คำเตือน
(เรื่องสั้นชุด : รัตติกาลอุบัติ)
“เฮ้อ...เห็นทีคืนนี้ต้องอยู่ทำงานล่วงเวลาจนดึกอีกแล้ว.... ”
เสียงถอนหายใจยาว พร้อมบ่นพึมพำอย่างเหนื่อยหน่ายดังมาจากปากของเลขานุการิณีสาวบริษัทจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์บำรุงสุขภาพ ซึ่งตั้งอยู่บนชั้นที่ยี่สิบหกของตึกสูงสามสิบสองชั้น ริมถนนใหญ่ชานเมือง ที่เหมือนรำพึงกับตัวเอง แต่มันคงดังไปหน่อย ผู้จัดการแผนกพัฒนาธุรกิจซึ่งเป็นหญิงสาววัยกลางคนรูปร่างอ้วนเตี้ยจึงได้ยินเข้า หล่อนหันขวับมามองหน้านวลใส ในกรอบเรือนผมดำขลับของลูกน้องสาวแสนสวย ที่อยู่ในชุดสูทฟอร์มสีครีมของบริษัท ก่อนบอกเสียงเข้มว่า
“คืนนี้คงต้องอยู่ดึกหน่อยนะราณี เพราะพรุ่งนี้มีประชุมใหญ่ เราต้องเตรียมรายงานให้แล้วเสร็จทันเวลา”
“ค่ะ รับทราบแล้วค่ะ บอส”
หญิงสาวผู้อ่อนวัยกว่าสะดุ้ง หล่อนรีบรับคำผู้จัดการหญิงเสียงอ่อนเสียงหวาน พลางยิ้มประจบ ก่อนก้มหน้างุดลงพิมพ์งานบนจอคอมพิวเตอร์ต่อ สาวใหญ่ส่งค้อนให้ลูกน้องสาวทีหนึ่งแล้วย้อนว่า
“รับทราบแล้วก็เร่งมือเข้าสิคะ คุณน้องขา นี่ก็ค่ำมืดแล้วนะ”
“ตอนนี้เหลืองานไม่เยอะเท่าไหร่แล้วค่ะ คาดว่าเที่ยงคืนคงจะเสร็จเรียบร้อยทั้งหมด”
เลขานุการิณีสาว เงยหน้าขึ้นอธิบายความคืบหน้าของงานที่กำลังทำ แล้วรีบก้มลงจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อทำรายงานต่อ ผู้จัดการสาวใหญ่มองกิริยานั้นอย่างเอ็นดู ความจริงเธอก็นึกเห็นใจเลขานุการิณีคนสนิท ที่มักต้องทำงานล่วงเวลาบ่อย ๆ จนต้องกลับบ้านดึกดื่น เนื่องจากสินค้าของบริษัทกำลังเป็นที่นิยม และท่านประธานบริษัทมีนโยบายขยายเครือข่ายให้ครอบคลุมออกไปทั่วประเทศ ดังนั้นแผนกของเธอจึงต้องรับบทหนัก ทำให้พนักงานในแผนกทุกคนต้องเสียสละเวลาส่วนตัวมาทำงานล่วงเวลา อย่างเช่นวันนี้
ขณะนี้ห้องทำงานบนตึกส่วนใหญ่ปิดไฟมืดหมดแล้ว เพราะมันเป็นเวลากว่าสามทุ่มครึ่ง เหลือเพียงห้องทำงานของราณีที่ยังคงเปิดไฟสว่างจ้า และมีพนักงานเพียงไม่กี่คนที่มีงานค้าง จึงยังต้องก้มหน้าก้มตาทำงานกันอยู่อย่างคร่ำเคร่ง
“ดีมากจ้ะ งั้น...เดี๋ยวพี่กลับบ้านก่อนนะ พอดีลูกไม่สบาย ตัวร้อนมากเลย พี่บอกให้พ่อเค้าเช็ดตัวให้และป้อนยาลดไข้แล้ว ไม่รู้ต้องพาไปหาหมอหรือเปล่า” ผู้จัดการแผนกพูดออกมาด้วยท่าทีกังวลใจ เธอลงมือเก็บข้าวของส่วนตัวใส่กระเป๋าถือ ราณีชำเลืองมองเจ้านายหญิงอย่างรู้สึกเห็นใจ
คุณรวีวรรณเจ้านายของเธอเป็นผู้หญิงแกร่ง เพราะต้องทำงานหาเลี้ยงครอบครัวแทนสามีซึ่งพิการแขนข้างขวาจากเหตุการณ์ถูกโจรดักจี้ปล้นทำร้ายเอาเมื่อหนึ่งปีที่แล้ว เขาถูกทุบด้วยของแข็งเข้าที่ศีรษะจนกะโหลกร้าว มีเลือดคั่งในสมอง ครั้นได้รับการผ่าตัดช่วยชีวิตจนรอดตายมาได้ แต่แขนข้างขวาของเขากลับใช้การไม่ได้ และเมื่อสามีต้องออกจากงานเพราะถูกเลิกจ้าง ภาระเรื่องการหารายได้มาจุนเจือครอบครัวจึงตกหนักอยู่ที่ผู้เป็นภรรยา ส่วนคุณดำเกิงผู้สามีก็ต้องกลายเป็นฝ่ายเลี้ยงดูลูกน้อยวัยสองขวบอยู่ที่บ้านแทน
“ไม่ต้องเป็นห่วงค่ะบอส รายงานสำคัญอย่างนี้ต้องทำให้ดีที่สุด และเสร็จทันประชุมพรุ่งนี้แน่นอนค่ะ” หญิงสาวพูดให้กำลังใจเจ้านายหญิง พลางเหลือบมองเวลาจากนาฬิกาที่มุมล่างด้านขวาของจอคอมพิวเตอร์ ซึ่งบอกว่าขณะนี้เวลาสี่ทุ่มแล้ว
