ตอนที่ 2
กลกามเทพ
โดย...ล. วิลิศมาหรา
ใกล้เที่ยงเต็มที ช่อชบาเม้มริมฝีปากครุ่นคิด ในที่สุดก็ตัดสินใจเคาะประตูและผลักเข้าไปอีกครั้ง ผู้ช่วยคนใหม่ของเนตรนภิสลดโทรศัพท์มือถือลง เลิกคิ้วหนาขึ้นเชิงถาม
แหม เกลียดขี้หน้านักเชียว หมอนี่ขี้วีน ไม่มีมารยาท ไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษ แถมตั้งแต่เข้ามาทำงานก็เอาแต่คุยโทรศัพท์
...ทำงานแบบนี้เจริญตายล่ะ... เลขาสาวคิดค่อนขอดในใจ
“เอิ่ม...ดิฉันได้รับคำสั่งจากคุณเนตรนภิสให้มาเชิญคุณไปแนะนำที่ทานอาหารมื้อเที่ยงค่ะ”
หญิงสาวเดินตัวตรงเข้ามาหยุดยืนหน้าโต๊ะทำงานของเขา เธอมุสาแล้วกลั้นใจฟังคำตอบ ในใจแอบหวังให้เขาปฏิเสธแล้วบอกว่ามีนัดไปกินข้าวข้างนอก
ตาคมคู่นั้นมองใบหน้าบ้องแบ๊วของช่อชบานิ่งอย่างชั่งใจ
เมื่อสักครู่เขาพึ่งวางสายจากนลินี อุดมสิน อดีตสาวคนรัก ที่บัดนี้ผันตัวมาเป็นแม่เลี้ยงของเขา คำพูดของหญิงใจคดคนนั้นสร้างความหนักใจให้แก่ผู้ช่วยผู้จัดการคนใหม่ของที่นี่
แม่เลี้ยงสาวของเขมชาติอยากมาดูที่ทำงาน เธออ้างว่าข้องใจที่ลูกเลี้ยงหนุ่มเลือกมาทำงานในบริษัทเล็ก ๆ แห่งนี้ ทั้ง ๆ ที่บิดาเป็นเจ้าของธุรกิจโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่และโรงพยาบาลเอกชนชื่อเสียงโด่งดัง ซึ่งขณะนี้งานล้นมือ และกำลังรอให้ลูกชายคนเดียวซึ่งเรียนจบทางด้านเศรษฐศาสตร์และบริหารธุรกิจจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศอังกฤษมาช่วยงาน
ปัจจุบันเขมชาติ ชาญชีวิน เกลียดนลินี และรู้ดีด้วยว่าหล่อนจะมาไม้ไหน ผู้หญิงคนนี้เคยคบหาเป็นแฟนกับเขาขณะศึกษาอยู่ที่อังกฤษเมื่อห้าปีก่อน
แต่ในขณะนั้นเขารักเธอ...เขมชาติหลงรักหญิงสาวแสนสวยที่ชื่อนลินี เธอสวยหยาดเยิ้มชนิดที่ผู้ชายคนไหนเดินผ่านเป็นต้องเหลียวหลังมามอง แถมยังอ่อนหวาน ขี้อ้อน และเก่งสารพัด สาวสวยคนนี้ได้ทุนจากบริษัทสื่อสารยักษ์ใหญ่ของเมืองไทย เพื่อไปศึกษาต่อคณะเดียวกับเขาเป็นเวลาสองปี เขมชาติรู้จักกับเธอที่นั่น
นลินีทำตัวเด่นในกลุ่มเพื่อนฝูงคนไทยเสมอ นอกจากโชว์ฝีมือในการทำอาหารไทยแล้ว หญิงสาวยังรำไทยได้อ่อนช้อยสวยงาม อีกเดี๋ยวก็ออกมาเดินแบบด้วยมาดนางแบบมืออาชีพ และพอผลการเรียนออกมา คะแนนของเธอยังโด่งนำลิ่วอยู่ในระดับแถวหน้าอีกด้วย นลินีคือผู้หญิงเพอร์เฟ็คที่สุดเท่าที่เขมชาติเคยเจอ
มีผู้ชายหน้าตาดี ร่ำรวย พ่วงดีกรีการศึกษาสูง ๆ ทั้งไทยและเทศรุมขายขนมจีบมากมาย แต่นลินีไม่สนใจ เขมชาติเคยรู้สึกมีความสุขและภูมิใจอย่างที่สุด เมื่อมีแฟนสาวแสนสวย เก่ง ฉลาดและเด่นดังอย่างนลินี ชายหนุ่มทุ่มเทความรักทั้งหมดให้แก่เธอ ไม่ชายตามองผู้หญิงคนไหนอีกเลย
