน แล้วไม่เป็นไปตามความอยากของจิต (ไม่สมปรารถนา) เช่น ร่างกายแก่หรือพิการ, ร่างกายไม่หล่อ ไม่สวย, มีชีวิตที่ยากลำบาก, ไร้สมรรถภาพทางเพศ, ร่างกายมีโรคร้ายแรง, คนหรือสิ่งที่รักจากไป, ยากจน, ไม่มีเกียรติ, ไม่มีชื่อเสียง, ไม่มีอำนาจ, ใกล้จะตาย (รู้ว่าต้องตาย), มีปัญหารุมเร้า, ต้องพบกับคนหรือสิ่งที่น่าเกลียดน่ากลัว, ผิดหวัง. เป็นต้น จิตก็จะเกิดความไม่พอใจ (เพราะไม่อยากมี ไม่อยากเป็น ในสภาพที่ไม่น่าพอใจเช่นนี้) ขึ้นมาทันที. ซึ่งความไม่พอใจนี้ก็คือความเสียใจอย่างรุนแรง ซึ่งความเสียใจนี้ก็คือความทุกข์นั่นเอง.
ความอยากของจิตนี้ มาจากจิตใต้สำนึก (จิตใต้สำนึกคือจิตส่วนลึกที่ควบคุมไม่ได้ มันจะแสดงอาการของมันออกมาได้เองเมื่อมีสิ่งภายนอกมากระตุ้น แต่มันสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ถ้าจิตปกติมีการรับรู้บ่อยๆจนจิตมีความเคยชิน ซึ่งนิสัยของมนุษย์ก็มาจากความเคยชินหรือจากจิตใต้สำนึกนี่เอง) ที่รู้สึกว่า “มีตนเอง” (หรือมีตัวเรา) อยู่ตลอดเวลา. และเมื่อมีสิ่งภายนอกมากระตุ้น (เช่น รู้ว่าคนรักได้จากไป) ความรู้สึกว่ามีตนเองนี้จะเข้มข้นขึ้นแล้วกลายมาเป็น “ความยึดถือว่ามีตนเอง” ขึ้นมา (เช่น เกิดความยึดถือว่ามีตัวเราที่คนรักของเราได้จากไป) และเมื่อมีความยึดถือว่ามีตนเอง ความทุกข์ประการต่างๆของจิตใจที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับ : ความทรมานของร่างกาย (เช่น จากความหิว, กระหาย, เหนื่อย, เจ็บ), ความแก่ของร่างกาย, ความตายร่างกาย, ความพลัดพรากจากบุคคลหรือสิ่งที่พอใจ, ความที่ต้องประสบกับบุคคลหรือสิ่งที่ไม่พอใจ, ความไม่สมปรารถนา. เป็นต้น ก็จะเกิดขึ้นมาทันทีอย่างรุนแรง.
ความรู้สึกว่ามีตนเองของจิตใต้สำนึก ก็มาจาก ความรู้ผิดสูงสุด ที่รู้ว่า “มีตนเองอยู่จริง” (หรือมีตัวเราอยู่จริง) ซึ่งความรู้ผิดว่ามีตนเองนี้ก็คือ ความรู้ที่ผิดไปจากความเป็นจริงของธรรมชาติ. คือความเป็นจริงของร่างกายและจิตใจของมนุษย์ทุกคนนั้น มันไม่ได้มีตัวตนของใครๆเลย มันเป็นแค่เพียง “สิ่งปรุงแต่ง” ที่ธรรมชาติปรุงแต่งหรือสร้างสรรค์ขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์เท่านั้น (ซึ่งเรื่องนี้เราจะศึกษากันโดยละเอียดต่อไป)
สรุปได้ว่า ต้นเหตุของความทุกข์ทั้งหมดของจิตใจมนุษย์มาจาก จิตใต้สำนึกที่มีความรู้ผิดว่ามีตนเอง ซึ่งความรู้ผิดนี้เอง ที่คอยกระตุ้นให้จิตเกิดความรู้สึกว่ามีตนเองขึ้นมาอยู่เสมอๆ และเมื่อใดที่มีสิ่งภายนอกมากระตุ้น ก็จะทำให้จิตเกิดความยึดถือเอาร่างกายและจิตใจ รวมทั้งสิ่งภายนอกที่เกี่ยวข้องว่าเป็น ตัวตนและเป็นของตนขึ้นมาทันที เมื่อมีความยึดถือว่ามีตนเองขึ้นมาเมื่อใด ความทุกข์ของจิตใจก็จะเกิดขึ้นมาด้วยทันทีอย่างรุนแรง.