“ขับรถกลับบ้านก็ระวังตัวด้วยล่ะ เดี๋ยวนี้โจรชุม พวกมันมีวิธีจี้ปล้นหลายวิธี เวลาเกิดอะไรขึ้นอย่าไว้ใจใครง่าย ๆ นะ ถ้ามีใครมาเรียกให้เปิดประตูรถออกมาดู ห้ามลงจากรถเด็ดขาด พี่ไปก่อนนะจ๊ะ”
เจ้านายหญิงเตือนลูกน้องสาวสวยด้วยความเป็นห่วง ราณีเงยหน้าขึ้นยิ้มให้แล้วกล่าวขอบคุณ หญิงสาวรู้ดีว่ารวีวรรณยังหวาดกลัวและระแวงกับเหตุการณ์ที่ตัวเองกับสามีเคยประสบมา เรื่องราวคราวนั้นก็คือ ในคืนสยองคืนหนึ่ง รถของครอบครัวผู้จัดการสาวใหญ่ถูกรถลึกลับเบียดจนเกิดชนกันขึ้นกลางทางเปลี่ยว ครั้นเธอกับสามีลงมาจากรถเพื่อขอเจรจาค่าเสียหาย กลับพบว่ามันเป็นเพียงเล่ห์เพทุบาย พวกโจรสามคนใช้มีดจี้บังคับให้ส่งของมีค่าให้ เมื่อสามีของเธอขัดขืนจึงถูกกลุ่มโจรรุมทำร้าย เขาทั้งโดนแทงและถูกทุบตีจนน่วม โชคดีที่มีรถสายตรวจของตำรวจผ่านมาพบเข้า พวกโจรจึงรีบผละหนีไป หาไม่ทั้งเธอกับสามีอาจถูกพวกมันฆ่าตายไปแล้วทั้งคู่ เวลาผ่านมานานร่วมปี ป่านนี้ตำรวจยังตามจับเอาตัวคนร้ายมาลงโทษไม่ได้ และเพราะความหวาดกลัวฝังใจ รวีวรรณจึงเฝ้าเตือนลูกน้องสาวถึงเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเรื่อยมา สาวใหญ่หยิบเสื้อสูทพาดกับแขนและคว้ากระเป๋าถือมาสะพาย ก่อนเปิดประตูห้องออกแล้วเดินตรงไปที่ลิฟต์เพื่อลงไปยังลานจอดรถชั้นล่าง
นั่งทำงานเพลินจนรู้สึกเหมือนเวลาผ่านไปเร็ว และเมื่อนาฬิกาบอกเวลาว่าเลยเที่ยงคืนมาแล้วห้านาที พนักงานคนอื่น ๆ พอเสร็จงานต่างพากันทยอยเก็บของกลับบ้าน จนเหลือเพียงราณีกับพนักงานบัญชีชายอีกคนหนึ่งชื่อศรัทธาที่ยังนั่งทำงานอยู่ด้วยกัน สาวสวยรู้สึกใจคอไม่ดีเมื่อต้องอยู่ตามลำพังกับชายหนุ่มคนนี้ เนื่องจากศรัทธาซึ่งบ้านอยู่ในซอยเดียวกันเคยทำท่าว่าอยากจีบเธอ
เลขาสาวเร่งมือจนกระทั่งทำรายงานเสร็จจึงปิดคอมพิวเตอร์ลงแล้วลุกขึ้นเตรียมตัวกลับ ซึ่งก็พอดีกับชายหนุ่มร่างผอมสูง สวมแว่นสายตาหนาเตอะก็ลุกขึ้นเช่นกัน
“เสร็จแล้วเหรอณี”
ชายหนุ่มเอ่ยทักขณะเคลื่อนตัวเดินเข้ามาใกล้ ราณีชำเลืองดูเขาด้วยท่าทีหวาด ๆ ก่อนตอบว่า
“เสร็จแล้วจ้ะ”
จนเมื่อหนุ่มแว่นเดินมาหยุดตรงหน้า เธอจึงทำใจดีสู้เสือชวนเขาว่า
“รีบกลับบ้านกันเถอะ พรุ่งนี้ณีต้องตื่นตีห้าครึ่งเพื่อมาทำงานแต่เช้าอีก”
“เหมือนกันแหละ ณีออกไปก่อนเลย ผมจะปิดไฟปิดห้องเอง”
ราณีกล่าวขอบคุณเพื่อนร่วมงานชาย หญิงสาวแอบโล่งใจ ส่งยิ้มให้เขาแล้วหยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพาย ก่อนเดินไปเปิดประตูห้องก้าวออกไปก่อน ส่วนเบื้องหลัง ศรัทธาก็ปิดไฟห้องทำงานทุกดวงแล้วเปิดประตูเดินตามเลขาสาวออกมา ชายหนุ่มสาวเท้าเร็ว ๆ จนตามทันราณีที่ประตูลิฟต์ จากนั้นคนทั้งสองก็กดลิฟต์ให้พาลงมายังชั้นล่าง
เมื่อถึงลานจอดรถ ราณีตรงมายังรถเก๋งสี่ประตูสีขาวซึ่งเหลือจอดอยู่คันเดียวเท่านั้นในชั้นนี้ แสงไฟส่องสว่างทำให้เห็นรถที่ถูกเช็ดล้างอย่างสะอาดจนขึ้นเงา
พนักงานรักษาความปลอดภัยของชั้นนี้เป็นชายวัยกลางคนรูปร่างกำยำ หน้าตาเข้มดุ สายตาดูหลุกหลิกไม่น่าไว้ใจ ซึ่งกำลังนั่งสัปหงกอยู่ที่เก้าอี้ข้างประตูทางออกจากตัวตึก เขารีบลุกพรวดขึ้นยืนทำท่าตะเบ๊ะ พลางยิ้มกว้างให้สองหนุ่มสาว
“เลิกงานดึกนะครับ”