นลินีสามารถเรียนจบก่อนเพื่อนคนอื่น ๆ และบินกลับเมืองไทยทันทีตามพันธสัญญาที่ให้ไว้กับเจ้าของทุน เธอเรียนจบก่อนเขาหนึ่งปี หลังกลับมาเมืองไทยใหม่ ๆ คนทั้งสองยังติดต่อกันสม่ำเสมอ
ต่อมาระยะหลัง ๆ เขมชาติจึงรู้สึกผิดสังเกต เมื่อหญิงคนรักเริ่มทำตัวห่างเหิน นลินีเล่าให้ฟังว่า ได้เข้าทำงานกับสื่อยักษ์ใหญ่ที่ให้ทุนเธอไปเรียนต่อ ซึ่งเป็นสื่อพันธมิตรกับธุรกิจของณรงค์เดช ชาญชีวิน ผู้เป็นคุณพ่อของเขา ในตำแหน่งผู้บริหาร จากนั้นเธอเริ่มเปลี่ยนไป แฟนสาวคนสวยยุ่งอยู่กับงานจนไม่มีเวลาคุยกับเขาไม่ว่าจะเป็นช่องทางใด นลินีค่อย ๆ หายไปจากชีวิตของเขา และขาดการติดต่อโดยสิ้นเชิงนานกว่าหนึ่งปี
ในขณะที่เขากำลังสับสนงุนงงกับท่าทีของแฟนสาว สอบถามจากเพื่อนสนิทของเธอที่มีไม่กี่คน เนื่องจากหญิงสาวคนเก่งไม่ค่อยคบใครลึกซึ้งต่างก็ปิดปากเงียบ และแล้วจู่ ๆ เขาก็ได้รับการบอกเล่าจากบิดา นายณรงค์เดช ชาญชีวิน พ่อหม้ายเนื้อหอมมหาเศรษฐีใหญ่แห่งเมืองกรุง ผู้เคยหวงแหนความโสดอย่างเหนียวแน่น หลังมารดาของเขมชาติลาลับโลกนี้ไปเมื่อสามสิบปีที่แล้ว ว่าบิดาของเขากำลังตกลงปลงใจคิดจะแต่งงานกับหญิงสาวคราวลูก
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่คุณพ่อของเขาจะสละโสด เพราะในวัยหกสิบเก้าปี บิดาของเขมชาติที่เหงามานานยังดูแข็งแรง ทะมัดทะแมง แต่ที่น่าตกใจจนแทบช็อคก็เพราะว่า ผู้หญิงโชคดีคนนั้นชื่อ นลินี อุดมสิน!!
เขมชาติไม่ยอมกลับมาร่วมพีธีวิวาห์ของบิดากับอดีตคนรักและถ่วงเวลากลับ เมืองไทยมาระยะหนึ่ง แผลบาดเจ็บในใจจากเรื่องนี้เรื้อรังอย่างที่พูดกันว่า“อกกลัดหนอง”มุมมองต่อ ผู้หญิงของเขาเปลี่ยนไป ชายหนุ่มที่สุภาพอ่อนโยนเพียบพร้อมสมบูรณ์แบบอย่างเขา กลับถูกผู้หญิงหลอกลวงและทอดทิ้ง ชายอกหักขาดความไว้ใจในผู้หญิงทุกคน เขาสร้างเกราะกำบังตัวเองจากหญิงสาวคนอื่นๆแน่นหนา ไม่เปิดใจรับใครอีกต่อไป
เขมชาติคนใหม่คิดว่าผู้หญิงเป็นเพศที่เห็นแก่ได้ เจ้าหล่อนทั้งหลายละโมบ หิวกระหายเงินตราและไร้หัวใจ ขอเพียงมีผลประโยชน์ พวกเธอก็สามารถแลกกับทุกอย่างได้แม้กระทั่งความรักโดยไม่รีรอ และไม่เคยแคร์ความรู้สึกของผู้ชายแม้แต่น้อย เพราะฉะนั้นเขาก็ไม่จำเป็นต้องแคร์ความรู้สึกของบรรดาผู้หญิงเหล่านั้นด้วยเช่นกัน หลังเรียนจบเขมชาติหางานที่นั่นทำ และกะจะฝังรกรากอยู่ที่อังกฤษ โดยไม่คิดกลับเมืองไทยอีกเลย!!!
แต่แล้วหนุ่มหล่อนักเรียนนอกก็ต้องกลับมาเมืองไทยจนได้ เมื่อทราบว่าบิดาป่วยเป็นโรคหัวใจ และเพื่อถนอมน้ำใจคุณณรงค์เดช ชายหนุ่มยังต้องยอมทำดีกับผู้หญิงที่สร้างความเจ็บช้ำแสนสาหัสให้กับเขา แลกกับการให้นลินีเก็บอดีตของทั้งคู่ไว้เป็นความลับ เขมชาติไม่อยากให้บิดากระอักกระอ่วนใจที่มาแต่งงานกับอดีตคนรักของลูกชาย จากนั้น เขมชาติก็หาข้ออ้างต่าง ๆนานา เพื่อแยกตัวออกมาซื้อคอนโดมิเนียมพักอยู่ข้างนอกคฤหาสน์หรูราคากว่าร้อยล้านบาทของผู้เป็นพ่อ
ชายหนุ่มช้ำรักต้องทนทรมานใจต่อภาพบาดใจบาดตาในบ้านอยู่นาน กว่าจะสามารถเกลี้ยกล่อมบิดาให้ยอมตามที่ขอได้
เมื่อตอนเช้าหนุ่มนักเรียนนอกพึ่งพูดคุยทำความเข้าใจกับบิดาทางโทรศัพท์ เรื่องที่ขอมาช่วยเอกพงษ์เพื่อนรักในบริษัทรับออกแบบและดูแลระบบสุขาภิบาลเล็ก ๆ ที่กำลังตั้งตัวแห่งนี้สักระยะหนึ่ง ซึ่งเรื่องนี้ทำให้บิดาของเขาหงุดหงิดเป็นอันมาก
หลังจากใคร่ครวญในใจแล้ว ผู้ช่วยผู้จัดการคนใหม่ซึ่งเงียบไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยคำพูดที่ทำให้หญิงสาวที่ยืนรอฟังอยู่ถึงกับทำหน้าแหยเก
“ดีเหมือนกัน งั้นเราไปกันเลย ผมอยากทานข้าวให้เสร็จไว ๆ มีงานให้ทำอีกเยอะ”
ชายหนุ่มมองอาการหญิงสาวตรงหน้าอย่างนึกสังเวช ตอนที่เข้าบริษัทมาครั้งแรก แล้วเจอผู้หญิงคนนี้นั่งทำงานอยู่ในตำแหน่งเลขานุการฝ่ายประชาสัมพันธ์และต้อนรับ มันทำให้เขมชาติรู้สึกหงุดหงิด บริษัทควรคัดเลือกคนทำงานในหน้าที่นี้ให้ดี อย่างน้อย ๆ ก็ควรมีบุคลิกภาพคล่องแคล่วว่องไวและเป็นมิตร ไม่ใช่นั่งทำหน้าซังกะตายอยู่ตรงแผนกต้อนรับ รูปร่างหน้าตาก็มีส่วนสำคัญ ไม่รู้ว่าผู้หญิงผมบ๊อบยาวเคลียไหล่กับหน้าม้าสั้นเต่อคนนี้มีอะไรดี จึงได้รับการพิจารณาให้มาทำหน้าที่นี้ ดูหน้าตาท่าทางเธอแล้วเขมชาติก็นึกไปถึงการ์ตูนเล่มหนึ่งที่เขาเคยอ่าน...หนูหิ่นอินเตอร์...
ชั้นที่สิบหกของอาคารนี้มีทั้งภัตตาคารและร้านอาหารหรู ๆ อีกฟากหนึ่งจึงเป็นฟู้ดเซ็นเตอร์ที่มีอาหารตามสั่งจานด่วนจานเดียวเรียงราย ปกติช่อชบาจะเดินลงบันใดมา แต่วันนี้หญิงสาวพาชายหนุ่มมาดเท่ห์ลงมาทางลิฟต์ พอก้าวออกจากลิฟต์ เธอจึงผายมือเชิญให้เขาเลือกร้าน
“เชิญตามสบายนะคะ ดิฉันขอตัวก่อน”
พูดจบก็ทำท่าจะผละไป
“เดี๋ยวสิคุณ”
ช่อชบาจำต้องชะงักเท้าที่กำลังก้าวเดิน หันมาทำหน้าเมื่อย
“มีอะไรอีกเหรอค้า”
หญิงสาวลากหางเสียงยาว
“คุณไม่ไปทานเป็นเพื่อนผมเหรอ”
“เอ่อ พอดีวันนี้ดิฉันอยากทานส้มตำไก่ย่างค่ะ”
ช่อชบาอ้างอย่างขอไปทีด้วยคิดว่าหนุ่มไฮโซคงไม่มีรสนิยมแบบนั้นแน่
“เอาสิ”
หนุ่มหล่อพยักหน้า เขมชาติมีความจำเป็นบางอย่างที่จำต้องสานสัมพันธ์กับผู้หญิงท่าทางเชย ๆ คนนี้
“ผมไปทานด้วย ไม่ได้กินส้มตำมานานแล้วเหมือนกัน”
ส่วนแม่สาวที่มีกิ๊บเป็นคลิปที่หนีบกระดาษกำลังนึกอยากจะเป็นลม....
เลขาสาวจำใจต้องเดินนำหน้าชายหนุ่มไปหาที่นั่งในโซนใกล้ร้านส้มตำเจ้าประจำ ซึ่งมีไก่อบน้ำผึ้งเนื้อแน่นวางขายคู่กับส้มตำรสเด็ดพร้อมขนมจีนกับข้าวเหนียวนึ่ง หล่อนสั่งมาทั้งหมดชุดหนึ่ง ก่อนหันมาถามหนุ่มมาดผู้ดีที่นั่งตรงข้าม
“แน่ใจว่ากินเป็นนะคะ”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับแล้วย้อนถาม
“ทำไมคุณถึงคิดว่าผมกินไม่เป็น”
อยากจะตอบว่า ก็ท่าทางนายมันไฮโซซะขนาดนั้น แต่ที่บอกออกไปก็คือ
“ดิฉันรู้มาจากบอสว่าคุณพึ่งกลับมาจากเมืองนอก อาจจะไม่ชินกับอาหารรสจัดน่ะค่ะ”
“คุณพูดเหมือนกับว่าผมไม่เคยกิน ผมกินได้ อยู่ที่โน่นผมก็เคยกิน ที่นั่นมีร้านอาหารไทยหลายร้าน บางทีก็ทำกินกันในบ้านแต่รสชาติอาจจะเพี้ยนไปบ้าง โดยเฉพาะความเผ็ด”
อ้อ เหรอ เดี่ยวเหอะ...จะคอยดูไอ้หนุ่มนักเรียนนอกขี้เก๊กกินส้มตำเผ็ด ๆ น้ำหูน้ำตาไหล ช่อชบาแอบนึกกระหยิ่มในใจ แล้วหันไปสำทับแม่ค้าส้มตำด้วยหน้าระรื่นว่า
“ตำให้แซ่บ ๆ นะคุณพี่”
“คุณแต่งงานหรือยัง”
อยู่ ๆ ชายหนุ่มตรงหน้าก็ถามขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ช่อชบาฉุนกึก หน้าบูดลงทันใด
“ฉันยังโสดค่ะ”
หนุ่มหล่อทำไม่สนใจอาการนั้นของเธอ พูดต่อว่า
“อ้อ ผมนึกว่าคุณแพ้ท้องซะอีก เห็นชอบกินของแซ่บ ๆ”
ช่อชบาหันขวับมาทำตาเขียวเข้าใส่ หญิงสาวกัดริมฝีปากล่าง ตาโต ๆ ลุกวาว
อี๊ยยยย ชั้นเกลียดแก๊!!