ทั้งคู่ไม่ได้ยิ้มตอบ ศรัทธาเพียงรับคำว่าครับสั้น ๆ ซึ่งราณีคิดว่าชายหนุ่มก็คงรู้สึกกับยามคนนี้เหมือนเธอ พนักงานรักษาความปลอดภัยที่ไม่น่าไว้ใจคนนี้มักมองราณีด้วยสายตาโลมเลีย เวลาเจอกันลำพังที่นี่บ่อย ๆ จนหญิงสาวนึกชังน้ำหน้า นี่ดีนะที่คืนนี้เธอมีศรัทธาเดินมาเป็นเพื่อนจึงไม่ถูกลวนลามด้วยสายตาแบบนั้นอีก ราณีรู้สึกอุ่นใจขึ้นมา แม้ว่าก่อนหน้านี้เธอจะนึกระแวงในตัวเพื่อนร่วมงานหนุ่มก็ตาม
“เอ๊ะ รถเธอไม่ได้จอดชั้นนี้เหรอ”
หญิงสาวกวาดตามองไปทั่วบริเวณก็ไม่เห็นรถคันไหนอีกนอกจากรถเก๋งสีขาวของเธอ จึงถามขึ้นอย่างสงสัย
“รถเราเสีย เดี๋ยวเราโบกแทกซี่กลับเอง ณีขึ้นรถขับกลับไปบ้านเถอะ ขับดี ๆ นะ”
“อ้าวเหรอ บ้านเราไปทางเดียวกันนี่ เธอกลับไปกับเราก็ได้ เดี๋ยวเราไปส่ง”
ด้วยความรู้สึกเห็นใจเพื่อนร่วมงานและซึ้งในน้ำใจที่เขาแสดงออกก่อนหน้า ราณีจึงเอ่ยชวน ศรัทธาทำท่าชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งจึงตอบตกลง
เมื่อสองหนุ่มสาวเข้าไปนั่งในรถแล้ว ราณีที่เป็นคนขับจึงสตาร์ทเครื่อง ก่อนออกรถ หญิงสาวพนมมือไหว้พูดกับแม่ย่านางรถว่า
“ช่วยให้ลูกขับรถกลับบ้านอย่างปลอดภัยด้วยเถอะค่ะ”
เลขาสาวเป็นคนเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจากถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กโดยคุณพ่อของเธอว่า ในรถยนต์มีแม่ย่านางสถิตอยู่ ท่านจะคอยปกป้องคุ้มครองเราให้เดินทางปลอดภัย พ่อที่จากไปแล้วมักเตือนว่าอย่านั่งบนฝากระโปรงรถ อย่าข้ามเกียร์รถ หรือไม่ก็อย่ายกเท้าถีบไปแถว ๆ หน้ารถ เพราะเวลานั่งตรงเบาะหน้าเด็ก ๆ มักจะชอบยืดขาไปเตะ ๆ คอนโซลด้านหน้า
จากนั้น ราณีหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเพื่อโทรหามารดา ผู้ซึ่งตอนนี้ยังไม่เข้านอนเพราะกำลังรอการกลับมาของลูกสาวสุดที่รักคนเดียวของเธออยู่
“แม่คะหนูกำลังจะออกจากที่ทำงานแล้วนะคะ อยู่บนรถแล้ว”
ราณีทำเสียงออดอ้อนผู้เป็นมารดาซึ่งกำลังนั่งดูข่าวภาคดึกอยู่หน้าจอทีวี เธอรีบลดเสียงทีวีลงเพื่อคุยโทรศัพท์
“ระวังตัวด้วยนะจ๊ะ ขับรถดี ๆ ไม่ต้องขับเร็ว ให้เขาแซงไปก่อน ส่วนเราก็ขับของเรามาเรื่อย ๆ นะ”
“ค่ะแม่ เมื่อกี้หนูก็ไหว้แม่ย่านางแล้วให้เดินทางปลอดภัยค่ะ”
“ดีแล้วลูก เดี๋ยวกลับมากินข้าวนะ แม่เตรียมกับข้าวไว้ให้แล้ว”
“ขอบคุณค่ะแม่”
ราณีหันมายิ้มให้เพื่อนชายที่นั่งเคียงข้าง ซึ่งเขาก็ทอดสายตามองตอบกลับมาอย่างชื่นชม ก่อนเร่งเครื่องเคลื่อนรถออกจากตัวตึก
เลขาสาวขับรถไปบนถนนทางหลวงสายใหญ่ซึ่งขณะนี้มียวดยานขับผ่านมาน้อยคัน โดยใช้ความเร็วเพียงแค่หกสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมงเท่านั้น
“วันนี้พระจันทร์เต็มดวง มองเห็นชัดแจ๋วเลย” ราณีพูดพร้อมกับเอียงคอมองพระจันทร์ดวงโตบนท้องฟ้า ซึ่งศรัทธาก็ทำตาม หญิงสาวเปิดเพลงในรถฟังเบา ๆเพื่อลดความอึดอัดจากการต้องอยู่ใกล้ชิดกันภายในรถระหว่างชายหนุ่มกับหญิงสาว
รถเก๋งสีขาวแล่นผ่านถนนใหญ่จนกระทั่งเลี้ยวเข้าซอยค่อนข้างเปลี่ยว ซึ่งเป็นที่ตั้งของบ้านหนุ่มสาวทั้งคู่ บ้านของศรัทธาและราณีนั้นอยู่ลึกเข้าไปจนสุดซอย
ขณะที่หญิงสาวขับรถเข้ามาเกือบถึงกลางซอยและรถกำลังชะลอเพื่อข้ามลูกระนาดของถนน ราณีก็รู้สึกว่ามีอะไรมาชนท้ายรถของเธอเสียงดัง.....ตึ้ง!!!
“มีคนขับรถชนท้ายเรา”
ศรัทธาหันขวับไปมองหลังรถแล้วอุทานออกมาอย่างแตกตื่น หญิงสาวรีบส่องดูทางกระจกมองหลัง พลันก็เห็นแสงไฟสว่างจ้าจากไฟสูงหน้ารถพุ่งเข้าใส่จนแสบตา
....มีรถอีกคันพุ่งชนท้ายรถเราจริง ๆ ....หญิงสาวฉุกคิดอย่างตื่นตระหนก
วินาทีนั้นราณีจำได้ว่าเจ้านายสาวเคยเตือนเรื่องเวลาขับรถตอนกลางคืนหากเกิดอะไรขึ้น อย่าเปิดประตูรถ อย่าลงจากรถเด็ดขาด เธอจึงตัดสินใจไม่หยุดดู และรีบบึ่งรถต่อไป ซึ่งดูเหมือนศรัทธาก็เห็นด้วย สองหนุ่มสาวมองภาพรถกระบะคันนั้นที่จอดนิ่งอยู่เบื้องหลังจากกระจกมองหลัง จนในที่สุดทั้งสองก็ขับรถห่างออกมาจนไกล
“ค่อยเคลียร์ทีหลังเถอะ ถนนในซอยมืด ๆ อย่างนั้นไม่น่าไว้ใจ”
ราณีบอกเพื่อนชาย ซึ่งเขาก็พยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย
หญิงสาวแวะส่งเพื่อนหนุ่มที่บ้านของเขาเสียก่อน ไม่นานนักเธอก็เลี้ยวเข้าบ้านตัวเอง ซึ่งอยู่ลึกเข้าไปอีกประมาณห้าร้อยเมตรจากบ้านของศรัทธา
เมื่อขับรถมาถึงบ้าน ราณีก็ต้องประหลาดใจที่พบประตูบ้านเปิดอ้าทิ้งไว้ เธอขับรถเข้าไปจอดในโรงรถแล้วเดินเข้าไปในบ้าน
“แม่ แม่ แม่อยู่ไหน หนูกลับมาแล้ว”
หญิงสาวตะโกนเรียกมารดาแต่ไม่มีเสียงตอบ หล่อนจึงเดินเข้าไปในครัว ก็เห็นกับข้าววางอยู่เต็มโต๊ะ
“นี่คงเป็นกับข้าวที่แม่เตรียมไว้ให้เรา แต่แม่หายไปไหนนะ”
ราณีเดินวนเวียนหามารดาจนทั่วบ้าน เมื่อไม่พบ เธอจึงออกไปชะโงกดูที่หน้าบ้านซึ่งก็ยังไร้วี่แววของมารดาอยู่ดี หญิงสาวรู้สึกสังหรณ์ใจจึงเดินออกไปข้างนอกแล้วมองออกไปทางหน้าปากซอย ครั้นแล้วเธอก็ต้องใจหายวูบ เมื่อเห็นรถตำรวจเปิดไฟกะพริบสีแดงวาบ ๆ บนหลังคารถ มองเห็นอยู่ไกล ๆ แถว ๆ กลางซอย
ราณี รู้สึกว่าต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นแน่ ๆ หญิงสาวจึงรีบวิ่งไปที่แสงไฟกะพริบนั้น ซึ่งเมื่อยิ่งเข้าไปใกล้ก็ยิ่งเห็นคนยืนมุงดูอยู่มากมายล้อมเหตุการณ์บางอย่างเอาไว้จากสายตาเธอ
มีร่างสูงของผู้ชายใส่แว่นคนหนึ่งยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นด้วย เขาหันมามองดูเธอด้วยสายตาเศร้า ๆ
“เกิดอะไรขึ้นเหรอศรัทธา”
(มีต่อค่ะ)
The All Write Project 2 : รัตติกาลอุบัติ : คำเตือน
“เฮ้อ...เห็นทีคืนนี้ต้องอยู่ทำงานล่วงเวลาจนดึกอีกแล้ว.... ”
เสียงถอนหายใจยาว พร้อมบ่นพึมพำอย่างเหนื่อยหน่ายดังมาจากปากของเลขานุการิณีสาวบริษัทจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์บำรุงสุขภาพ ซึ่งตั้งอยู่บนชั้นที่ยี่สิบหกของตึกสูงสามสิบสองชั้น ริมถนนใหญ่ชานเมือง ที่เหมือนรำพึงกับตัวเอง แต่มันคงดังไปหน่อย ผู้จัดการแผนกพัฒนาธุรกิจซึ่งเป็นหญิงสาววัยกลางคนรูปร่างอ้วนเตี้ยจึงได้ยินเข้า หล่อนหันขวับมามองหน้านวลใส ในกรอบเรือนผมดำขลับของลูกน้องสาวแสนสวย ที่อยู่ในชุดสูทฟอร์มสีครีมของบริษัท ก่อนบอกเสียงเข้มว่า
“คืนนี้คงต้องอยู่ดึกหน่อยนะราณี เพราะพรุ่งนี้มีประชุมใหญ่ เราต้องเตรียมรายงานให้แล้วเสร็จทันเวลา”
“ค่ะ รับทราบแล้วค่ะ บอส”