อาหารมื้อเที่ยงมื้อนั้นผ่านไปอย่างฝืดคอทั้งสองคน เขมชาตินั่งกินไก่อบน้ำผึ้งกับข้าวเหนียว นาน ๆ ถึงจะใช้ช้อนส้อมจิ้มส้มตำกินทีหนึ่งอย่างสบาย ๆ ส่วนคนที่เผ็ดหน้าดำหน้าแดงกลับเป็นช่อชบา ที่ต้องพยายามกินส้มตำให้เหมือนเอร็ดอร่อยเสียเต็มประดา แม่ค้าส้มตำที่สนิทกันแซวสาวแก้มป่องขำ ๆ
“ทุกทีให้ใส่พริกเม็ดเดียว กินเผ็ดไม่เก่งไม่ใช่เหรอ วันนี้นึกยังไงสั่งให้ตำแซ่บ ๆ”
ช่อชบาทำหน้าไม่ถูก ใช้มือสองข้างพัดโบกเอาลมเข้าปากอยู่ไปมา พร้อมซูดปากซู้ด ๆ ชำเลืองมองส้มตำรสจัดจ้านที่ยังเหลืออีกตั้งครึ่งค่อนจานอย่างแหยง ๆ
ชายหนุ่มหน้าขรึมมองหน้าหล่อนแล้วยิ้มนิด ๆ อย่างรู้ทัน เขาตักส้มตำใส่จานให้หญิงสาวอีก พลางพยักพเยิดให้ทานต่อ
“สั่งมาแล้วก็กินให้หมดสิคุณ เหลือตั้งเยอะ คุณอยากกินส้มตำไม่ใช่เหรอ”
“เอ่อ ฉันอิ่มแล้วค่ะคุณ”
หญิงสาวบอกพลางซู้ดปากแล้วยิ้มแหย ๆ ยกฝ่ามือที่แบออกทั้งสองข้างขึ้นเสมอไหล่ทำนองยอมแพ้
เขมชาติมองดูท่าทางเลขาจอมเปิ่นแล้วส่ายหน้าอย่างสมเพช ชายหนุ่มลุกไปซื้อน้ำส้มมาสองแก้ว ยื่นส่งให้เธอแก้วหนึ่ง นึกขำความคิดเด็ก ๆ ของแม่เลขาสาวผู้มีกิ๊ปเป็นที่หนีบกระดาษ ที่เค้นสมองคิดจะแกล้งเขาได้แค่นี้
“เอ้า ดื่มแก้เผ็ดซะ ถ้ากินเผ็ดไม่เก่งวันหลังก็ไม่ต้องสั่งเผื่อผมนะ”
บอกอย่างเวทนาในความร้ายแบบซื่อจนเซ่อของหล่อน
“ขอบคุณค่ะ”
หญิงสาวแสบร้อนไปทั้งปากทั้งลิ้น รีบก้มดูดน้ำส้มจากหลอดก่อนเงยหน้าขึ้นขอบคุณ...วินาทีนั้น ช่อชบาคิดว่าเธอเห็นแววตาอ่อนโยนอย่างที่เธอไม่คิดว่าจะได้เห็น ฉายแวบออกจากตาคมดุคู่นั้น สาวเปิ่นชะงักไปนิดหนึ่ง...เออ ทำตาแบบนี้ก็เป็นแฮะ
หนุ่มสาวทั้งคู่กลับเข้ามาในบริษัทเมื่อเลยบ่ายโมงไปเล็กน้อย ที่จริงน่าจะกลับมาเร็วกว่านี้ ถ้าแม่เลขาหน้าม้าเต่อจะไม่ขอแวะเข้าไปแต่งหน้าทาปากในห้องน้ำหญิงเสียหน่อย หลังจากกินเผ็ดจนเหงื่อไหลไคลย้อย ทั้งแป้งและลิปสติกถูกทิชชูเช็ดจนหายเกลี้ยง
ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าปอดลึก ๆ นับหนึ่ง สอง ไปเรื่อย ๆ อย่างสะกดอารมณ์ขณะยืนรอ ผู้หญิงคนนี้ไม่คู่ควรให้เขายืนรอเลยสักนิด
...อยากจะพูดใส่หน้าหล่อนจริง ๆ ว่า... ต่อให้ทาแป้งหมดตลับก็คงไม่สวยขึ้นมาหรอกน่า
(มีต่อ)
รักวุ่นวายยายซุ่มซ่าม ตอนที่ 2 กลกามเทพ
กลกามเทพ
โดย...ล. วิลิศมาหรา
ใกล้เที่ยงเต็มที ช่อชบาเม้มริมฝีปากครุ่นคิด ในที่สุดก็ตัดสินใจเคาะประตูและผลักเข้าไปอีกครั้ง ผู้ช่วยคนใหม่ของเนตรนภิสลดโทรศัพท์มือถือลง เลิกคิ้วหนาขึ้นเชิงถาม