หญิงสาวผู้อ่อนวัยกว่าสะดุ้ง หล่อนรีบรับคำผู้จัดการหญิงเสียงอ่อนเสียงหวาน พลางยิ้มประจบ ก่อนก้มหน้างุดลงพิมพ์งานบนจอคอมพิวเตอร์ต่อ สาวใหญ่ส่งค้อนให้ลูกน้องสาวทีหนึ่งแล้วย้อนว่า
“รับทราบแล้วก็เร่งมือเข้าสิคะ คุณน้องขา นี่ก็ค่ำมืดแล้วนะ”
“ตอนนี้เหลืองานไม่เยอะเท่าไหร่แล้วค่ะ คาดว่าเที่ยงคืนคงจะเสร็จเรียบร้อยทั้งหมด”
เลขานุการิณีสาว เงยหน้าขึ้นอธิบายความคืบหน้าของงานที่กำลังทำ แล้วรีบก้มลงจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อทำรายงานต่อ ผู้จัดการสาวใหญ่มองกิริยานั้นอย่างเอ็นดู ความจริงเธอก็นึกเห็นใจเลขานุการิณีคนสนิท ที่มักต้องทำงานล่วงเวลาบ่อย ๆ จนต้องกลับบ้านดึกดื่น เนื่องจากสินค้าของบริษัทกำลังเป็นที่นิยม และท่านประธานบริษัทมีนโยบายขยายเครือข่ายให้ครอบคลุมออกไปทั่วประเทศ ดังนั้นแผนกของเธอจึงต้องรับบทหนัก ทำให้พนักงานในแผนกทุกคนต้องเสียสละเวลาส่วนตัวมาทำงานล่วงเวลา อย่างเช่นวันนี้
ขณะนี้ห้องทำงานบนตึกส่วนใหญ่ปิดไฟมืดหมดแล้ว เพราะมันเป็นเวลากว่าสามทุ่มครึ่ง เหลือเพียงห้องทำงานของราณีที่ยังคงเปิดไฟสว่างจ้า และมีพนักงานเพียงไม่กี่คนที่มีงานค้าง จึงยังต้องก้มหน้าก้มตาทำงานกันอยู่อย่างคร่ำเคร่ง
“ดีมากจ้ะ งั้น...เดี๋ยวพี่กลับบ้านก่อนนะ พอดีลูกไม่สบาย ตัวร้อนมากเลย พี่บอกให้พ่อเค้าเช็ดตัวให้และป้อนยาลดไข้แล้ว ไม่รู้ต้องพาไปหาหมอหรือเปล่า” ผู้จัดการแผนกพูดออกมาด้วยท่าทีกังวลใจ เธอลงมือเก็บข้าวของส่วนตัวใส่กระเป๋าถือ ราณีชำเลืองมองเจ้านายหญิงอย่างรู้สึกเห็นใจ
คุณรวีวรรณเจ้านายของเธอเป็นผู้หญิงแกร่ง เพราะต้องทำงานหาเลี้ยงครอบครัวแทนสามีซึ่งพิการแขนข้างขวาจากเหตุการณ์ถูกโจรดักจี้ปล้นทำร้ายเอาเมื่อหนึ่งปีที่แล้ว เขาถูกทุบด้วยของแข็งเข้าที่ศีรษะจนกะโหลกร้าว มีเลือดคั่งในสมอง ครั้นได้รับการผ่าตัดช่วยชีวิตจนรอดตายมาได้ แต่แขนข้างขวาของเขากลับใช้การไม่ได้ และเมื่อสามีต้องออกจากงานเพราะถูกเลิกจ้าง ภาระเรื่องการหารายได้มาจุนเจือครอบครัวจึงตกหนักอยู่ที่ผู้เป็นภรรยา ส่วนคุณดำเกิงผู้สามีก็ต้องกลายเป็นฝ่ายเลี้ยงดูลูกน้อยวัยสองขวบอยู่ที่บ้านแทน
“ไม่ต้องเป็นห่วงค่ะบอส รายงานสำคัญอย่างนี้ต้องทำให้ดีที่สุด และเสร็จทันประชุมพรุ่งนี้แน่นอนค่ะ” หญิงสาวพูดให้กำลังใจเจ้านายหญิง พลางเหลือบมองเวลาจากนาฬิกาที่มุมล่างด้านขวาของจอคอมพิวเตอร์ ซึ่งบอกว่าขณะนี้เวลาสี่ทุ่มแล้ว
“ขับรถกลับบ้านก็ระวังตัวด้วยล่ะ เดี๋ยวนี้โจรชุม พวกมันมีวิธีจี้ปล้นหลายวิธี เวลาเกิดอะไรขึ้นอย่าไว้ใจใครง่าย ๆ นะ ถ้ามีใครมาเรียกให้เปิดประตูรถออกมาดู ห้ามลงจากรถเด็ดขาด พี่ไปก่อนนะจ๊ะ”