แหม เกลียดขี้หน้านักเชียว หมอนี่ขี้วีน ไม่มีมารยาท ไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษ แถมตั้งแต่เข้ามาทำงานก็เอาแต่คุยโทรศัพท์
...ทำงานแบบนี้เจริญตายล่ะ... เลขาสาวคิดค่อนขอดในใจ
“เอิ่ม...ดิฉันได้รับคำสั่งจากคุณเนตรนภิสให้มาเชิญคุณไปแนะนำที่ทานอาหารมื้อเที่ยงค่ะ”
หญิงสาวเดินตัวตรงเข้ามาหยุดยืนหน้าโต๊ะทำงานของเขา เธอมุสาแล้วกลั้นใจฟังคำตอบ ในใจแอบหวังให้เขาปฏิเสธแล้วบอกว่ามีนัดไปกินข้าวข้างนอก
ตาคมคู่นั้นมองใบหน้าบ้องแบ๊วของช่อชบานิ่งอย่างชั่งใจ
เมื่อสักครู่เขาพึ่งวางสายจากนลินี อุดมสิน อดีตสาวคนรัก ที่บัดนี้ผันตัวมาเป็นแม่เลี้ยงของเขา คำพูดของหญิงใจคดคนนั้นสร้างความหนักใจให้แก่ผู้ช่วยผู้จัดการคนใหม่ของที่นี่
แม่เลี้ยงสาวของเขมชาติอยากมาดูที่ทำงาน เธออ้างว่าข้องใจที่ลูกเลี้ยงหนุ่มเลือกมาทำงานในบริษัทเล็ก ๆ แห่งนี้ ทั้ง ๆ ที่บิดาเป็นเจ้าของธุรกิจโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่และโรงพยาบาลเอกชนชื่อเสียงโด่งดัง ซึ่งขณะนี้งานล้นมือ และกำลังรอให้ลูกชายคนเดียวซึ่งเรียนจบทางด้านเศรษฐศาสตร์และบริหารธุรกิจจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศอังกฤษมาช่วยงาน
ปัจจุบันเขมชาติ ชาญชีวิน เกลียดนลินี และรู้ดีด้วยว่าหล่อนจะมาไม้ไหน ผู้หญิงคนนี้เคยคบหาเป็นแฟนกับเขาขณะศึกษาอยู่ที่อังกฤษเมื่อห้าปีก่อน
แต่ในขณะนั้นเขารักเธอ...เขมชาติหลงรักหญิงสาวแสนสวยที่ชื่อนลินี เธอสวยหยาดเยิ้มชนิดที่ผู้ชายคนไหนเดินผ่านเป็นต้องเหลียวหลังมามอง แถมยังอ่อนหวาน ขี้อ้อน และเก่งสารพัด สาวสวยคนนี้ได้ทุนจากบริษัทสื่อสารยักษ์ใหญ่ของเมืองไทย เพื่อไปศึกษาต่อคณะเดียวกับเขาเป็นเวลาสองปี เขมชาติรู้จักกับเธอที่นั่น
นลินีทำตัวเด่นในกลุ่มเพื่อนฝูงคนไทยเสมอ นอกจากโชว์ฝีมือในการทำอาหารไทยแล้ว หญิงสาวยังรำไทยได้อ่อนช้อยสวยงาม อีกเดี๋ยวก็ออกมาเดินแบบด้วยมาดนางแบบมืออาชีพ และพอผลการเรียนออกมา คะแนนของเธอยังโด่งนำลิ่วอยู่ในระดับแถวหน้าอีกด้วย นลินีคือผู้หญิงเพอร์เฟ็คที่สุดเท่าที่เขมชาติเคยเจอ
มีผู้ชายหน้าตาดี ร่ำรวย พ่วงดีกรีการศึกษาสูง ๆ ทั้งไทยและเทศรุมขายขนมจีบมากมาย แต่นลินีไม่สนใจ เขมชาติเคยรู้สึกมีความสุขและภูมิใจอย่างที่สุด เมื่อมีแฟนสาวแสนสวย เก่ง ฉลาดและเด่นดังอย่างนลินี ชายหนุ่มทุ่มเทความรักทั้งหมดให้แก่เธอ ไม่ชายตามองผู้หญิงคนไหนอีกเลย
นลินีสามารถเรียนจบก่อนเพื่อนคนอื่น ๆ และบินกลับเมืองไทยทันทีตามพันธสัญญาที่ให้ไว้กับเจ้าของทุน เธอเรียนจบก่อนเขาหนึ่งปี หลังกลับมาเมืองไทยใหม่ ๆ คนทั้งสองยังติดต่อกันสม่ำเสมอ
ต่อมาระยะหลัง ๆ เขมชาติจึงรู้สึกผิดสังเกต เมื่อหญิงคนรักเริ่มทำตัวห่างเหิน นลินีเล่าให้ฟังว่า ได้เข้าทำงานกับสื่อยักษ์ใหญ่ที่ให้ทุนเธอไปเรียนต่อ ซึ่งเป็นสื่อพันธมิตรกับธุรกิจของณรงค์เดช ชาญชีวิน ผู้เป็นคุณพ่อของเขา ในตำแหน่งผู้บริหาร จากนั้นเธอเริ่มเปลี่ยนไป แฟนสาวคนสวยยุ่งอยู่กับงานจนไม่มีเวลาคุยกับเขาไม่ว่าจะเป็นช่องทางใด นลินีค่อย ๆ หายไปจากชีวิตของเขา และขาดการติดต่อโดยสิ้นเชิงนานกว่าหนึ่งปี
ในขณะที่เขากำลังสับสนงุนงงกับท่าทีของแฟนสาว สอบถามจากเพื่อนสนิทของเธอที่มีไม่กี่คน เนื่องจากหญิงสาวคนเก่งไม่ค่อยคบใครลึกซึ้งต่างก็ปิดปากเงียบ และแล้วจู่ ๆ เขาก็ได้รับการบอกเล่าจากบิดา นายณรงค์เดช ชาญชีวิน พ่อหม้ายเนื้อหอมมหาเศรษฐีใหญ่แห่งเมืองกรุง ผู้เคยหวงแหนความโสดอย่างเหนียวแน่น หลังมารดาของเขมชาติลาลับโลกนี้ไปเมื่อสามสิบปีที่แล้ว ว่าบิดาของเขากำลังตกลงปลงใจคิดจะแต่งงานกับหญิงสาวคราวลูก
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่คุณพ่อของเขาจะสละโสด เพราะในวัยหกสิบเก้าปี บิดาของเขมชาติที่เหงามานานยังดูแข็งแรง ทะมัดทะแมง แต่ที่น่าตกใจจนแทบช็อคก็เพราะว่า ผู้หญิงโชคดีคนนั้นชื่อ นลินี อุดมสิน!!
เขมชาติไม่ยอมกลับมาร่วมพีธีวิวาห์ของบิดากับอดีตคนรักและถ่วงเวลากลับ เมืองไทยมาระยะหนึ่ง แผลบาดเจ็บในใจจากเรื่องนี้เรื้อรังอย่างที่พูดกันว่า“อกกลัดหนอง”มุมมองต่อ ผู้หญิงของเขาเปลี่ยนไป ชายหนุ่มที่สุภาพอ่อนโยนเพียบพร้อมสมบูรณ์แบบอย่างเขา กลับถูกผู้หญิงหลอกลวงและทอดทิ้ง ชายอกหักขาดความไว้ใจในผู้หญิงทุกคน เขาสร้างเกราะกำบังตัวเองจากหญิงสาวคนอื่นๆแน่นหนา ไม่เปิดใจรับใครอีกต่อไป
เขมชาติคนใหม่คิดว่าผู้หญิงเป็นเพศที่เห็นแก่ได้ เจ้าหล่อนทั้งหลายละโมบ หิวกระหายเงินตราและไร้หัวใจ ขอเพียงมีผลประโยชน์ พวกเธอก็สามารถแลกกับทุกอย่างได้แม้กระทั่งความรักโดยไม่รีรอ และไม่เคยแคร์ความรู้สึกของผู้ชายแม้แต่น้อย เพราะฉะนั้นเขาก็ไม่จำเป็นต้องแคร์ความรู้สึกของบรรดาผู้หญิงเหล่านั้นด้วยเช่นกัน หลังเรียนจบเขมชาติหางานที่นั่นทำ และกะจะฝังรกรากอยู่ที่อังกฤษ โดยไม่คิดกลับเมืองไทยอีกเลย!!!