เจ้านายหญิงเตือนลูกน้องสาวสวยด้วยความเป็นห่วง ราณีเงยหน้าขึ้นยิ้มให้แล้วกล่าวขอบคุณ หญิงสาวรู้ดีว่ารวีวรรณยังหวาดกลัวและระแวงกับเหตุการณ์ที่ตัวเองกับสามีเคยประสบมา เรื่องราวคราวนั้นก็คือ ในคืนสยองคืนหนึ่ง รถของครอบครัวผู้จัดการสาวใหญ่ถูกรถลึกลับเบียดจนเกิดชนกันขึ้นกลางทางเปลี่ยว ครั้นเธอกับสามีลงมาจากรถเพื่อขอเจรจาค่าเสียหาย กลับพบว่ามันเป็นเพียงเล่ห์เพทุบาย พวกโจรสามคนใช้มีดจี้บังคับให้ส่งของมีค่าให้ เมื่อสามีของเธอขัดขืนจึงถูกกลุ่มโจรรุมทำร้าย เขาทั้งโดนแทงและถูกทุบตีจนน่วม โชคดีที่มีรถสายตรวจของตำรวจผ่านมาพบเข้า พวกโจรจึงรีบผละหนีไป หาไม่ทั้งเธอกับสามีอาจถูกพวกมันฆ่าตายไปแล้วทั้งคู่ เวลาผ่านมานานร่วมปี ป่านนี้ตำรวจยังตามจับเอาตัวคนร้ายมาลงโทษไม่ได้ และเพราะความหวาดกลัวฝังใจ รวีวรรณจึงเฝ้าเตือนลูกน้องสาวถึงเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเรื่อยมา สาวใหญ่หยิบเสื้อสูทพาดกับแขนและคว้ากระเป๋าถือมาสะพาย ก่อนเปิดประตูห้องออกแล้วเดินตรงไปที่ลิฟต์เพื่อลงไปยังลานจอดรถชั้นล่าง
นั่งทำงานเพลินจนรู้สึกเหมือนเวลาผ่านไปเร็ว และเมื่อนาฬิกาบอกเวลาว่าเลยเที่ยงคืนมาแล้วห้านาที พนักงานคนอื่น ๆ พอเสร็จงานต่างพากันทยอยเก็บของกลับบ้าน จนเหลือเพียงราณีกับพนักงานบัญชีชายอีกคนหนึ่งชื่อศรัทธาที่ยังนั่งทำงานอยู่ด้วยกัน สาวสวยรู้สึกใจคอไม่ดีเมื่อต้องอยู่ตามลำพังกับชายหนุ่มคนนี้ เนื่องจากศรัทธาซึ่งบ้านอยู่ในซอยเดียวกันเคยทำท่าว่าอยากจีบเธอ
เลขาสาวเร่งมือจนกระทั่งทำรายงานเสร็จจึงปิดคอมพิวเตอร์ลงแล้วลุกขึ้นเตรียมตัวกลับ ซึ่งก็พอดีกับชายหนุ่มร่างผอมสูง สวมแว่นสายตาหนาเตอะก็ลุกขึ้นเช่นกัน
“เสร็จแล้วเหรอณี”
ชายหนุ่มเอ่ยทักขณะเคลื่อนตัวเดินเข้ามาใกล้ ราณีชำเลืองดูเขาด้วยท่าทีหวาด ๆ ก่อนตอบว่า
“เสร็จแล้วจ้ะ”
จนเมื่อหนุ่มแว่นเดินมาหยุดตรงหน้า เธอจึงทำใจดีสู้เสือชวนเขาว่า
“รีบกลับบ้านกันเถอะ พรุ่งนี้ณีต้องตื่นตีห้าครึ่งเพื่อมาทำงานแต่เช้าอีก”
“เหมือนกันแหละ ณีออกไปก่อนเลย ผมจะปิดไฟปิดห้องเอง”
ราณีกล่าวขอบคุณเพื่อนร่วมงานชาย หญิงสาวแอบโล่งใจ ส่งยิ้มให้เขาแล้วหยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพาย ก่อนเดินไปเปิดประตูห้องก้าวออกไปก่อน ส่วนเบื้องหลัง ศรัทธาก็ปิดไฟห้องทำงานทุกดวงแล้วเปิดประตูเดินตามเลขาสาวออกมา ชายหนุ่มสาวเท้าเร็ว ๆ จนตามทันราณีที่ประตูลิฟต์ จากนั้นคนทั้งสองก็กดลิฟต์ให้พาลงมายังชั้นล่าง
เมื่อถึงลานจอดรถ ราณีตรงมายังรถเก๋งสี่ประตูสีขาวซึ่งเหลือจอดอยู่คันเดียวเท่านั้นในชั้นนี้ แสงไฟส่องสว่างทำให้เห็นรถที่ถูกเช็ดล้างอย่างสะอาดจนขึ้นเงา
พนักงานรักษาความปลอดภัยของชั้นนี้เป็นชายวัยกลางคนรูปร่างกำยำ หน้าตาเข้มดุ สายตาดูหลุกหลิกไม่น่าไว้ใจ ซึ่งกำลังนั่งสัปหงกอยู่ที่เก้าอี้ข้างประตูทางออกจากตัวตึก เขารีบลุกพรวดขึ้นยืนทำท่าตะเบ๊ะ พลางยิ้มกว้างให้สองหนุ่มสาว
“เลิกงานดึกนะครับ”
ทั้งคู่ไม่ได้ยิ้มตอบ ศรัทธาเพียงรับคำว่าครับสั้น ๆ ซึ่งราณีคิดว่าชายหนุ่มก็คงรู้สึกกับยามคนนี้เหมือนเธอ พนักงานรักษาความปลอดภัยที่ไม่น่าไว้ใจคนนี้มักมองราณีด้วยสายตาโลมเลีย เวลาเจอกันลำพังที่นี่บ่อย ๆ จนหญิงสาวนึกชังน้ำหน้า นี่ดีนะที่คืนนี้เธอมีศรัทธาเดินมาเป็นเพื่อนจึงไม่ถูกลวนลามด้วยสายตาแบบนั้นอีก ราณีรู้สึกอุ่นใจขึ้นมา แม้ว่าก่อนหน้านี้เธอจะนึกระแวงในตัวเพื่อนร่วมงานหนุ่มก็ตาม