แต่แล้วหนุ่มหล่อนักเรียนนอกก็ต้องกลับมาเมืองไทยจนได้ เมื่อทราบว่าบิดาป่วยเป็นโรคหัวใจ และเพื่อถนอมน้ำใจคุณณรงค์เดช ชายหนุ่มยังต้องยอมทำดีกับผู้หญิงที่สร้างความเจ็บช้ำแสนสาหัสให้กับเขา แลกกับการให้นลินีเก็บอดีตของทั้งคู่ไว้เป็นความลับ เขมชาติไม่อยากให้บิดากระอักกระอ่วนใจที่มาแต่งงานกับอดีตคนรักของลูกชาย จากนั้น เขมชาติก็หาข้ออ้างต่าง ๆนานา เพื่อแยกตัวออกมาซื้อคอนโดมิเนียมพักอยู่ข้างนอกคฤหาสน์หรูราคากว่าร้อยล้านบาทของผู้เป็นพ่อ
ชายหนุ่มช้ำรักต้องทนทรมานใจต่อภาพบาดใจบาดตาในบ้านอยู่นาน กว่าจะสามารถเกลี้ยกล่อมบิดาให้ยอมตามที่ขอได้
เมื่อตอนเช้าหนุ่มนักเรียนนอกพึ่งพูดคุยทำความเข้าใจกับบิดาทางโทรศัพท์ เรื่องที่ขอมาช่วยเอกพงษ์เพื่อนรักในบริษัทรับออกแบบและดูแลระบบสุขาภิบาลเล็ก ๆ ที่กำลังตั้งตัวแห่งนี้สักระยะหนึ่ง ซึ่งเรื่องนี้ทำให้บิดาของเขาหงุดหงิดเป็นอันมาก
หลังจากใคร่ครวญในใจแล้ว ผู้ช่วยผู้จัดการคนใหม่ซึ่งเงียบไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยคำพูดที่ทำให้หญิงสาวที่ยืนรอฟังอยู่ถึงกับทำหน้าแหยเก
“ดีเหมือนกัน งั้นเราไปกันเลย ผมอยากทานข้าวให้เสร็จไว ๆ มีงานให้ทำอีกเยอะ”
ชายหนุ่มมองอาการหญิงสาวตรงหน้าอย่างนึกสังเวช ตอนที่เข้าบริษัทมาครั้งแรก แล้วเจอผู้หญิงคนนี้นั่งทำงานอยู่ในตำแหน่งเลขานุการฝ่ายประชาสัมพันธ์และต้อนรับ มันทำให้เขมชาติรู้สึกหงุดหงิด บริษัทควรคัดเลือกคนทำงานในหน้าที่นี้ให้ดี อย่างน้อย ๆ ก็ควรมีบุคลิกภาพคล่องแคล่วว่องไวและเป็นมิตร ไม่ใช่นั่งทำหน้าซังกะตายอยู่ตรงแผนกต้อนรับ รูปร่างหน้าตาก็มีส่วนสำคัญ ไม่รู้ว่าผู้หญิงผมบ๊อบยาวเคลียไหล่กับหน้าม้าสั้นเต่อคนนี้มีอะไรดี จึงได้รับการพิจารณาให้มาทำหน้าที่นี้ ดูหน้าตาท่าทางเธอแล้วเขมชาติก็นึกไปถึงการ์ตูนเล่มหนึ่งที่เขาเคยอ่าน...หนูหิ่นอินเตอร์...
ชั้นที่สิบหกของอาคารนี้มีทั้งภัตตาคารและร้านอาหารหรู ๆ อีกฟากหนึ่งจึงเป็นฟู้ดเซ็นเตอร์ที่มีอาหารตามสั่งจานด่วนจานเดียวเรียงราย ปกติช่อชบาจะเดินลงบันใดมา แต่วันนี้หญิงสาวพาชายหนุ่มมาดเท่ห์ลงมาทางลิฟต์ พอก้าวออกจากลิฟต์ เธอจึงผายมือเชิญให้เขาเลือกร้าน
“เชิญตามสบายนะคะ ดิฉันขอตัวก่อน”
พูดจบก็ทำท่าจะผละไป
“เดี๋ยวสิคุณ”
ช่อชบาจำต้องชะงักเท้าที่กำลังก้าวเดิน หันมาทำหน้าเมื่อย
“มีอะไรอีกเหรอค้า”
หญิงสาวลากหางเสียงยาว
“คุณไม่ไปทานเป็นเพื่อนผมเหรอ”
“เอ่อ พอดีวันนี้ดิฉันอยากทานส้มตำไก่ย่างค่ะ”
ช่อชบาอ้างอย่างขอไปทีด้วยคิดว่าหนุ่มไฮโซคงไม่มีรสนิยมแบบนั้นแน่
“เอาสิ”
หนุ่มหล่อพยักหน้า เขมชาติมีความจำเป็นบางอย่างที่จำต้องสานสัมพันธ์กับผู้หญิงท่าทางเชย ๆ คนนี้
“ผมไปทานด้วย ไม่ได้กินส้มตำมานานแล้วเหมือนกัน”
ส่วนแม่สาวที่มีกิ๊บเป็นคลิปที่หนีบกระดาษกำลังนึกอยากจะเป็นลม....
เลขาสาวจำใจต้องเดินนำหน้าชายหนุ่มไปหาที่นั่งในโซนใกล้ร้านส้มตำเจ้าประจำ ซึ่งมีไก่อบน้ำผึ้งเนื้อแน่นวางขายคู่กับส้มตำรสเด็ดพร้อมขนมจีนกับข้าวเหนียวนึ่ง หล่อนสั่งมาทั้งหมดชุดหนึ่ง ก่อนหันมาถามหนุ่มมาดผู้ดีที่นั่งตรงข้าม
“แน่ใจว่ากินเป็นนะคะ”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับแล้วย้อนถาม
“ทำไมคุณถึงคิดว่าผมกินไม่เป็น”
อยากจะตอบว่า ก็ท่าทางนายมันไฮโซซะขนาดนั้น แต่ที่บอกออกไปก็คือ
“ดิฉันรู้มาจากบอสว่าคุณพึ่งกลับมาจากเมืองนอก อาจจะไม่ชินกับอาหารรสจัดน่ะค่ะ”
“คุณพูดเหมือนกับว่าผมไม่เคยกิน ผมกินได้ อยู่ที่โน่นผมก็เคยกิน ที่นั่นมีร้านอาหารไทยหลายร้าน บางทีก็ทำกินกันในบ้านแต่รสชาติอาจจะเพี้ยนไปบ้าง โดยเฉพาะความเผ็ด”
อ้อ เหรอ เดี่ยวเหอะ...จะคอยดูไอ้หนุ่มนักเรียนนอกขี้เก๊กกินส้มตำเผ็ด ๆ น้ำหูน้ำตาไหล ช่อชบาแอบนึกกระหยิ่มในใจ แล้วหันไปสำทับแม่ค้าส้มตำด้วยหน้าระรื่นว่า
“ตำให้แซ่บ ๆ นะคุณพี่”
“คุณแต่งงานหรือยัง”
อยู่ ๆ ชายหนุ่มตรงหน้าก็ถามขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ช่อชบาฉุนกึก หน้าบูดลงทันใด
“ฉันยังโสดค่ะ”
หนุ่มหล่อทำไม่สนใจอาการนั้นของเธอ พูดต่อว่า
“อ้อ ผมนึกว่าคุณแพ้ท้องซะอีก เห็นชอบกินของแซ่บ ๆ”
ช่อชบาหันขวับมาทำตาเขียวเข้าใส่ หญิงสาวกัดริมฝีปากล่าง ตาโต ๆ ลุกวาว
อี๊ยยยย ชั้นเกลียดแก๊!!