“เอ๊ะ รถเธอไม่ได้จอดชั้นนี้เหรอ”
หญิงสาวกวาดตามองไปทั่วบริเวณก็ไม่เห็นรถคันไหนอีกนอกจากรถเก๋งสีขาวของเธอ จึงถามขึ้นอย่างสงสัย
“รถเราเสีย เดี๋ยวเราโบกแทกซี่กลับเอง ณีขึ้นรถขับกลับไปบ้านเถอะ ขับดี ๆ นะ”
“อ้าวเหรอ บ้านเราไปทางเดียวกันนี่ เธอกลับไปกับเราก็ได้ เดี๋ยวเราไปส่ง”
ด้วยความรู้สึกเห็นใจเพื่อนร่วมงานและซึ้งในน้ำใจที่เขาแสดงออกก่อนหน้า ราณีจึงเอ่ยชวน ศรัทธาทำท่าชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งจึงตอบตกลง
เมื่อสองหนุ่มสาวเข้าไปนั่งในรถแล้ว ราณีที่เป็นคนขับจึงสตาร์ทเครื่อง ก่อนออกรถ หญิงสาวพนมมือไหว้พูดกับแม่ย่านางรถว่า
“ช่วยให้ลูกขับรถกลับบ้านอย่างปลอดภัยด้วยเถอะค่ะ”
เลขาสาวเป็นคนเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจากถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กโดยคุณพ่อของเธอว่า ในรถยนต์มีแม่ย่านางสถิตอยู่ ท่านจะคอยปกป้องคุ้มครองเราให้เดินทางปลอดภัย พ่อที่จากไปแล้วมักเตือนว่าอย่านั่งบนฝากระโปรงรถ อย่าข้ามเกียร์รถ หรือไม่ก็อย่ายกเท้าถีบไปแถว ๆ หน้ารถ เพราะเวลานั่งตรงเบาะหน้าเด็ก ๆ มักจะชอบยืดขาไปเตะ ๆ คอนโซลด้านหน้า
จากนั้น ราณีหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเพื่อโทรหามารดา ผู้ซึ่งตอนนี้ยังไม่เข้านอนเพราะกำลังรอการกลับมาของลูกสาวสุดที่รักคนเดียวของเธออยู่
“แม่คะหนูกำลังจะออกจากที่ทำงานแล้วนะคะ อยู่บนรถแล้ว”
ราณีทำเสียงออดอ้อนผู้เป็นมารดาซึ่งกำลังนั่งดูข่าวภาคดึกอยู่หน้าจอทีวี เธอรีบลดเสียงทีวีลงเพื่อคุยโทรศัพท์
“ระวังตัวด้วยนะจ๊ะ ขับรถดี ๆ ไม่ต้องขับเร็ว ให้เขาแซงไปก่อน ส่วนเราก็ขับของเรามาเรื่อย ๆ นะ”
“ค่ะแม่ เมื่อกี้หนูก็ไหว้แม่ย่านางแล้วให้เดินทางปลอดภัยค่ะ”
“ดีแล้วลูก เดี๋ยวกลับมากินข้าวนะ แม่เตรียมกับข้าวไว้ให้แล้ว”
“ขอบคุณค่ะแม่”
ราณีหันมายิ้มให้เพื่อนชายที่นั่งเคียงข้าง ซึ่งเขาก็ทอดสายตามองตอบกลับมาอย่างชื่นชม ก่อนเร่งเครื่องเคลื่อนรถออกจากตัวตึก
เลขาสาวขับรถไปบนถนนทางหลวงสายใหญ่ซึ่งขณะนี้มียวดยานขับผ่านมาน้อยคัน โดยใช้ความเร็วเพียงแค่หกสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมงเท่านั้น
“วันนี้พระจันทร์เต็มดวง มองเห็นชัดแจ๋วเลย” ราณีพูดพร้อมกับเอียงคอมองพระจันทร์ดวงโตบนท้องฟ้า ซึ่งศรัทธาก็ทำตาม หญิงสาวเปิดเพลงในรถฟังเบา ๆเพื่อลดความอึดอัดจากการต้องอยู่ใกล้ชิดกันภายในรถระหว่างชายหนุ่มกับหญิงสาว
รถเก๋งสีขาวแล่นผ่านถนนใหญ่จนกระทั่งเลี้ยวเข้าซอยค่อนข้างเปลี่ยว ซึ่งเป็นที่ตั้งของบ้านหนุ่มสาวทั้งคู่ บ้านของศรัทธาและราณีนั้นอยู่ลึกเข้าไปจนสุดซอย
ขณะที่หญิงสาวขับรถเข้ามาเกือบถึงกลางซอยและรถกำลังชะลอเพื่อข้ามลูกระนาดของถนน ราณีก็รู้สึกว่ามีอะไรมาชนท้ายรถของเธอเสียงดัง.....ตึ้ง!!!
“มีคนขับรถชนท้ายเรา”
ศรัทธาหันขวับไปมองหลังรถแล้วอุทานออกมาอย่างแตกตื่น หญิงสาวรีบส่องดูทางกระจกมองหลัง พลันก็เห็นแสงไฟสว่างจ้าจากไฟสูงหน้ารถพุ่งเข้าใส่จนแสบตา
....มีรถอีกคันพุ่งชนท้ายรถเราจริง ๆ ....หญิงสาวฉุกคิดอย่างตื่นตระหนก
วินาทีนั้นราณีจำได้ว่าเจ้านายสาวเคยเตือนเรื่องเวลาขับรถตอนกลางคืนหากเกิดอะไรขึ้น อย่าเปิดประตูรถ อย่าลงจากรถเด็ดขาด เธอจึงตัดสินใจไม่หยุดดู และรีบบึ่งรถต่อไป ซึ่งดูเหมือนศรัทธาก็เห็นด้วย สองหนุ่มสาวมองภาพรถกระบะคันนั้นที่จอดนิ่งอยู่เบื้องหลังจากกระจกมองหลัง จนในที่สุดทั้งสองก็ขับรถห่างออกมาจนไกล
“ค่อยเคลียร์ทีหลังเถอะ ถนนในซอยมืด ๆ อย่างนั้นไม่น่าไว้ใจ”
ราณีบอกเพื่อนชาย ซึ่งเขาก็พยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย
หญิงสาวแวะส่งเพื่อนหนุ่มที่บ้านของเขาเสียก่อน ไม่นานนักเธอก็เลี้ยวเข้าบ้านตัวเอง ซึ่งอยู่ลึกเข้าไปอีกประมาณห้าร้อยเมตรจากบ้านของศรัทธา
เมื่อขับรถมาถึงบ้าน ราณีก็ต้องประหลาดใจที่พบประตูบ้านเปิดอ้าทิ้งไว้ เธอขับรถเข้าไปจอดในโรงรถแล้วเดินเข้าไปในบ้าน
“แม่ แม่ แม่อยู่ไหน หนูกลับมาแล้ว”
หญิงสาวตะโกนเรียกมารดาแต่ไม่มีเสียงตอบ หล่อนจึงเดินเข้าไปในครัว ก็เห็นกับข้าววางอยู่เต็มโต๊ะ
“นี่คงเป็นกับข้าวที่แม่เตรียมไว้ให้เรา แต่แม่หายไปไหนนะ”
ราณีเดินวนเวียนหามารดาจนทั่วบ้าน เมื่อไม่พบ เธอจึงออกไปชะโงกดูที่หน้าบ้านซึ่งก็ยังไร้วี่แววของมารดาอยู่ดี หญิงสาวรู้สึกสังหรณ์ใจจึงเดินออกไปข้างนอกแล้วมองออกไปทางหน้าปากซอย ครั้นแล้วเธอก็ต้องใจหายวูบ เมื่อเห็นรถตำรวจเปิดไฟกะพริบสีแดงวาบ ๆ บนหลังคารถ มองเห็นอยู่ไกล ๆ แถว ๆ กลางซอย
ราณี รู้สึกว่าต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นแน่ ๆ หญิงสาวจึงรีบวิ่งไปที่แสงไฟกะพริบนั้น ซึ่งเมื่อยิ่งเข้าไปใกล้ก็ยิ่งเห็นคนยืนมุงดูอยู่มากมายล้อมเหตุการณ์บางอย่างเอาไว้จากสายตาเธอ
มีร่างสูงของผู้ชายใส่แว่นคนหนึ่งยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นด้วย เขาหันมามองดูเธอด้วยสายตาเศร้า ๆ
“เกิดอะไรขึ้นเหรอศรัทธา”
(มีต่อค่ะ)