อาหารมื้อเที่ยงมื้อนั้นผ่านไปอย่างฝืดคอทั้งสองคน เขมชาตินั่งกินไก่อบน้ำผึ้งกับข้าวเหนียว นาน ๆ ถึงจะใช้ช้อนส้อมจิ้มส้มตำกินทีหนึ่งอย่างสบาย ๆ ส่วนคนที่เผ็ดหน้าดำหน้าแดงกลับเป็นช่อชบา ที่ต้องพยายามกินส้มตำให้เหมือนเอร็ดอร่อยเสียเต็มประดา แม่ค้าส้มตำที่สนิทกันแซวสาวแก้มป่องขำ ๆ
“ทุกทีให้ใส่พริกเม็ดเดียว กินเผ็ดไม่เก่งไม่ใช่เหรอ วันนี้นึกยังไงสั่งให้ตำแซ่บ ๆ”
ช่อชบาทำหน้าไม่ถูก ใช้มือสองข้างพัดโบกเอาลมเข้าปากอยู่ไปมา พร้อมซูดปากซู้ด ๆ ชำเลืองมองส้มตำรสจัดจ้านที่ยังเหลืออีกตั้งครึ่งค่อนจานอย่างแหยง ๆ
ชายหนุ่มหน้าขรึมมองหน้าหล่อนแล้วยิ้มนิด ๆ อย่างรู้ทัน เขาตักส้มตำใส่จานให้หญิงสาวอีก พลางพยักพเยิดให้ทานต่อ
“สั่งมาแล้วก็กินให้หมดสิคุณ เหลือตั้งเยอะ คุณอยากกินส้มตำไม่ใช่เหรอ”
“เอ่อ ฉันอิ่มแล้วค่ะคุณ”
หญิงสาวบอกพลางซู้ดปากแล้วยิ้มแหย ๆ ยกฝ่ามือที่แบออกทั้งสองข้างขึ้นเสมอไหล่ทำนองยอมแพ้
เขมชาติมองดูท่าทางเลขาจอมเปิ่นแล้วส่ายหน้าอย่างสมเพช ชายหนุ่มลุกไปซื้อน้ำส้มมาสองแก้ว ยื่นส่งให้เธอแก้วหนึ่ง นึกขำความคิดเด็ก ๆ ของแม่เลขาสาวผู้มีกิ๊ปเป็นที่หนีบกระดาษ ที่เค้นสมองคิดจะแกล้งเขาได้แค่นี้
“เอ้า ดื่มแก้เผ็ดซะ ถ้ากินเผ็ดไม่เก่งวันหลังก็ไม่ต้องสั่งเผื่อผมนะ”
บอกอย่างเวทนาในความร้ายแบบซื่อจนเซ่อของหล่อน
“ขอบคุณค่ะ”
หญิงสาวแสบร้อนไปทั้งปากทั้งลิ้น รีบก้มดูดน้ำส้มจากหลอดก่อนเงยหน้าขึ้นขอบคุณ...วินาทีนั้น ช่อชบาคิดว่าเธอเห็นแววตาอ่อนโยนอย่างที่เธอไม่คิดว่าจะได้เห็น ฉายแวบออกจากตาคมดุคู่นั้น สาวเปิ่นชะงักไปนิดหนึ่ง...เออ ทำตาแบบนี้ก็เป็นแฮะ
หนุ่มสาวทั้งคู่กลับเข้ามาในบริษัทเมื่อเลยบ่ายโมงไปเล็กน้อย ที่จริงน่าจะกลับมาเร็วกว่านี้ ถ้าแม่เลขาหน้าม้าเต่อจะไม่ขอแวะเข้าไปแต่งหน้าทาปากในห้องน้ำหญิงเสียหน่อย หลังจากกินเผ็ดจนเหงื่อไหลไคลย้อย ทั้งแป้งและลิปสติกถูกทิชชูเช็ดจนหายเกลี้ยง
ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าปอดลึก ๆ นับหนึ่ง สอง ไปเรื่อย ๆ อย่างสะกดอารมณ์ขณะยืนรอ ผู้หญิงคนนี้ไม่คู่ควรให้เขายืนรอเลยสักนิด
...อยากจะพูดใส่หน้าหล่อนจริง ๆ ว่า... ต่อให้ทาแป้งหมดตลับก็คงไม่สวยขึ้นมาหรอกน่า
(มีต่อ)